คำพูดที่ว่า "คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย" เพราะ... ตอน 2

ในบทความนี้ผมจะอธิบายเรื่อง ทำไมหนอ... คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย
ปัจจัยที่ทำให้คนจน ยิ่งจนหนักขึ้น ต่อให้เขาทำงานมากแค่ไหน หรือ คนรวยยิ่งรวยมากขึ้น โดยแทบไม่ต้องทำงาน
(เรื่องของเวลาและอัตราดอกเบี้ย พวกปล่อยกู้ หรือเกงกำไร จะอธิบายในตอนที่  3เพราะเป็นผลต่อเนื่องจากสิ่งที่ได้อธิบาย)

ปัจจัยที่สำคัญมาจาก "กำไร" กำไรเป็นสิ่งที่ไม่ยุธิธรรม  ไม่ควรมี
อ่าวพออ่านมาถึงบรรทัดนี้ เพื่อนๆ ก็เริ่มสงสัยแล้วซิว่า ฉันขายของเอากำไรมันผิดด้วยหรอ?
ทำมาค้าขาย ไม่มีกำไร แล้วจะอยู่ได้อย่างไร บ้าป่าว.... เพื่อนๆ อย่าพึ่งคิดไปไกล กำไรในที่นี้หมายถึงกำไรทางเศรษศาสตร์

และได้อธิบายใน บทความตอนที่ 1 ได้ยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของ กำไรเป็นสิ่งที่ไม่ยุธิธรรม
แต่ยังมีบางอย่างที่หลายคนยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคน ชอบคิดซับซ้อน แน่นอน ความคิดง่ายๆ เล็กๆเป็น ก้าวสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของการคิด
แต่การคิดที่ซับซ้อนมักจะทำให้ยุ่งเหยิง ห่างไกลจากคำตอบของคำถาม และถอดใจเลิกคิดไปในที่สุด...........

ผมได้ยกลิ้งของ บทความที่ 1 ไว้เพื่อดูประกอบ และอธิบายง่ายๆ
http://pantip.com/topic/34773228
สำหรับ
ใน ตอนที่ 2 นี้ ผมจะยกตัวอย่างทางคณิตศาสตร์ และ อธิบายให้ง่ายโดยไม่ใช้ตัวแปล ซับซ้อน
เพราะผู้เขียน ชอบทำเรื่องเข้าใจยากให้เข้าใจง่ายๆ และคิดตื่นๆ เรื่องที่ซับซ้อนนั้นมักจะประกอบไปด้วย เรื่อง ง่ายๆ รวมกันเป็นกลุ่มๆ เหมือนก้อนหินที่ประกอบไปด้วย เม็ดทรายหลายๆเม็ด เพราะผู้อ่านบางท่าน ติดใจและสงสัยอยู่ในบทความที่ 1

โดยปกติในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (คนขายสินค้าคล้ายๆกัน จำนานมากๆ)

เงื่อนไขคำตอบของดุลภาพที่ได้มานั้น บ่งบอกถึง เส้นอุปทานในตลาดแข่งขันสมบูณ์ แล้วยังบ่งบอกอีกว่า
Marginat Cost = Price
ต้นทุนหน่วยสุดท้าย = ราคาสินค้า จะทำให้ผู้ผลิต หรือหน่วยธุรกิจได้รับกำไรสูงสุด และเป็นเส้นที่บ่งบอกถึงผู้ผลิตเต็มใจที่จะขาย
เมื่อรวมเส้นอุปทาน ของผู้ผลิตทุกคนเข้าด้วยกัน จะได้ อุปทานของตลาด

กลับมาดูความหมายจากสิ่งที่อธิบายจากบทความที่ 1 ให้ง่ายขึ้นนั้น คือ
ตุ้นทุนหมูปิ้ง(รวมต้นทุนเศรษฐศาสตร์และต้นทุนทางบัญชีแล้ว) = มูลค่าของเงินที่จ่ายในการซื้อหมูปิ่ง
P-MC =0 นั้นคือกำไรทางเศรฐศาสตร์ จะไม่ได้เลย นั้นเอง แต่กำไรทางบัญชีได้สูงสุดแล้วในความเป็นจริง
เช่นมีร้านหมูปิ้ง ขายทุกร้าน ราคา10 บาทหมดทั้งประเทศ แต่เราไปเปิดร้านหมูปิ้งราคา 14 บาท จะทำให้ขายไม่ได้
บางคนอาจคิดว่า คุณภาพแตกต่างกัน ร้านไกล้ไกล การเข้าถึงทุน ทุกอย่างล้วนแล้ว เป็นต้นทุกทางเศรฐศาสตร์ทั้งสิ้น

