ได้ตามอ่านกระทู้ในห้องศาสนามาได้สักพักหนึ่งแล้ว รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางสนามรบยังไงไม่รู้
วันนี้ฤกษ์งามยามดี หลังวันมาฆบูชา (มาวันสองวัน) วันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสโอวาทปาติโมกข์ แก่เหล่าพระสาวก
เพื่อเป็นแนวทางในการเผยแผ่ประกาศพระสัทธรรมเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ผู้ที่มีธุลีในจักษุน้อยยังมีอยู่เมื่อพวกเขานั้นได้ฟังธรรมแล้วก็จักสามารถบรรลุธรรมได้
โดยในโอวาทปาติโมกข์นี้พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงหลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 อย่าง ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
สรุปง่าย ๆ ก็คือ จะต้องมีความอดทนและมีเป้าหมายหลักคือพระนิพพาน นักบวช จะต้องเป็นผู้ไม่ทำร้ายและไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ธรรมะอันเป็นหัวใจหลักในการมุ่งไปสู่เป้าหมายที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติคือ การงดเว้นบาปทั้งปวง การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อมและการทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งอาจสงเคราะห์ ลงในไตรสิกขาคือศีลสมาธิและปัญญา
และจะต้องไม่กล่าวร้ายไม่ว่าร้ายไม่ทำร้ายผู้อื่น แล้วก็รักษาศีลให้ บริสุทธิ์ ประมาณในการรับประทานอาหาร
อยู่ในที่สงัดเพื่อให้เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร และให้หมั่นบำเพ็ญเพียร
จากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาดังกล่าว ผมจึงคิดว่า กระทู้ศาสนาน่าจะเป็นกระทู้ที่นำเสนอ ในแง่ของการนำคำสอน หรือปริยัติ ที่ท่านได้ ศึกษามาแล้วนำไปปฏิบัติ จนบังเกิดผลเป็นอย่างไร เพื่อที่ผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน จะได้นำไปศึกษา พิจารณาและเลือกปฏิบัติให้ถูกกับจริตของตนได้
หัวข้อธรรม ในพระพุทธศาสนานั้นมีมากมาย ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้ เหตุที่พระองค์ทรงตรัสเอาไว้มากมายเช่นนั้น เพราะจริตของมนุษย์ บุญกุศลที่สั่งสมมา ของแต่ละคนนั้น ไม่เท่ากัน บางท่านอาจจะเหมาะกับหัวข้อธรรมบางอย่าง แต่ยังไม่สามารถ ปฏิบัติในหัวข้อธรรมบางอย่างได้ เพราะไม่เอื้อกับจริตของตน การบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนานั้น ก็มีทั้งทำทานรักษาศีลและเจริญภาวนา ใครที่ถนัดในด้านทำทาน ก็ให้นำเสนอในด้านการทำทานของตน ใครที่ถนัดในด้าน การรักษาศีล ก็ให้นำเสนอในเรื่องการรักษาศีลของตน ใครที่ถนัดในด้านการเจริญสมาธิภาวนา ก็ให้เสนอในด้านการทำสมาธิภาวนาของตน เช่นว่า ตนเองคิดอย่างไร สาเหตุที่คิดทำ ไปทำมาอย่างไร แล้วเกิดผลดี กับจิตใจของตนเอง กับร่างกาย กับคนรอบข้าง กับคนใกล้ชิด คนในบ้าน คนนอกบ้าน เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงานหรือสังคมอย่างไร การให้ทานก็มีตั้งหลายอย่างทั้งอามิสทาน ธรรมทาน อภัยทาน ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน หรือ สังคมสงเคราะห์ ศีล ก็มีทั้งศีล 5 ศีล 8 ภาวนาก็มีทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนาซึ่ง เราจะปฏิเสธ อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะบอกว่า วิปัสสนาดีกว่าสมถะ แล้วไม่ปฏิบัติสมถะ หรือห้ามไม่ให้คนอื่นปฏิบัติสมถะเลยก็ไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วพระพุทธองค์ก็คงจะไม่ตรัสถึงการปฏิบัติสมถะภาวนา แต่เพราะพระองค์ทรงรู้จริตอัธยาศัยของมนุษย์จึงได้ตรัสวิธีแนวทางเอาไว้ หลายประการเพื่อให้ มนุษย์ได้เลือก ให้เหมาะสมกับตนได้ และผมเชื่อมั่นว่าในยุคสมัยนี้ที่มนุษย์มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ ก็คงจะน้อยคนมากที่จะสามารถบรรลุธรรมแล้วไม่ต้องมาเกิดอีกได้ (แต่ผมก็ยังเชื่ออยู่ว่าผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ นั้นมีอยู่จริง เพราะการเชื่ออย่างนี้ก็เป็นหนึ่ง ในสัมมาทิฏฐิ 10 ประการ) เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผมคิดว่า การทำทานก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อที่จะเป็นเสบียง ทางในการข้าม ห้วงวัฏฏะ บางคนอาจจะบอกว่า เป้าหมายสุดท้ายก็ต้องละทั้งบุญและบาปไม่ยึดติดไม่ยึดถือ นั่นก็ อาจจะจริงครับแต่ว่าการที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้เราก็ต้องอาศัยบุญ ที่จะเป็นเสมือนเรือในการข้ามห้วงวัฏฏะ จนไปถึงอีกฝั่งหนึ่งเมื่อถึงฝั่งแล้วก็จะได้ละเรือแล้ว ขึ้นไปสู่ฝัง แต่หากในระหว่างที่อยู่ในระหว่างทางนี้ถ้าเราทิ้งเรือเสีย เราก็จมน้ำแค่นั้นล่ะครับ ดังนั้นพระพุทธองค์ จริงได้ตรัส ถึงการทำทานรักษาศีลการเจริญภาวนาการเจริญปัญญา ทุกอย่างเอาไว้ไม่ได้ละทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมิฉะนั้นแล้วพระองค์ก็คงจะตรัส ถึงแค่วิปัสสนาหรือปัญญาเพียงอย่างเดียวก็คงพอแล้ว แต่เพราะพระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูรู้จริตและอัธยาสัยของสรรพสัตว์ จึงได้ตรัสธรรมะไว้มากมายถึง 84000พระธรรมขันธ์ เพราะแม้พระองค์เองก็ได้บำเพ็ญสิ่งเหล่านี้มาอย่างยิ่งยวดแล้วเหมือนกัน ที่เรียกว่า บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ รายละเอียดหาอ่านกันได้ครับ
สรุปเลยแล้วกันครับ แทนที่จะเป็นการสาดโคลนสาดน้ำลายใส่กัน ท่านศึกษาอะไรมา แล้วท่านได้นำสิ่งที่ศึกษานั้นมาปฏิบัติอย่างไร แล้วเกิดผลอย่างไร เอามาแชร์กันดีกว่าครับ ผมเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาอ่านก็จะมีปัญญาตรองตามและเลือกนำมาปฏิบัติได้ถูกกับจริตอัธยาสัยของตนได้ จะได้ไม่เป็นปริยัติงูพิษ ที่ไม่ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้น มีแต่สร้างวาทกรรมใส่กันเท่านั้น และอาจนำไปสู่วจีทุจริต เป็นพิษต่อตน เป็นอกุศลอีกด้วย ***ง่าย ๆ ทำอย่างไรเอามาแชร์กัน อย่าเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ทดลองปฏิบัติ เป็นแต่รู้ทฤษฎี มาพร่ำเพ้อนะครับ***
เอาสิ่งดี ๆ ที่ท่านปฏิบัติแล้วได้ผลดีมาแชร์กันนะครับ สังคมจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย แล้วจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้เข้ามาอ่านด้วย เพราะจะสามารถนำไปปฏิบัติและใช้ได้จริง ๆ ๆ ในชีวิตประจำวัน เอาแค่ใกล้ ๆก่อนครับยังไม่ต้องไกลมาก เพราะเมื่อพื้นฐานดี เดี๋ยวมันก็จะพัฒนาไปเอง สภาวะธรรมต่อไปจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่จะสามารถเห็นแจ้งและประจักษ์ได้ด้วยตัวของท่านเองอยู่แล้ว เพราะพระธรรมของพระพุทธองค์เป็นเช่นนั้น ดังที่เราสวดกันเป็นประจำนะครับ สวากขาโต ภควตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ
ขอบคุณครับ อยากเห็นสังคมไทย ใสสะอาดน่าอยู่
อยากเห็นกระทู้ห้องศาสนาเป็นแบบนี้บ้างจัง
วันนี้ฤกษ์งามยามดี หลังวันมาฆบูชา (มาวันสองวัน) วันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสโอวาทปาติโมกข์ แก่เหล่าพระสาวก
เพื่อเป็นแนวทางในการเผยแผ่ประกาศพระสัทธรรมเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ผู้ที่มีธุลีในจักษุน้อยยังมีอยู่เมื่อพวกเขานั้นได้ฟังธรรมแล้วก็จักสามารถบรรลุธรรมได้
โดยในโอวาทปาติโมกข์นี้พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงหลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 อย่าง ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
สรุปง่าย ๆ ก็คือ จะต้องมีความอดทนและมีเป้าหมายหลักคือพระนิพพาน นักบวช จะต้องเป็นผู้ไม่ทำร้ายและไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ธรรมะอันเป็นหัวใจหลักในการมุ่งไปสู่เป้าหมายที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติคือ การงดเว้นบาปทั้งปวง การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อมและการทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งอาจสงเคราะห์ ลงในไตรสิกขาคือศีลสมาธิและปัญญา
และจะต้องไม่กล่าวร้ายไม่ว่าร้ายไม่ทำร้ายผู้อื่น แล้วก็รักษาศีลให้ บริสุทธิ์ ประมาณในการรับประทานอาหาร
อยู่ในที่สงัดเพื่อให้เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร และให้หมั่นบำเพ็ญเพียร
จากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาดังกล่าว ผมจึงคิดว่า กระทู้ศาสนาน่าจะเป็นกระทู้ที่นำเสนอ ในแง่ของการนำคำสอน หรือปริยัติ ที่ท่านได้ ศึกษามาแล้วนำไปปฏิบัติ จนบังเกิดผลเป็นอย่างไร เพื่อที่ผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน จะได้นำไปศึกษา พิจารณาและเลือกปฏิบัติให้ถูกกับจริตของตนได้
หัวข้อธรรม ในพระพุทธศาสนานั้นมีมากมาย ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้ เหตุที่พระองค์ทรงตรัสเอาไว้มากมายเช่นนั้น เพราะจริตของมนุษย์ บุญกุศลที่สั่งสมมา ของแต่ละคนนั้น ไม่เท่ากัน บางท่านอาจจะเหมาะกับหัวข้อธรรมบางอย่าง แต่ยังไม่สามารถ ปฏิบัติในหัวข้อธรรมบางอย่างได้ เพราะไม่เอื้อกับจริตของตน การบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนานั้น ก็มีทั้งทำทานรักษาศีลและเจริญภาวนา ใครที่ถนัดในด้านทำทาน ก็ให้นำเสนอในด้านการทำทานของตน ใครที่ถนัดในด้าน การรักษาศีล ก็ให้นำเสนอในเรื่องการรักษาศีลของตน ใครที่ถนัดในด้านการเจริญสมาธิภาวนา ก็ให้เสนอในด้านการทำสมาธิภาวนาของตน เช่นว่า ตนเองคิดอย่างไร สาเหตุที่คิดทำ ไปทำมาอย่างไร แล้วเกิดผลดี กับจิตใจของตนเอง กับร่างกาย กับคนรอบข้าง กับคนใกล้ชิด คนในบ้าน คนนอกบ้าน เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงานหรือสังคมอย่างไร การให้ทานก็มีตั้งหลายอย่างทั้งอามิสทาน ธรรมทาน อภัยทาน ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน หรือ สังคมสงเคราะห์ ศีล ก็มีทั้งศีล 5 ศีล 8 ภาวนาก็มีทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนาซึ่ง เราจะปฏิเสธ อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะบอกว่า วิปัสสนาดีกว่าสมถะ แล้วไม่ปฏิบัติสมถะ หรือห้ามไม่ให้คนอื่นปฏิบัติสมถะเลยก็ไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วพระพุทธองค์ก็คงจะไม่ตรัสถึงการปฏิบัติสมถะภาวนา