ย้อนเวลาหาอดีต กับ Houston Rockets แชมป์ NBA 1994
เรื่องราวของ Houston Rockets กับฉายา Clutch City เกิดขึ้นเมื่อกลาง ’90 ช่วงที่ทีมคว้าแชมป์แรกของแฟรน์ไชน์ ในปี 1994 และคว้าอีกแชมป์ในปี 1995 หลังได้ดราฟเบอร์ 1 มา 10 ปีเต็ม กว่าจะมาถึงจุดสูงสุดนี้ได้ ไม่ง่าย มีปัญหามากมายให้แก้ไข ทั้งในสนาม และนอกสนาม เมื่อพูดถึง Rockets ในยุคนั้น ก็ต้องพูดถึง Hakeem Olajuwon แกนหลัก และผู้นำทีมหลังได้สัมผัสบาสเก็ตบอลแท้ๆที่อเมริกาอย่างจริงจัง เพียง 4 ปี ก็ถูกดราฟเข้ามาอันดับที่ 1 ปี 1984 และจากผลงานอันห่วยสุดๆของทีมในช่วงนั้น ก่อนที่ฮาคีมจะมา ทำให้จรวดแดงได้ดราฟเบอร์ 1 แล้วเลือก Ralph Sampson เซ็นเตอร์สูง 7’4 สองหนุ่มบิ๊กแมนรวมกันเป็นทวินทาวเวอร์ สื่อบางสำนักบอกสไตล์นี้ไม่น่าจะเวิร์ค แต่พอเอาจริง กลับพาทีมเข้าเพลย์ออฟครั้งแรกในรอบ 3 ปี ทีมจบอันดับ 3 ของสาย (48-34) แต่เข้าไปจอดแค่รอบแรก ฤดูกาลต่อมา ในรอบชิงแชมป์สาย ทวินทาวน์เวอร์แผลงฤทธิ พาทีมพลิกล็อกครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์บาสเก็ตบอล โดยจัดหนัก LA Lakers แชมป์เก่า 4-2 เกม เข้าไปชิงแชมป์กับทีมสุดหิน Boston Celtics ยุคของลุงเบิร์ด และพ้องเพื่อน แต่ก็พ่ายไปในเกม 6 และฤดูกาลต่อมา Sampson เจ็บ ถูกเทรด ทีมเข้าไปจอดแค่รอบ 2 หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เข้ามาเหยียบรอบชิงอีกเลย
6 ปีผ่านมาทีมยังไปไม่ถึงไหน ไปได้ไกลสุดแค่รอบแรก ระหว่างนั้นได้ Otis Thorpe เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด, Kenny Smith พอยต์การ์ด และทีเด็ดอยู่ที่ Vernon “Mad Max” Maxwell ชู้ตติ้งการ์ดเลือดร้อน เป็นออฟชั่นที่ 2 ของทีม ได้มาปี 1991 ตอนนี้ Rockets มีหมัดหนึ่งสองแล้ว แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของ Maxwell เจ้าอารมณ์ เคยมีเรื่องชกต่อยคนดู และเวลาโมโหจะ

น้ำลายลงในคอร์ต ทำให้ฮาคีมไม่พอใจ ได้ตักเตือนบอกให้หยุดทำแบบนั้น แต่ด้วยความเก๋า Maxwell ไม่สน และตอบกลับไปทำนองว่าเอ็งเป็นใครมาสั่งให้ทำโน้นทำนี้ สุดท้ายเจอของจริง โดนฮาคีมตบ หายห้าวในบัดดล สำหรับบาสเก็ตบอล ความสัมผัสกับเพื่อนร่วมทีมสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ทีมคงไปไม่ถึงไหน ถ้าผู้เล่นตัวหลัก 2 คนไม่กินเส้นกัน
จาการเสริมทัพ ทำให้ Rockets ดูดีขึ้น แต่แค่ในหน้ากระดาษ เพราะทีมเล่นกันไม่เป็นทีม ต่างคนต่างเล่น จุดเปลื่ยนของทีมอยู่ในช่วงนี้ เหมือนระเบิดที่รอเวลาทำงาน แกนหลักของทีมอย่างฮาคีม เกิดความขัดแย้งกับผู้บริหารที่ไม่จริงใจ มีป่วยการเมือง ถึงขนาดขอเทรดตัวเองไปที่อื่น ช่วงกลางฤดูกาล 1991-1992 ทีมมีสถิติย่ำแย่ 26-26 หลังพลิกพ่าย T-Wolves ทั้งที่นำถึง 24 แต้ม ในคืนนั้นเองทีมได้ไล่โค้ช Don Chaney ออก ทั้งที่เขาพึ่งได้รางวัลโค้ชยอดเยี่ยม แล้วเอาผู้ช่วยโค้ช Rudy Tomjanovich ที่ยังอยู่ในอาการช๊อคหลังรู้ว่าต้องมาคุมทีม ซึ่งเขาเองไม่เคยคิด ไม่เคยฝันมาก่อน ทำเอาหัวหมุน เพราะตั้งตัวไม่ทัน Rudy อดีตสตาร์ของ Houston Rockets ในยุค ’70 หลังเลิกเล่น มาเป็นแมวมองของทีม ต่อมาเป็นผู้ช่วยโค้ช และคืนนั้นเอง...