ในช่วงปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อในเวเนซุเอลาสูงน่าสะพรึงถึง 180% ขณะที่ขนาดเศรษฐกิจในประเทศยังหดตัว 5.7% สะท้อนสถานการณ์ที่ย่ำแย่ภายใต้การประกาศสภาวะฉุกเฉินในประเทศเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น El Tiempo รายงานว่า ขณะนี้เวเนซุเอลาต้องเผชิญกับสภาวะขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่จำเป็นในครัวเรือนขาดแคลนถึง 90% ขณะที่ยารักษาโรคก็ขาดแคลนถึง 80% รายงานจากธนาคารกลางระบุว่า ราคาสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม มีราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 315% ในช่วงปีที่ผ่านมา ตามด้วยสินค้าประเภทเสื้อผ้า (ราคาเพิ่มขึ้น 146%) การขนส่ง (129.8%) และบริการสาธารณสุข (110.6%)
สถิติที่เปิดเผยโดยธนาคารเวเนซุเอลา แม้จะสะท้อนความย่ำแย่ของเศรษฐกิจแล้ว แต่ก็ยังดีกว่ารายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่า ตัวเลขเงินเฟ้อในเวเนซุเอลาอาจสูงถึง 275% และเศรษฐกิจหดตัวลงถึง 10% ในปี 2558 และเงินเฟ้อในปีนี้อาจพุงสูงถึง 700%
ปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ก่อนหน้าการประกาศตัวเลขของธนาคารกลางเวเนซุเอลาเพียงไม่กี่วัน ประธานาธิบดี นิโกลาส มาดูโร ผู้สืบทอดอำนาจจาก นายพลฮูโก ชาเวซ ได้แถลงการณ์เตรียมผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ถูกนักวิเคราะห์หลายฝ่ายโจมตีว่า "ครึ่ง ๆ กลาง ๆ"
นายมาดูโร ประกาศว่า จะปรับอัตราแลกเปลี่ยนทางการจากเดิม 6.3 โบลิวาร์/ดอลลาร์ เป็น 10 โบลิวาร์/ดอลลาร์ และลดการอุดหนุนและขึ้นราคาน้ำมันเป็น 6 โบลิวาร์ต่อลิตร (จากเดิมราว 10 เซนต์ต่อลิตร) ซึ่งถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่น้อยมากจนแทบจะไม่ส่งผลกระทบกับงบประมาณ
นอกจาก 2 มาตรการที่กล่าวมา แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของเวเนซุเอลายังรวมไปถึงการปรับฐานรายได้ขั้นต่ำของ ประเทศเพิ่มขึ้นอีก 20% และเตรียมเพิ่มสวัสดิการให้กับประชาชน ซึ่งมาตรการทั้งหมดมีแนวโน้มว่าจะยิ่งกระตุ้นให้ภาวะเงินเฟ้อให้ย่ำแย่ไปกัน ใหญ่ ทั้งยังส่งผลให้งบประมาณของประเทศที่ขาดดุลอยู่แล้ว ขยายตัวมากกว่าเดิมที่อยู่ที่ราว 20% ของจีดีพี
สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกยังทำให้รายได้รัฐบาลน้อยลง โดยรัฐวิสาหกิจน้ำมันของเวเนซุเอลา ระบุว่า รายได้จากการค้าน้ำมันในเดือนมกราคม 2559 อยู่ที่เพียง 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากเดือนเดียวกันของปี 2558 ถึง 90%
วิกฤตการเมือง
ในขณะที่ต้องเผชิญกับวิกฤตข้าวยากหมากแพง ชาวเวเนซุเอลายังต้องตกอยู่ในสภาวะไร้ซึ่งทางออกในการปฏิรูป โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่ศาลสูงของประเทศเพิ่งประกาศภาวะฉุกเฉินทาง เศรษฐกิจเป็นเวลา 60 วัน หลังมีการประท้วงอย่างต่อเนื่องจากฝ่ายค้านและกลุ่มนักศึกษามาตลอดเวลาเกือบ 2 ปี ตั้งแต่ประธานาธิบดีมาดูโรขึ้นสู่อำนาจ
นายเฮนรี ลามอส ส.ส.ฝ่ายค้านและโฆษกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โจมตีว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีมาดูโร มีแต่จะทำลายประเทศให้ย่อยยับมากขึ้น และฝ่ายค้านเตรียมจะร่างแผนการกำจัดอำนาจของนายมาดูโรภายในเวลา 6 เดือน ผ่านกลไกทางการเมือง เช่น การออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือการลงประชามติ เพื่อให้ประธานาธิบดีรายนี้ต้องหลุดจากตำแหน่งผู้นำก่อนหมดวาระในปี 2562 ให้ได้
อย่างไรก็ตาม ฐานอำนาจของฝ่ายค้านก็เห็นจะมีแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายศาลสูง และคณะกรรมการที่ควบคุมการเลือกตั้ง ก็มีแต่ฝ่ายสนับสนุนนายมาดูโร ซึ่งไม่ว่าการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือการลงประชามติ ก็เป็นเรื่องหืดจับสำหรับฝ่ายค้านทั้งสิ้น
