
จากยอดของซิบายัค มองเห็นซินาบุงอยู่ไกล ๆ
ความเดิมจากตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/34835228
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2016
พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตี4 เพระนัดอั๊บดีไว้แล้วว่าจะออกรถตอนตี4ครึ่งเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟซิบายัค
นั่งรถกันได้เพียงครึ่งชม. อั๊บดีก็พาพวกเรามาถึงจุดเดินขึ้นภูเขาไฟ อั๊บดีบอกว่าจุดนี้เพิ่งมีเมื่อปีก่อนหน้านี้เอง จากจุดนี้เราจะเดินกันอีกไม่ถึงหนึ่งชม.ก็จะถึงยอดปากปล่องภูเขาไฟแล้ว
ภูเขาไฟซิบายัคสูงเพียง 2094 เมตร ผมคิดว่าถ้าใครอยากจะลองปีนภูเขาไฟดูซักครั้ง ซิบายัคเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด ทั้งระยะการเดินทาง(จากเมืองไทย)ไม่ไกล นอกจากนี้ทางเดินขึ้นก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรมากนัก
ก่อนหน้าที่จะมาเที่ยว ผมหาข้อมูลได้มาว่า ทางขึ้นซิบายัคมีอยู่สองทาง แต่ที่อั๊บดีพามานี่ ผมว่าไม่ใช่ทั้งสองทางนั้นแน่ ๆ เพราะสองทางนั้นมันดูโหดกว่าเยอะ ทางนี้สะดวกกว่ามาก
ตอนเราเริ่มออกเดิน ฟ้ายังมืดอยู่ ต่างคนต่างก็ต้องเปิดไฟฉายหรือสมาร์ทโฟนเพื่อส่องนำทาง กลิ่นกำมะถันลอยมาจาง ๆ เพราะซิบายัคยังคงมีพลังอยู่ มันพ่นไอน้ำซึ่งทำให้กลิ่นกำมะถันคละคลุ้งไปทั่ว
ปากปล่องภูเขาไฟซิบายัคดูเหมือนยังกับว่าเคยมีการระเบิดอย่างวินาศสันตะโร มันดูเว้าแหว่งอย่างน่ากลัว รอยแตกของมันทำให้เกิดความสูงต่ำรอบปากภูเขาไฟจนเกิดเป็นยอดเขาที่เห็นได้ชัดอยู่สามยอด

ยอดที่ 1ทางขวามือ และยอดที่2อยู่ทางซ้ายมือ
อั๊บดีพาพวกเราไปรอดูพระอาทิตย์บนยอดที่เตี้ยที่สุด(ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะฟ้ายังมืด ขึ้นสองยอดที่เหลือค่อนข้างอันตราย) อากาศเย็นยะเยือก ผมซึ่งใส่เพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น มีเสื้อกันลมทับอีกชั้น ไม่อาจทนทานได้ ต้องหาร่องหินหลบลมที่พัดไม่ยอมหยุดหย่อน

เมืองเบอราสตากี้ยังสดใสด้วยแสงสีอยู่(อั๊บดีถ่าย)
ระหว่างที่รอพระอาทิตย์ขึ้น สายตาของพวกเราจับจ้องอยู่กับภูเขาไฟซินาบุงที่สามารถมองเห็นเค้าลางได้ในยามที่ฟ้าเริ่มสาง

จ้องกันไม่วางตา
ภูเขาไฟซินาบุงสูง 2,460 เมตร ก่อนหน้านี้เจ้าหล่อน(ผมรู้สึกว่าซินาบุงจะเป็นผู้หญิงนะ ดูจากที่ช่วงนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ คุกกรุ่นตลอด) สงบเสงี่ยมมากว่า 400 ปี โดยพึ่งจะกลับมาแอ๊คทีฟเมื่อปี2010 เมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากนั้นคุณเธอก็พิโรธอยู่เป็นระยะ ๆ หนักบ้าง เบาบ้าง
ครั้งล่าสุดที่ระเบิดแบบวินาศสันตะโรก็เมื่อกรกฎาคม 2015 ปีก่อนนี้เอง เล่นเอาคนแถว ๆ นี้ต้องอพยพกันจ้าละหวั่น