แต่เพราะพระองค์ทรงรู้จริตอัธยาศัยของมนุษย์จึงได้ตรัสวิธีแนวทางเอาไว้ หลายประการเพื่อให้ มนุษย์ได้เลือก ให้เหมาะสมกับตนได้ และผมเชื่อมั่นว่าในยุคสมัยนี้ที่มนุษย์มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ ก็คงจะน้อยคนมากที่จะสามารถบรรลุธรรมแล้วไม่ต้องมาเกิดอีกได้ (แต่ผมก็ยังเชื่ออยู่ว่าผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ นั้นมีอยู่จริง เพราะการเชื่ออย่างนี้ก็เป็นหนึ่ง ในสัมมาทิฏฐิ 10 ประการ) เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผมคิดว่า การทำทานก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อที่จะเป็นเสบียง ทางในการข้าม ห้วงวัฏฏะ บางคนอาจจะบอกว่า เป้าหมายสุดท้ายก็ต้องละทั้งบุญและบาปไม่ยึดติดไม่ยึดถือ นั่นก็ อาจจะจริงครับแต่ว่าการที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้เราก็ต้องอาศัยบุญ ที่จะเป็นเสมือนเรือในการข้ามห้วงวัฏฏะ จนไปถึงอีกฝั่งหนึ่งเมื่อถึงฝั่งแล้วก็จะได้ละเรือแล้ว ขึ้นไปสู่ฝัง แต่หากในระหว่างที่อยู่ในระหว่างทางนี้ถ้าเราทิ้งเรือเสีย เราก็จมน้ำแค่นั้นล่ะครับ ดังนั้นพระพุทธองค์ จริงได้ตรัส ถึงการทำทานรักษาศีลการเจริญภาวนาการเจริญปัญญา ทุกอย่างเอาไว้ไม่ได้ละทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมิฉะนั้นแล้วพระองค์ก็คงจะตรัส ถึงแค่วิปัสสนาหรือปัญญาเพียงอย่างเดียวก็คงพอแล้ว แต่เพราะพระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูรู้จริตและอัธยาสัยของสรรพสัตว์ จึงได้ตรัสธรรมะไว้มากมายถึง 84000พระธรรมขันธ์ เพราะแม้พระองค์เองก็ได้บำเพ็ญสิ่งเหล่านี้มาอย่างยิ่งยวดแล้วเหมือนกัน ที่เรียกว่า บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ รายละเอียดหาอ่านกันได้ครับ
สรุปเลยแล้วกันครับ แทนที่จะเป็นการสาดโคลนสาดน้ำลายใส่กัน ท่านศึกษาอะไรมา แล้วท่านได้นำสิ่งที่ศึกษานั้นมาปฏิบัติอย่างไร แล้วเกิดผลอย่างไร เอามาแชร์กันดีกว่าครับ ผมเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาอ่านก็จะมีปัญญาตรองตามและเลือกนำมาปฏิบัติได้ถูกกับจริตอัธยาสัยของตนได้ จะได้ไม่เป็นปริยัติงูพิษ ที่ไม่ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้น มีแต่สร้างวาทกรรมใส่กันเท่านั้น และอาจนำไปสู่วจีทุจริต เป็นพิษต่อตน เป็นอกุศลอีกด้วย ***ง่าย ๆ ทำอย่างไรเอามาแชร์กัน อย่าเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ทดลองปฏิบัติ เป็นแต่รู้ทฤษฎี มาพร่ำเพ้อนะครับ***
เอาสิ่งดี ๆ ที่ท่านปฏิบัติแล้วได้ผลดีมาแชร์กันนะครับ สังคมจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย แล้วจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้เข้ามาอ่านด้วย เพราะจะสามารถนำไปปฏิบัติและใช้ได้จริง ๆ ๆ ในชีวิตประจำวัน เอาแค่ใกล้ ๆก่อนครับยังไม่ต้องไกลมาก เพราะเมื่อพื้นฐานดี เดี๋ยวมันก็จะพัฒนาไปเอง สภาวะธรรมต่อไปจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่จะสามารถเห็นแจ้งและประจักษ์ได้ด้วยตัวของท่านเองอยู่แล้ว เพราะพระธรรมของพระพุทธองค์เป็นเช่นนั้น ดังที่เราสวดกันเป็นประจำนะครับ สวากขาโต ภควตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ
ขอบคุณครับ อยากเห็นสังคมไทย ใสสะอาดน่าอยู่