เพ้อ
คืนนี้จันทร์เต็มดวง
มันสว่างไสวลอยเด่นออกมาจากฉากหลังอันมืดมิด
เหล่าดวงดวงน้อยรายล้อมแตะแต้มกระพริบหยอกเย้าอยู่ไม่ห่าง
ลมเย็นแผ่วพลิ้วไล้ผิวกายช่วยปลอบประโลมให้รู้สึกผ่อนคลายลง
มันเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนโลกทั้งใบกำลังโอบอุ้มสิ่งมีชีวิตทั้งมวลด้วยความเป็นมิตรยิ่ง
แต่ในตอนนี้มันกลับไม่ใช่สำหรับใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้
ในวันที่ไม่มีเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป
ความรู้สึกภายในกำลังบอกว่าอะไรบางอย่างนั้นขาดหายไป
มันเป็นความไม่คุ้นเคย เหมือนกับถูกพรากสิ่งที่เคยมาเติมเต็มให้กับชีวิต
ราตรีที่เคยเข้าอกเข้าใจและเป็นมิตรเสมอกับดูโหดร้ายได้อย่างน่าใจหายเมื่อมันนำความมืดมิดมาทาทับฟากฟ้า
ดวงจันทร์และแสงดาวที่เคยงดงามชวนฝันทุกครั้งที่ได้มอง
แต่ตอนนี้เหมือนกับพวกมันกำลังหยอกล้อกันเพียงเพื่อต้องการให้ผู้ที่เฝ้าดูอยู่เบื้องล่างได้ร้อนรน
เงียบเหงาจับใจ
ลมเย็นอ่อนที่ปะทะผิวกายกลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเย็นเยือกได้อย่างน่าประหลาด
นับแต่นี้จะไม่มีเขาอีกแล้ว
คนที่เคยนอนมองดูความงดงามบนฟากฟ้ายามค่ำคืนด้วยกัน
คนที่เคยจับมือ โอบประคอง ยิ้มแย้ม ให้กำลังใจกัน
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรในวันที่จะไม่มีเขายืนอยู่ด้วยกัน
มืดมน
เลือนรางเหลือเกิน
สายตาไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจนดังเก่าก่อน
แม้เพียงในห้วงคะนึงภาพที่เคยชัดเจนยังถูกกางกั้นโดยม่านน้ำตา
ใจหาย
ร่างกายลอยคว้างเบาโหวง
หลังจากนี้จะยังคงลุกขึ้นยืนไหวไหม
จะยังมีแรงเหลือพอประคองตัวไหม
ยามหลับตาจะยังคงเห็นภาพของเขาในนั้นไหม
ควรดีใจหรือเสียใจหากได้เห็นเขาในนั้น
จะเป็นรอยยิ้มหรือน้ำตาที่จะออกมาทักทายในโลกแห่งห้วงนิทรา
คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
น้ำใสไหลออกจากหน้าต่างของจิตใจอย่างเงียบเชียบ
เดียวดาย
ไม่รู้อะไรสักอย่าง
ไม่อยากรับรู้
ไม่ว่าเรื่องอะไรต่อจากนี้
......................................