ภาพเมื่อครั้งระเบิดหนักเมื่อปีก่อน
อย่างวันที่พวกเราไปนั้น ซินาบุงก็มีการระเบิดเล็ก ๆ (small eruption) อยู่ มีควันพุ่งโขมงพอควร นอกจากนี้ยังมีลาวาสีแดงเพลิงไหลออกมาด้วย ไหลเร็วจนมองแทบไม่ทัน ผมมองด้วยตาเปล่าเห็นแค่ครั้งเดียว แต่อั๊บดีบอกว่า จริง ๆ แล้วขณะนั้นมีลาวาไหลออกมาไม่หยุดเลย เขาใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายออกมาให้ผมดู ซึ่งก็เห็นเป็นแสงสีแดงยาวเป็นทางจากปากปล่องจริง ๆ

ภาพที่อั๊บดีถ่ายให้พวกเราดู
พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงสัญญานของวันใหม่ แสงแดดสาดส่องไปทั่วภูเขาไฟซิบายัค เราจึงได้สังเกตุเห็นว่า ไม่เพียงแต่ยอดที่เรายืนอยู่นั้น อีกสองยอดก็คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน

ภาพจากกล้องของอั๊บดี
หลังยืนหนาวอยู่ได้นานสองนาน ผมซึ่งไม่ได้อยู่สายส่องเลนส์เหมือนเพื่อน ๆ จึงปลีกตัวขอไปสำรวจรอบ ๆ ซิบายัคซะหน่อย
ผมเลือกไปยอดที่มีความสูงเป็นลำดับสองก่อน ทางปีนดูสูงชันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยากเย็นเกินไป (ผู้หญิงขึ้นได้สบาย)

สองสาวนี่ก็ขึ้นกันได้ชิว ๆ
บนยอดสูงลำดับสองมีนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวอยู่กันพอสมควร พื้นที่ข้างบนมีไม่มากนัก ถ้าเรามาช่วงนักท่องเที่ยวเยอะ ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่ได้ขึ้นยอดที่สองแน่นอน
ผมค่อนข้างชอบยอดที่สอง เพราะจากยอดนี้เราจะสามารถมองเห็นปากปล่องซิบายัคและภูเขาไฟซินาบุงอยู่ในเฟรมเดียวกันได้ มันให้ความรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ เป็นการเติมเต็มระหว่างภูเขาไฟทั้งสองลูก

ปากปล่องซิบายัค มีซินาบุงตะหง่านอยู่ด้านหลัง
จะว่าไปก็ทำให้นึกถึงการ์ตูนสั้นเรื่องLava (เป็นการ์ตูนสั้นที่ฉายก่อนการ์ตูนเรื่อง Inside Outในโรงภาพยนต์) ที่บรรยายถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของภูเขาไฟลูกหนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายการเกิดขึ้นของภูเขาไฟอีกลูกจะนำพามาสู่สิ่งที่มันเฝ้ารอมานานแสนนาน..
แต่สงสัยคู่ซิบายัคกับซินาบุงอาจจะไม่หวานซึ้งแบบเรื่องLavaนะครับ ก็ดูสิ ซิบายัคก็แตกเป็นเสี่ยงแบบนั้น ส่วนแม่ซินาบุงก็วีนจนควันขึ้นทุกวัน 555
หลังจากนั้น ผมเลือกจะลงไปเดินเล่นบนพื้นปากปล่องภูเขาไฟซิบายัคซักหน่อย ไหน ๆ ก็มาแล้ว เอาให้มันครบ ทางเดินลงยากไหมน่ะหรือ? เอ่อ คือ ไม่มีทางเดินหรอกครับ มองตรงไหนพอจะตะเกียกตะกายลงไปได้ก็เอามันตรงนั้นแหล่ะ –”