ซึ่งหมายถึง ในระบบธุรกิจ ทั่วๆไปนั้น ไม่ได้กำไรทางเศรษฐศาสตร์ ถ้ามองในภาพกว้างๆ แต่ถ้าเจาะลึกเป็น ธุรกิจไป ส่วนใหญ่จะได้รับกำไรตรงส่วนนี้กัน
ค่าจ้างพนักงาน  ความอยู่ดีกินดี GDP = ปริมาณเงิน ๆลๆ เรื่องหมูปิ้งนี้แตกแขนงได้อีกหลายๆเรื่องในระบบเศรษฐกิจ

ธุรกิจที่ได้กำไรทางเศรฐศาสตร์นั้น จะเป็น ธุรกิจผูกขาด
เช่น ไฟฟ้า น้ำปะปา  เป็นต้น

(ผูกขาดธุรกิจไฟฟ้า)
ถ้าสมมติ ว่า มีคนรวย ไปซื้อกิจการ ไฟฟ้าจากรัฐ มาทำเอง เขาจะตั้งราคาเท่าไรก็ได้ (ราคาต้องไม่เกินจริงและอยู่ในขอบเขตของอุปสงค์)
ประชาชนก็จำเป็นต้อง ซื้อ ไฟฟ้ามาใช้ ถ้าเขาตั้งราคา  หน่วย ละ 3 บาท หรือ 25 บาท ก็ต้องจำใจซื้อ เพราะมีเจ้าเดียว
ปล. แต่ถ้าราคา หน่วยละ 1 ล้านคงไม่มีคนซื้อ

ดังนั้น กิจการพวกนี้ รัฐบาลจึง จำเป็นต้องเข้ามาดำเนิน กิจการเอง และขายค่าไฟเท่ากับราคาต้นทุนการผลิต คือ รวม ค่าเชื้อเพลิง ค่าคนงาน เจ้าหน้าที่ ๆลๆ ไปแล้ว

ในสมการคำตอบอธิบายได้ว่า ราคาขายจะมากกว่าต้นทุนหน่วยสุดท้ายเสมอโดยขอบเขตของราคาจะอยู่ที่ E=elasticity ของราคา ในอุปสงค์

จากคำตอบของสมการ ธุรกิจผูกขาด จะเป็นได้ว่า ราคา จะมากกว่า ต้นทุนหน่วยสุดท้ายเสมอ
เหมือน ที่ยกตัวอย่างเรื่อง ขายหมูปิ้ง ขาย ราคา 14 บาท ต้นทุน 10บาท นั้นเอง ถ้าหาก เอกชนดำเนินกิจการ
เป็นที่มาของสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เขียนว่า กำไรเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม
เรื่องเล็กๆของหมูปิ้ง ยังแตกแขนงไปได้อีกหลายเรื่อง รวมถึงการเงิน การคลัง การตลาด เศรฐกิจ ๆลๆ

คุณเคยใช้ Nokia เมื่อ 20 กว่าปีหรือไม่ ยุคเครื่องใหญ่ยักษ์ มีคนเคยเล่าให้ฟัง(พ่อผมเอง)
สมัยนั้น ในประเทศไทย มี AIS เจ้าเดียว ค่าบริการแสนโหดร้าย
ค่ารักษา เบอร์ ต่อเดือน 500 บาท ค่าโทร นาทีละ เกือบ 10 บาท ภายในประเทศ

เพราะบริษัท เข้าผูกขาด ดังนั้น จรึง ให้โอกาศ เจ้าใหม่ๆได้เข้ามาแข่งขัน คือ Ais Dtac Orange(turemove)
เพื่อป้องกันการผูกขาดของหน่วยธุรกิจ ถึงแม้จะเป็นผู้ขายน้อยรายก็ยังดีกว่าผูกขาด ปล.ห้ามฮั่วประมูล

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่