การที่ศาลสูงเปิดทางให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ 60 วันนั้น ยังถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีมาดูโรสามารถใช้อำนาจพิเศษชั่วคราวใน การนำสินทรัพย์ของบริษัทเอกชนมาเป็นของรัฐ และกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน อันถือเป็นการควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปในทางที่ส่อแววทุจริตได้ง่าย ซ้ำเติมข้อกังขาถึงความโปร่งใสของระบบการบริหาร ด้านสหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีมาดูโรโจมตีว่าเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในเวเนซูเอลา ระบุว่า ผิดหวังกับสถานการณ์ที่ศาลสูงสุดของเวเนฯแทรกแซงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และระบุว่า การแบ่งแยกอำนาจและกระบวนการประชาธิปไตยควรได้รับความเคารพในเวเนซุเอลา
ผลพวงพิษเศรษฐกิจ
ย้อน ไปเมื่อ 27 ปีที่แล้ว การประกาศขึ้นราคาน้ำมันครั้งล่าสุดของเวเนซุเอลา ปี 2532 ทำให้เกิดคลื่นการประท้วง "การากาโซ" ต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น จนนำไปสู่การเปิดทางให้อำนาจใหม่อย่าง อดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งประธานาธิบดีมาดูโรเองก็น่าจะเฝ้าระมัดระวังเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน อยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองที่ไม่โปร่งใสเป็นประชาธิปไตย อาจทำให้เสียงสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลหลุดไปอยู่ในมือฝ่ายค้านเช่นกัน หากสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้นในเร็ว ๆ นี้
นายอัสดรูบัล โอลิเบรอส หัวหน้านักวิเคราะห์จากอีโคอนาลิติกา ระบุว่า "ปัญหาในเวเนซุเอลา คือ การเมืองไม่มีตัวกลางในการจัดการกับความขัดแย้งในเชิงอำนาจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น" โดยหากรัฐบาลเวเนซุเอลาจัดการสถานการณ์อย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต เช่นเดียวกับเหตุการณ์การประท้วงเมื่อปี 2557 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 43 ราย
สถานการณ์การเมืองที่ไร้ซึ่งทางออกของเวเนซุเอลา ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และไร้ทางเยียวยาจากรัฐบาล จึงอาจเป็นชนวนของการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งใหม่ ในประเทศนี้ในอนาคต
***** ไม่ต่างกัน !!!! " เวเนซุเอล่า " เจอพิษเศรษฐกิจหด ปัญหาปากท้องภายใต้ยุคเผด็จการ ***** ( by : Robinhood 9 )
ในช่วงปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อในเวเนซุเอลาสูงน่าสะพรึงถึง 180% ขณะที่ขนาดเศรษฐกิจในประเทศยังหดตัว 5.7% สะท้อนสถานการณ์ที่ย่ำแย่ภายใต้การประกาศสภาวะฉุกเฉินในประเทศเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น El Tiempo รายงานว่า ขณะนี้เวเนซุเอลาต้องเผชิญกับสภาวะขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่จำเป็นในครัวเรือนขาดแคลนถึง 90% ขณะที่ยารักษาโรคก็ขาดแคลนถึง 80% รายงานจากธนาคารกลางระบุว่า ราคาสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม มีราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 315% ในช่วงปีที่ผ่านมา ตามด้วยสินค้าประเภทเสื้อผ้า (ราคาเพิ่มขึ้น 146%) การขนส่ง (129.8%) และบริการสาธารณสุข (110.6%)
สถิติที่เปิดเผยโดยธนาคารเวเนซุเอลา แม้จะสะท้อนความย่ำแย่ของเศรษฐกิจแล้ว แต่ก็ยังดีกว่ารายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่า ตัวเลขเงินเฟ้อในเวเนซุเอลาอาจสูงถึง 275% และเศรษฐกิจหดตัวลงถึง 10% ในปี 2558 และเงินเฟ้อในปีนี้อาจพุงสูงถึง 700%
ปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ก่อนหน้าการประกาศตัวเลขของธนาคารกลางเวเนซุเอลาเพียงไม่กี่วัน ประธานาธิบดี นิโกลาส มาดูโร ผู้สืบทอดอำนาจจาก นายพลฮูโก ชาเวซ ได้แถลงการณ์เตรียมผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ถูกนักวิเคราะห์หลายฝ่ายโจมตีว่า "ครึ่ง ๆ กลาง ๆ"
นายมาดูโร ประกาศว่า จะปรับอัตราแลกเปลี่ยนทางการจากเดิม 6.3 โบลิวาร์/ดอลลาร์ เป็น 10 โบลิวาร์/ดอลลาร์ และลดการอุดหนุนและขึ้นราคาน้ำมันเป็น 6 โบลิวาร์ต่อลิตร (จากเดิมราว 10 เซนต์ต่อลิตร) ซึ่งถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่น้อยมากจนแทบจะไม่ส่งผลกระทบกับงบประมาณ
นอกจาก 2 มาตรการที่กล่าวมา แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของเวเนซุเอลายังรวมไปถึงการปรับฐานรายได้ขั้นต่ำของ ประเทศเพิ่มขึ้นอีก 20% และเตรียมเพิ่มสวัสดิการให้กับประชาชน ซึ่งมาตรการทั้งหมดมีแนวโน้มว่าจะยิ่งกระตุ้นให้ภาวะเงินเฟ้อให้ย่ำแย่ไปกัน ใหญ่ ทั้งยังส่งผลให้งบประมาณของประเทศที่ขาดดุลอยู่แล้ว ขยายตัวมากกว่าเดิมที่อยู่ที่ราว 20% ของจีดีพี
สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกยังทำให้รายได้รัฐบาลน้อยลง โดยรัฐวิสาหกิจน้ำมันของเวเนซุเอลา ระบุว่า รายได้จากการค้าน้ำมันในเดือนมกราคม 2559 อยู่ที่เพียง 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากเดือนเดียวกันของปี 2558 ถึง 90%
วิกฤตการเมือง
ในขณะที่ต้องเผชิญกับวิกฤตข้าวยากหมากแพง ชาวเวเนซุเอลายังต้องตกอยู่ในสภาวะไร้ซึ่งทางออกในการปฏิรูป โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่ศาลสูงของประเทศเพิ่งประกาศภาวะฉุกเฉินทาง เศรษฐกิจเป็นเวลา 60 วัน หลังมีการประท้วงอย่างต่อเนื่องจากฝ่ายค้านและกลุ่มนักศึกษามาตลอดเวลาเกือบ 2 ปี ตั้งแต่ประธานาธิบดีมาดูโรขึ้นสู่อำนาจ
นายเฮนรี ลามอส ส.ส.ฝ่ายค้านและโฆษกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โจมตีว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีมาดูโร มีแต่จะทำลายประเทศให้ย่อยยับมากขึ้น และฝ่ายค้านเตรียมจะร่างแผนการกำจัดอำนาจของนายมาดูโรภายในเวลา 6 เดือน ผ่านกลไกทางการเมือง เช่น การออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือการลงประชามติ เพื่อให้ประธานาธิบดีรายนี้ต้องหลุดจากตำแหน่งผู้นำก่อนหมดวาระในปี 2562 ให้ได้
อย่างไรก็ตาม ฐานอำนาจของฝ่ายค้านก็เห็นจะมีแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายศาลสูง และคณะกรรมการที่ควบคุมการเลือกตั้ง ก็มีแต่ฝ่ายสนับสนุนนายมาดูโร ซึ่งไม่ว่าการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือการลงประชามติ ก็เป็นเรื่องหืดจับสำหรับฝ่ายค้านทั้งสิ้น
การที่ศาลสูงเปิดทางให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ 60 วันนั้น ยังถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีมาดูโรสามารถใช้อำนาจพิเศษชั่วคราวใน การนำสินทรัพย์ของบริษัทเอกชนมาเป็นของรัฐ และกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน อันถือเป็นการควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปในทางที่ส่อแววทุจริตได้ง่าย ซ้ำเติมข้อกังขาถึงความโปร่งใสของระบบการบริหาร ด้านสหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีมาดูโรโจมตีว่าเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในเวเนซูเอลา ระบุว่า ผิดหวังกับสถานการณ์ที่ศาลสูงสุดของเวเนฯแทรกแซงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และระบุว่า การแบ่งแยกอำนาจและกระบวนการประชาธิปไตยควรได้รับความเคารพในเวเนซุเอลา
ผลพวงพิษเศรษฐกิจ
ย้อน ไปเมื่อ 27 ปีที่แล้ว การประกาศขึ้นราคาน้ำมันครั้งล่าสุดของเวเนซุเอลา ปี 2532 ทำให้เกิดคลื่นการประท้วง "การากาโซ" ต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น จนนำไปสู่การเปิดทางให้อำนาจใหม่อย่าง อดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งประธานาธิบดีมาดูโรเองก็น่าจะเฝ้าระมัดระวังเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน อยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองที่ไม่โปร่งใสเป็นประชาธิปไตย อาจทำให้เสียงสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลหลุดไปอยู่ในมือฝ่ายค้านเช่นกัน หากสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้นในเร็ว ๆ นี้
นายอัสดรูบัล โอลิเบรอส หัวหน้านักวิเคราะห์จากอีโคอนาลิติกา ระบุว่า "ปัญหาในเวเนซุเอลา คือ การเมืองไม่มีตัวกลางในการจัดการกับความขัดแย้งในเชิงอำนาจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น" โดยหากรัฐบาลเวเนซุเอลาจัดการสถานการณ์อย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต เช่นเดียวกับเหตุการณ์การประท้วงเมื่อปี 2557 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 43 ราย
สถานการณ์การเมืองที่ไร้ซึ่งทางออกของเวเนซุเอลา ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และไร้ทางเยียวยาจากรัฐบาล จึงอาจเป็นชนวนของการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งใหม่ ในประเทศนี้ในอนาคต