กว้างพอจะทำสนามบอลได้เลยนะเนี้ย
พื้นปากปล่องภูเขาไฟเต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ มีนักท่องเที่ยวนำมาจัดวางเป็นตัวอักษร(เดาว่าเป็นชื่อตัวเอง) พอมองใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าก้อนใหญ่พอดู น่านับถือในความพยายาม (แต่ผมว่าปล่อยไปตามธรรมชาติจะสวยกว่านะ)

จะเรียงบ้างก็ไม่ไหว หนักเกิ้น เฮอ ๆ
แล้วก็แวะไปดูที่มาของเสียงไอน้ำซักหน่อย

เหมืองซัลเฟอร์(กัมมะถัน)ดี ๆ นี่เอง แค๊ก ๆ

ควันไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกในซัลเฟอร์
ไอของกำมะถันพัดลอยขึ้นไปทางยอดที่สาม(ยอดที่สูงที่สุด) ดังนั้นการขึ้นไปนั้น จากที่ยากอยู่แล้วเพราะทางเป็นหินค่อนข้างร่วน ยังต้องมาลำบากคอยอุดจมูกหลบกลิ่นอีก
แต่ผมคิดว่า โดยรวม ก็ไม่ใช่ว่าจะปีนยากอะไร

ไม่มีทางขึ้นเหมือนเดิม เลือกเส้นทางตะลุยหินกรวดตามใจชอบ --"
บนยอดที่ 3 จะกว้างกว่ายอดที่ 2 เยอะ มีที่ให้คนเป็นร้อยอยู่ได้ มาชมภาพกันเลยครับ

มองเห็นซินาบุงได้ใกล้กว่ายอด 1 และยอด 2

ระอุเล็ก ๆ
แสงแดดเริ่มแผดกล้าขึ้นตามเวลาที่ล่วงเลย จากตอนแรกที่ผมหนาวสั่น แต่ตอนนี้เหงื่อชักเริ่มซึม อั๊บดีก็พาเพื่อน ๆ ของผมกลับออกไปหมดแล้ว ผมเองก็คงต้องอำลาซิบายัคด้วยเช่นกัน ว่าแล้วก็ดิ่งเขาลงไปตะลุยควันกำมะถันอีกรอบ แค๊ก ๆ ๆ
ส่วนซินาบุง ยังไม่ถึงเวลากล่าวอำลา เพราะเรายังต้องไปจุดชมวิวกุนดาลิง(Gundaling) ซึ่งเป็นเนินเขาลูกหนึ่ง คนส่วนใหญ่จะมาที่นี่เพื่อชื่นชมซินาบุง อั๊บดีขับรถเดี๋ยว ๆ ถึง เหมือนเดิม

ฟ้าใสพอดี เยี่ยมเลย

สงบ ร่มเย็น แต่คุกกรุ่นอยู่ภายใน
ก็คงต้องถึงเวลาบ๊ายบายภูเขาไฟทั้งสองลูกกันแล้ว ขอบคุณอากาศดี ๆ ที่ทำให้เราได้เห็นทั้งสองลูกอย่างชัดเจน ถ้ามีโอกาสคงได้กลับมาเจอกันใหม่
จากกุนดาลิง พวกเราก็กลับมาที่โฮมสเตย์เพื่อเก็บข้าวของ พวกเรานัดรถเอาไว้ตอนสิบโมงครึ่งเพื่อที่จะพาเราไปส่งยังเมืองปาราปัต