แสงแห่งทิวาทอลงมาอาบพื้นพสุธาอย่างอ่อนโยน
ความอบอุ่นโอบคลุมรอบกาย
ตาลืมตื่นขึ้นในโลกแห่งแสง พบโลกแห่งความจริงตรงหน้าอีกครั้ง
ทุกสิ่งภายใต้แสงอาทิตย์ยังคงสว่างไสวชัดเจนดังเช่นวันเก่าก่อน
มันเป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง
คำพูดที่ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ผุดขึ้นในความทรงจำ
คนเรามีความรู้สึกสามอย่างกับดวงอาทิตย์
รู้สึกไม่ชอบหากได้รับผลกระทบด้านลบ
ไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหากไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
รู้สึกชอบหากได้รับประโยชน์
และสำหรับเวลานี้คงเป็นความรู้สึกอย่างหลังที่รับรู้ได้กับเวลาเช้าที่เมื่อก่อนไม่เคยอย่างให้มาถึง
โลกถูกสร้างมาอย่างสมดุล
ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ
มีกลางคืนย่อมมีกลางวัน
มีวันฝนตกย่อมมีวันฟ้าใส
นึกขอบคุณในใจที่ธรรมชาติสร้างให้มีกลางวันสลับกับกลางคืน
เหมือนกับเวลาแห่งจินตนาการและเวลาแห่งความเป็นจริง
เวลาที่จิตใจหลุดลอยไปไกลและเวลาที่มันกลับมาอยู่กับตัวเอง
อย่างน้อยที่สุดความสว่างไสวมีชีวิตชีวาในยามนี้ก็ยังบอกว่าทุกอย่างตรงหน้าภายใต้แสงตะวันนี้ยังคงจับต้องได้
มันไม่ได้เคว้งคว้างล่องลอยเหมือนรัตติกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป
ไม่ได้เดียวดายท่ามกลางคืนอันหนาวเหน็บที่ผ่านพ้นไปได้อย่างยากลำบาก
ถึงขาดใครไปสักคนโลกก็ยังคงหมุนต่อไป
ทุกสิ่งยังคงดำเนินต่อไปในทางที่มันเป็น
ทุกสิ่งทุกอย่างยังดำเนินต่อไป
ถึงขาดเขาไปก็ยังคงต้องก้าวเดินไปข้างหน้า
และเวลาก็ยังคงเดินต่อไป
มันเป็นอย่างนั้น และมันก็จะยังคงเป็นอย่างนั้นต่อไป
ตลอดไป
ทั้งๆ ที่ก่อนจะหลับตาความคิดต่างๆ ในหัวสมองยังคงสับสน
แต่ในเวลานี้กลับจำไม่ได้แล้วว่าคืนที่ผ่านมาฝันเห็นเขาหรือไม่
มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว
ยันกายลุกขึ้นด้วยแรงของตัวเอง เผยยิ้มออกมาให้โลกเห็น จ้องมองดวงตะวันกลมโตเบื้องหน้า
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ยืนหยัดและก้าวเดินต่อไปได้
จะกังวลทำไมกับความไม่คุ้นเคยที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เพราะสุดท้ายความคุ้นเคยจะเข้ามาแทนที่สิ่งนั้นเข้าสักวัน
จะกลัวอะไรกับค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
ในเมื่อรู้ว่าสักวันความอบอุ่นจะขับไล่มันไป
สุดท้ายมันก็จะผ่านพ้นไป และแสงแห่งวันพรุ่งก็จะเข้ามาแทนที่ในที่สุด
เพ้อ...
คืนนี้จันทร์เต็มดวง
มันสว่างไสวลอยเด่นออกมาจากฉากหลังอันมืดมิด
เหล่าดวงดวงน้อยรายล้อมแตะแต้มกระพริบหยอกเย้าอยู่ไม่ห่าง
ลมเย็นแผ่วพลิ้วไล้ผิวกายช่วยปลอบประโลมให้รู้สึกผ่อนคลายลง
มันเป็นช่วงเวลาที่ดูเหมือนโลกทั้งใบกำลังโอบอุ้มสิ่งมีชีวิตทั้งมวลด้วยความเป็นมิตรยิ่ง
แต่ในตอนนี้มันกลับไม่ใช่สำหรับใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้
ในวันที่ไม่มีเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป
ความรู้สึกภายในกำลังบอกว่าอะไรบางอย่างนั้นขาดหายไป
มันเป็นความไม่คุ้นเคย เหมือนกับถูกพรากสิ่งที่เคยมาเติมเต็มให้กับชีวิต
ราตรีที่เคยเข้าอกเข้าใจและเป็นมิตรเสมอกับดูโหดร้ายได้อย่างน่าใจหายเมื่อมันนำความมืดมิดมาทาทับฟากฟ้า
ดวงจันทร์และแสงดาวที่เคยงดงามชวนฝันทุกครั้งที่ได้มอง
แต่ตอนนี้เหมือนกับพวกมันกำลังหยอกล้อกันเพียงเพื่อต้องการให้ผู้ที่เฝ้าดูอยู่เบื้องล่างได้ร้อนรน
เงียบเหงาจับใจ
ลมเย็นอ่อนที่ปะทะผิวกายกลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเย็นเยือกได้อย่างน่าประหลาด
นับแต่นี้จะไม่มีเขาอีกแล้ว
คนที่เคยนอนมองดูความงดงามบนฟากฟ้ายามค่ำคืนด้วยกัน
คนที่เคยจับมือ โอบประคอง ยิ้มแย้ม ให้กำลังใจกัน
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรในวันที่จะไม่มีเขายืนอยู่ด้วยกัน
มืดมน
เลือนรางเหลือเกิน
สายตาไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจนดังเก่าก่อน
แม้เพียงในห้วงคะนึงภาพที่เคยชัดเจนยังถูกกางกั้นโดยม่านน้ำตา
ใจหาย
ร่างกายลอยคว้างเบาโหวง
หลังจากนี้จะยังคงลุกขึ้นยืนไหวไหม
จะยังมีแรงเหลือพอประคองตัวไหม
ยามหลับตาจะยังคงเห็นภาพของเขาในนั้นไหม
ควรดีใจหรือเสียใจหากได้เห็นเขาในนั้น
จะเป็นรอยยิ้มหรือน้ำตาที่จะออกมาทักทายในโลกแห่งห้วงนิทรา
คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
น้ำใสไหลออกจากหน้าต่างของจิตใจอย่างเงียบเชียบ
เดียวดาย
ไม่รู้อะไรสักอย่าง
ไม่อยากรับรู้
ไม่ว่าเรื่องอะไรต่อจากนี้
......................................