ถึงเวลาอำลานาเชลแฟมิลี่

ขอบคุณและลาก่อน
ก็จบกันไปสำหรับสองวันที่เบอราสตากี้ ตอนต่อไป เราจะไปชมทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันครับ ^^
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 3 – ทะเลสาบโตบาและเกาะซาโมเซีย
http://pantip.com/topic/34837976
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 2 – ซิบายัค & ซินาบุง คู่กันตลอดไป
จากยอดของซิบายัค มองเห็นซินาบุงอยู่ไกล ๆ
ความเดิมจากตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/34835228
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2016
พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตี4 เพระนัดอั๊บดีไว้แล้วว่าจะออกรถตอนตี4ครึ่งเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟซิบายัค
นั่งรถกันได้เพียงครึ่งชม. อั๊บดีก็พาพวกเรามาถึงจุดเดินขึ้นภูเขาไฟ อั๊บดีบอกว่าจุดนี้เพิ่งมีเมื่อปีก่อนหน้านี้เอง จากจุดนี้เราจะเดินกันอีกไม่ถึงหนึ่งชม.ก็จะถึงยอดปากปล่องภูเขาไฟแล้ว
ภูเขาไฟซิบายัคสูงเพียง 2094 เมตร ผมคิดว่าถ้าใครอยากจะลองปีนภูเขาไฟดูซักครั้ง ซิบายัคเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด ทั้งระยะการเดินทาง(จากเมืองไทย)ไม่ไกล นอกจากนี้ทางเดินขึ้นก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรมากนัก
ก่อนหน้าที่จะมาเที่ยว ผมหาข้อมูลได้มาว่า ทางขึ้นซิบายัคมีอยู่สองทาง แต่ที่อั๊บดีพามานี่ ผมว่าไม่ใช่ทั้งสองทางนั้นแน่ ๆ เพราะสองทางนั้นมันดูโหดกว่าเยอะ ทางนี้สะดวกกว่ามาก
ตอนเราเริ่มออกเดิน ฟ้ายังมืดอยู่ ต่างคนต่างก็ต้องเปิดไฟฉายหรือสมาร์ทโฟนเพื่อส่องนำทาง กลิ่นกำมะถันลอยมาจาง ๆ เพราะซิบายัคยังคงมีพลังอยู่ มันพ่นไอน้ำซึ่งทำให้กลิ่นกำมะถันคละคลุ้งไปทั่ว
ปากปล่องภูเขาไฟซิบายัคดูเหมือนยังกับว่าเคยมีการระเบิดอย่างวินาศสันตะโร มันดูเว้าแหว่งอย่างน่ากลัว รอยแตกของมันทำให้เกิดความสูงต่ำรอบปากภูเขาไฟจนเกิดเป็นยอดเขาที่เห็นได้ชัดอยู่สามยอด
ยอดที่ 1ทางขวามือ และยอดที่2อยู่ทางซ้ายมือ
อั๊บดีพาพวกเราไปรอดูพระอาทิตย์บนยอดที่เตี้ยที่สุด(ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะฟ้ายังมืด ขึ้นสองยอดที่เหลือค่อนข้างอันตราย) อากาศเย็นยะเยือก ผมซึ่งใส่เพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น มีเสื้อกันลมทับอีกชั้น ไม่อาจทนทานได้ ต้องหาร่องหินหลบลมที่พัดไม่ยอมหยุดหย่อน
เมืองเบอราสตากี้ยังสดใสด้วยแสงสีอยู่(อั๊บดีถ่าย)
ระหว่างที่รอพระอาทิตย์ขึ้น สายตาของพวกเราจับจ้องอยู่กับภูเขาไฟซินาบุงที่สามารถมองเห็นเค้าลางได้ในยามที่ฟ้าเริ่มสาง
จ้องกันไม่วางตา
ภูเขาไฟซินาบุงสูง 2,460 เมตร ก่อนหน้านี้เจ้าหล่อน(ผมรู้สึกว่าซินาบุงจะเป็นผู้หญิงนะ ดูจากที่ช่วงนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ คุกกรุ่นตลอด) สงบเสงี่ยมมากว่า 400 ปี โดยพึ่งจะกลับมาแอ๊คทีฟเมื่อปี2010 เมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากนั้นคุณเธอก็พิโรธอยู่เป็นระยะ ๆ หนักบ้าง เบาบ้าง
ครั้งล่าสุดที่ระเบิดแบบวินาศสันตะโรก็เมื่อกรกฎาคม 2015 ปีก่อนนี้เอง เล่นเอาคนแถว ๆ นี้ต้องอพยพกันจ้าละหวั่น
ภาพเมื่อครั้งระเบิดหนักเมื่อปีก่อน
อย่างวันที่พวกเราไปนั้น ซินาบุงก็มีการระเบิดเล็ก ๆ (small eruption) อยู่ มีควันพุ่งโขมงพอควร นอกจากนี้ยังมีลาวาสีแดงเพลิงไหลออกมาด้วย ไหลเร็วจนมองแทบไม่ทัน ผมมองด้วยตาเปล่าเห็นแค่ครั้งเดียว แต่อั๊บดีบอกว่า จริง ๆ แล้วขณะนั้นมีลาวาไหลออกมาไม่หยุดเลย เขาใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายออกมาให้ผมดู ซึ่งก็เห็นเป็นแสงสีแดงยาวเป็นทางจากปากปล่องจริง ๆ
ภาพที่อั๊บดีถ่ายให้พวกเราดู
พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงสัญญานของวันใหม่ แสงแดดสาดส่องไปทั่วภูเขาไฟซิบายัค เราจึงได้สังเกตุเห็นว่า ไม่เพียงแต่ยอดที่เรายืนอยู่นั้น อีกสองยอดก็คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
ภาพจากกล้องของอั๊บดี
หลังยืนหนาวอยู่ได้นานสองนาน ผมซึ่งไม่ได้อยู่สายส่องเลนส์เหมือนเพื่อน ๆ จึงปลีกตัวขอไปสำรวจรอบ ๆ ซิบายัคซะหน่อย
ผมเลือกไปยอดที่มีความสูงเป็นลำดับสองก่อน ทางปีนดูสูงชันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยากเย็นเกินไป (ผู้หญิงขึ้นได้สบาย)
สองสาวนี่ก็ขึ้นกันได้ชิว ๆ
บนยอดสูงลำดับสองมีนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวอยู่กันพอสมควร พื้นที่ข้างบนมีไม่มากนัก ถ้าเรามาช่วงนักท่องเที่ยวเยอะ ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่ได้ขึ้นยอดที่สองแน่นอน
ผมค่อนข้างชอบยอดที่สอง เพราะจากยอดนี้เราจะสามารถมองเห็นปากปล่องซิบายัคและภูเขาไฟซินาบุงอยู่ในเฟรมเดียวกันได้ มันให้ความรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ เป็นการเติมเต็มระหว่างภูเขาไฟทั้งสองลูก
ปากปล่องซิบายัค มีซินาบุงตะหง่านอยู่ด้านหลัง
จะว่าไปก็ทำให้นึกถึงการ์ตูนสั้นเรื่องLava (เป็นการ์ตูนสั้นที่ฉายก่อนการ์ตูนเรื่อง Inside Outในโรงภาพยนต์) ที่บรรยายถึงความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของภูเขาไฟลูกหนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายการเกิดขึ้นของภูเขาไฟอีกลูกจะนำพามาสู่สิ่งที่มันเฝ้ารอมานานแสนนาน..