แสงแห่งทิวาทอลงมาอาบพื้นพสุธาอย่างอ่อนโยน
ความอบอุ่นโอบคลุมรอบกาย
ตาลืมตื่นขึ้นในโลกแห่งแสง พบโลกแห่งความจริงตรงหน้าอีกครั้ง
ทุกสิ่งภายใต้แสงอาทิตย์ยังคงสว่างไสวชัดเจนดังเช่นวันเก่าก่อน
มันเป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง
คำพูดที่ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ผุดขึ้นในความทรงจำ
คนเรามีความรู้สึกสามอย่างกับดวงอาทิตย์
รู้สึกไม่ชอบหากได้รับผลกระทบด้านลบ
ไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหากไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
รู้สึกชอบหากได้รับประโยชน์
และสำหรับเวลานี้คงเป็นความรู้สึกอย่างหลังที่รับรู้ได้กับเวลาเช้าที่เมื่อก่อนไม่เคยอย่างให้มาถึง
โลกถูกสร้างมาอย่างสมดุล
ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ
มีกลางคืนย่อมมีกลางวัน
มีวันฝนตกย่อมมีวันฟ้าใส
นึกขอบคุณในใจที่ธรรมชาติสร้างให้มีกลางวันสลับกับกลางคืน
เหมือนกับเวลาแห่งจินตนาการและเวลาแห่งความเป็นจริง
เวลาที่จิตใจหลุดลอยไปไกลและเวลาที่มันกลับมาอยู่กับตัวเอง
อย่างน้อยที่สุดความสว่างไสวมีชีวิตชีวาในยามนี้ก็ยังบอกว่าทุกอย่างตรงหน้าภายใต้แสงตะวันนี้ยังคงจับต้องได้
มันไม่ได้เคว้งคว้างล่องลอยเหมือนรัตติกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป
ไม่ได้เดียวดายท่ามกลางคืนอันหนาวเหน็บที่ผ่านพ้นไปได้อย่างยากลำบาก
ถึงขาดใครไปสักคนโลกก็ยังคงหมุนต่อไป
ทุกสิ่งยังคงดำเนินต่อไปในทางที่มันเป็น
ทุกสิ่งทุกอย่างยังดำเนินต่อไป
ถึงขาดเขาไปก็ยังคงต้องก้าวเดินไปข้างหน้า
และเวลาก็ยังคงเดินต่อไป
มันเป็นอย่างนั้น และมันก็จะยังคงเป็นอย่างนั้นต่อไป
ตลอดไป
ทั้งๆ ที่ก่อนจะหลับตาความคิดต่างๆ ในหัวสมองยังคงสับสน
แต่ในเวลานี้กลับจำไม่ได้แล้วว่าคืนที่ผ่านมาฝันเห็นเขาหรือไม่
มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว
ยันกายลุกขึ้นด้วยแรงของตัวเอง เผยยิ้มออกมาให้โลกเห็น จ้องมองดวงตะวันกลมโตเบื้องหน้า
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ยืนหยัดและก้าวเดินต่อไปได้
จะกังวลทำไมกับความไม่คุ้นเคยที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เพราะสุดท้ายความคุ้นเคยจะเข้ามาแทนที่สิ่งนั้นเข้าสักวัน
จะกลัวอะไรกับค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
ในเมื่อรู้ว่าสักวันความอบอุ่นจะขับไล่มันไป
สุดท้ายมันก็จะผ่านพ้นไป และแสงแห่งวันพรุ่งก็จะเข้ามาแทนที่ในที่สุด