แต่สงสัยคู่ซิบายัคกับซินาบุงอาจจะไม่หวานซึ้งแบบเรื่องLavaนะครับ ก็ดูสิ ซิบายัคก็แตกเป็นเสี่ยงแบบนั้น ส่วนแม่ซินาบุงก็วีนจนควันขึ้นทุกวัน 555
หลังจากนั้น ผมเลือกจะลงไปเดินเล่นบนพื้นปากปล่องภูเขาไฟซิบายัคซักหน่อย ไหน ๆ ก็มาแล้ว เอาให้มันครบ ทางเดินลงยากไหมน่ะหรือ? เอ่อ คือ ไม่มีทางเดินหรอกครับ มองตรงไหนพอจะตะเกียกตะกายลงไปได้ก็เอามันตรงนั้นแหล่ะ –”
กว้างพอจะทำสนามบอลได้เลยนะเนี้ย
พื้นปากปล่องภูเขาไฟเต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ มีนักท่องเที่ยวนำมาจัดวางเป็นตัวอักษร(เดาว่าเป็นชื่อตัวเอง) พอมองใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าก้อนใหญ่พอดู น่านับถือในความพยายาม (แต่ผมว่าปล่อยไปตามธรรมชาติจะสวยกว่านะ)
จะเรียงบ้างก็ไม่ไหว หนักเกิ้น เฮอ ๆ
แล้วก็แวะไปดูที่มาของเสียงไอน้ำซักหน่อย
เหมืองซัลเฟอร์(กัมมะถัน)ดี ๆ นี่เอง แค๊ก ๆ
ควันไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกในซัลเฟอร์
ไอของกำมะถันพัดลอยขึ้นไปทางยอดที่สาม(ยอดที่สูงที่สุด) ดังนั้นการขึ้นไปนั้น จากที่ยากอยู่แล้วเพราะทางเป็นหินค่อนข้างร่วน ยังต้องมาลำบากคอยอุดจมูกหลบกลิ่นอีก
แต่ผมคิดว่า โดยรวม ก็ไม่ใช่ว่าจะปีนยากอะไร
ไม่มีทางขึ้นเหมือนเดิม เลือกเส้นทางตะลุยหินกรวดตามใจชอบ --"
บนยอดที่ 3 จะกว้างกว่ายอดที่ 2 เยอะ มีที่ให้คนเป็นร้อยอยู่ได้ มาชมภาพกันเลยครับ
มองเห็นซินาบุงได้ใกล้กว่ายอด 1 และยอด 2
ระอุเล็ก ๆ
แสงแดดเริ่มแผดกล้าขึ้นตามเวลาที่ล่วงเลย จากตอนแรกที่ผมหนาวสั่น แต่ตอนนี้เหงื่อชักเริ่มซึม อั๊บดีก็พาเพื่อน ๆ ของผมกลับออกไปหมดแล้ว ผมเองก็คงต้องอำลาซิบายัคด้วยเช่นกัน ว่าแล้วก็ดิ่งเขาลงไปตะลุยควันกำมะถันอีกรอบ แค๊ก ๆ ๆ
ส่วนซินาบุง ยังไม่ถึงเวลากล่าวอำลา เพราะเรายังต้องไปจุดชมวิวกุนดาลิง(Gundaling) ซึ่งเป็นเนินเขาลูกหนึ่ง คนส่วนใหญ่จะมาที่นี่เพื่อชื่นชมซินาบุง อั๊บดีขับรถเดี๋ยว ๆ ถึง เหมือนเดิม
ฟ้าใสพอดี เยี่ยมเลย
สงบ ร่มเย็น แต่คุกกรุ่นอยู่ภายใน
ก็คงต้องถึงเวลาบ๊ายบายภูเขาไฟทั้งสองลูกกันแล้ว ขอบคุณอากาศดี ๆ ที่ทำให้เราได้เห็นทั้งสองลูกอย่างชัดเจน ถ้ามีโอกาสคงได้กลับมาเจอกันใหม่
จากกุนดาลิง พวกเราก็กลับมาที่โฮมสเตย์เพื่อเก็บข้าวของ พวกเรานัดรถเอาไว้ตอนสิบโมงครึ่งเพื่อที่จะพาเราไปส่งยังเมืองปาราปัต
ถึงเวลาอำลานาเชลแฟมิลี่
ขอบคุณและลาก่อน
ก็จบกันไปสำหรับสองวันที่เบอราสตากี้ ตอนต่อไป เราจะไปชมทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันครับ ^^
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 3 – ทะเลสาบโตบาและเกาะซาโมเซีย http://pantip.com/topic/34837976