เฮดโค้ช Rockets จบฤดูกาลด้วยสถิติ 42-40 อันดับ 9 ของสาย ตามหลังอันดับ 8 Lakers เพียง 1 เกม และไม่ได้เข้าเพลย์ออฟครั้งแรกตั้งแต่ดราฟฮาคีมเข้ามา หลังจบฤดูกาล 1992 ได้ดราฟ Robert "Big Shot Rob" Horry เข้าทีม ว่ากันว่าเป็นสเตรท์โฟรคนแรกของลีก ต่อมาระหว่างการเดินทางอันยาวนานมาญี่ปุ่น เพื่อเล่นเกมเปิดประเดิมของฤดูกาล 1992-1993 ฮาคีมกับเจ้าของทีม มีการพูดคุยปรับความเข้าใจ พร้อมกับให้อภัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเกมดังกล่าว Maxwell โดนไล่ออก จาการฟาวล์รุนแรง ช่วงเดินทางกลับสหรัฐ ฮาคีมได้เข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจ และเปลื่ยนทัศคติของ Maxwell ใหม่ ไม่รู้อีท่าไหน หลังจากนั้นทุกอย่างเปลื่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความสัมพันธ์ก็เริ่มพิ่มพูนขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีนี้ ไม่ใช่มีผลแค่นอกสนาม ในสนามก็มีผลด้วย ทั้ง 2 เล่นกันเข้าขาสุดๆอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ฤดูกาล 1992-1993 โค้ชรุกกี้ เปลื่ยนระบบทีมใหม่ รันทุกอย่างจากฮาคีมเหมือนเดิม แต่เพิ่มเรื่องการจ่ายบอลให้คนที่เปิดโล่งกว่า คือเล่นแนวอินไซส์เอาท์ ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด Rockets ระเบิดฟอร์มโหด จบอันดับ 2 ของสายกับสถิติ 55-27 ทะลุเข้าไปจอดอยู่รอบ 2 โดน Sonic เฉือนไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด 4-3 เกม เกมสุดท้ายต้องต่อเวลา และสุดท้ายพ่ายไปแค่ 3 เม็ด ต้องยอมรับว่า Sonic ที่มี Shaw Kemp กับ Gary Paton ดูดีมีราศีกว่า แถม Rockets ยังพึ่งผ่านมรสุมมา ได้แค่นี้ถือว่าฮาคีมกับพ้องเพื่อนเริ่มมาถูกทาง และมองเห็นแหวนแชมป์ลางๆแล้ว หลังจบฤดูกาล จรวดแดงได้ Sam Cassell มาอันดับที่ 24 ได้ Mario Elie (SF) มาเสริมม้านั้งสำรอง และได้เจ้าของทีมใจถึงพึงได้ คนใหม่ Leslie Alexander ซึ่งต่อมาฮาคีมบอกเขาเป็นคนตรงไปตรงมา และเข้ากันได้ดี ในช่วงนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญ คือ MJ ช๊อตโลกกีฬา ประกาศเลิกเล่น
ฤดูกาลไล่ล่าแชมป์ 1993-1994 Rockets ออกสตาร์ตอย่างโหด ชนะ 22 จาก 23 เกมแรก ผ่านไปครึ่งทางของฤดูกาล โค้ช Rudy เริ่มเห็นจุดอ่อนของทีมในเกมบุก ผู้ต้องสงสัยใช่ใครอื่นไกล คือ Robert Horry เด็กปั้นของทีมนั้นเอง Horry บอก เขาน่าจะเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่โดนเทรดเพราะไม่ยอมชู้ตลูก โดยจะแลกกับ Sean Elliott ของ Pistons ดีลจบ แต่ยังไม่ทันได้ลงเล่น Elliott มีปัญหาทางด้านสุขภาพ ดีลเลยถูกยกเลิก Horry กลับมาอยู่ Houston ตามเดิม เขาบอกว่า ถ้า Elliott ไม่ป่วย อาชีพนักบาสของเขาอาจไม่เป็นอย่างนี้ หลังกลับมาในเวอร์ชั่นชู้ตกระจาย ทำให้ฮาคีมมีพื้นที่เล่นมากขึ้น เล่นง่ายขึ้น โค้ชบอกเพียงแค่ 1-2 ฟุตก็มีผล ส่วนโค้ชพอเห็นก็รู้เลยว่าพวกเขาหาสูตรสำเร็จได้แล้ว Rockets กลายเป็นทีมที่เล่นอินไซส์เอาท์ได้ดี ทั้งยังเป็นทีมจอมแม่นในยุคนั้น ที่จบฤดูกาลเป็นอันดับที่ 2 ของสาย กับสถิติ 58-24 ดีที่สุดของแฟรนไชส์ ฮาคีมกับปีที่ 10 ในลีก คว้า MVP ครั้งแรก พร้อมกับได้ผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยม สมัยที่ 2 ติดต่อกัน เป็นปีที่ดีที่สุดของเขา “บาสเก็ตบอลเป็นกีฬาทีม ฉะนั้นผมขอมอบรางวัลนี้ให้กับเพื่อนร่วมทีมของผม รวมถึงโค้ชด้วย” ฮาคีมบอกก่อนชูถ้วยรางวัล พร้อมกับเพื่อนร่วมทีม เป็นครั้งแรกที่ผู้เล่นระดับซุปเปอร์สตาร์ทำแบบนี้ ทำให้เพื่อนร่วมทีมอย่าง Kenny Smith พอยต์การ์ดตัวจริงของทีม มีความรู้สึกว่า MVP นี้เป็นของเขาด้วย
ช่วงเพลย์ออฟ รอบแรกอัดเละ Blazers ของเจ้าเครื่องร่อน 3-1 รอบ 2 เจอกับ Suns แชมป์สายเก่าของท่านเซอร์ จรวดแดงเกือบไม่รอด พ่าย 2 เกมแรกในบ้าน ทั้งที่นำโด่งกว่า 20 แต้มทั้ง 2 เกม หนังสื่อพิมพ์ท้องถิ่นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งตัวใหญ่ว่า Choke City เกม 3-4 ที่บ้านของ Suns จรวดแดงได้ Maxwell ระเบิดฟอร์มเทพ ก้าวขึ้นมากู้สถานการณ์ไว้ เอาคืนได้ทั้ง 2 เกม สุดท้าย Hakeem คืนฟอร์ม พาทีมคัมแบ็คกลับมาได้ 4-3 พร้อมกับฉายาใหม่ Clutch City ทะลุผ่านเข้าไปชิงแชมป์สายกับ Jazz ของสุดยอดคู่หูไร้แหวน ป๋าต็อก กับเมลแมน และผ่านไปได้ไม่ยากเย็น 4-1 เข้าไปชิงแชมป์กับ New York Knicks ของลุงคิงคอง คู่รักคู่แค้นเก่า เป็นคนดับฝัน Hakeem ในแมตซ์ชิงแชมป์ NCAA เมื่อ10 ปีที่แล้ว เป็นสุดยอดแมตซ์อัพในตำนาน เซ็นเตอร์ที่ดีที่สุดของลีก 2 คนมาเจอกัน เป็น NBA Finals ที่อยู่ในความจำ Knicks ยุคนี้เป็นทีมโหดที่สุดในลีก เล่นหนัก เล่นแรง ทำเอาผู้เล่นของจรวดแดง สะบัดสะบอมไปตามๆกัน มีอัดกันด้วย Horry บอกเป็นซี่รี่ส์โหดที่สุดในอาชีพของเขา Rockets เกือบไม่รอดอีกครั้ง พลาดท่าเสียเกม 2 ในบ้าน ซี่รี่ส์เสมอกัน 1-1 ระหว่างเกม 3 โค้ช Rudy เห็นท่าไม่ดี Smith พอยต์การ์ดของทีมโดนจัดหนักจนไปไม่เป็น ถ้าไม่แก้ไขอะไรถึงแพ้ได้ ตัดสินใจส่ง Sam Cassel เด็กใหม่ แต่มีสไตล์การเล่นที่ดุดันกว่า ไม่ยอมใคร ลงไปแทน ช่วงท้ายเกมอีก 48 วินาทีก่อนหมดเวลา Rockets ตาม 2 เม็ด ฮาคีมที่ถูกประกบโดยลุงคิงคอง ทำอะไรได้ไม่ถนัด จ่ายออกมาให้ Cassell ส่องสามโล่งๆ กดหายกดหาย จบเกม จรวดเฉือนชนะ 93-89 เก็บเกมสำคัญสำเร็จ ออกนำ 2-1 ส่วนเกม 4-5 โดน New York ถลุงเละ พร้อมกับขึ้นแท่น 3-2 พอเกม 6 Rockets เล่นในบ้านแบบหลังชนฝา ก่อนหมดเวลา Knicks เรียกเพลย์ให้ John Starks ส่องสาม ยิงลงได้แชมป์ ไม่ลงอัดกันต่อในเกม 7 ส่วนโค้ช Rudy สั่งให้ลูกทีมให้สวิตส์ตัวประกบทั้งหมด ผลคือ ฮาคีม ต้องมาประกบ Starks ที่เร็วกว่า และเกือบเสียท่า ดีที่เป็นเซ็นเตอร์ที่มีความเร็ว ทิปลูกสุดท้ายได้ Rockets เฉือนชนะไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด 86-84 ต่อลมหายใจให้ Rockets กลับมาฟื้นคืนชีพ และเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เกมสุดท้าย ฮาคีม ทำทุกอย่าง ทำ 25 แต้ม 10 รีบาวด์ 7 แอสซิส์ รวมถึงจ่ายบอลให้ Mad Max ฝัง New York Knicks ในช่วงท้ายเกม สุดท้ายหลังรอคอยมา 10 ปี และผ่าฟันอุปสรรคมามากมาย ในที่สุด Houston Rockets ก็คว้าแชมป์ NBA 1994 ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่วนเดอะดรีมได้ Finals MVP ครั้งแรก โดยตลอดทั้งซี่รี่ส์ ทำเฉลี่ย 26.9 แต้ม 9.1 รีบาวด์ 3.6 แอสซิสต์ 3.4 บล็อกต่อเกม
บทความโดยเพจ Thai NBA Fanclub
https://www.facebook.com/ThaiNbaFanclub/
ย้อนเวลาหาอดีต กับ Houston Rockets แชมป์ NBA 1994
เรื่องราวของ Houston Rockets กับฉายา Clutch City เกิดขึ้นเมื่อกลาง ’90 ช่วงที่ทีมคว้าแชมป์แรกของแฟรน์ไชน์ ในปี 1994 และคว้าอีกแชมป์ในปี 1995 หลังได้ดราฟเบอร์ 1 มา 10 ปีเต็ม กว่าจะมาถึงจุดสูงสุดนี้ได้ ไม่ง่าย มีปัญหามากมายให้แก้ไข ทั้งในสนาม และนอกสนาม เมื่อพูดถึง Rockets ในยุคนั้น ก็ต้องพูดถึง Hakeem Olajuwon แกนหลัก และผู้นำทีมหลังได้สัมผัสบาสเก็ตบอลแท้ๆที่อเมริกาอย่างจริงจัง เพียง 4 ปี ก็ถูกดราฟเข้ามาอันดับที่ 1 ปี 1984 และจากผลงานอันห่วยสุดๆของทีมในช่วงนั้น ก่อนที่ฮาคีมจะมา ทำให้จรวดแดงได้ดราฟเบอร์ 1 แล้วเลือก Ralph Sampson เซ็นเตอร์สูง 7’4 สองหนุ่มบิ๊กแมนรวมกันเป็นทวินทาวเวอร์ สื่อบางสำนักบอกสไตล์นี้ไม่น่าจะเวิร์ค แต่พอเอาจริง กลับพาทีมเข้าเพลย์ออฟครั้งแรกในรอบ 3 ปี ทีมจบอันดับ 3 ของสาย (48-34) แต่เข้าไปจอดแค่รอบแรก ฤดูกาลต่อมา ในรอบชิงแชมป์สาย ทวินทาวน์เวอร์แผลงฤทธิ พาทีมพลิกล็อกครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์บาสเก็ตบอล โดยจัดหนัก LA Lakers แชมป์เก่า 4-2 เกม เข้าไปชิงแชมป์กับทีมสุดหิน Boston Celtics ยุคของลุงเบิร์ด และพ้องเพื่อน แต่ก็พ่ายไปในเกม 6 และฤดูกาลต่อมา Sampson เจ็บ ถูกเทรด ทีมเข้าไปจอดแค่รอบ 2 หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เข้ามาเหยียบรอบชิงอีกเลย
6 ปีผ่านมาทีมยังไปไม่ถึงไหน ไปได้ไกลสุดแค่รอบแรก ระหว่างนั้นได้ Otis Thorpe เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด, Kenny Smith พอยต์การ์ด และทีเด็ดอยู่ที่ Vernon “Mad Max” Maxwell ชู้ตติ้งการ์ดเลือดร้อน เป็นออฟชั่นที่ 2 ของทีม ได้มาปี 1991 ตอนนี้ Rockets มีหมัดหนึ่งสองแล้ว แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของ Maxwell เจ้าอารมณ์ เคยมีเรื่องชกต่อยคนดู และเวลาโมโหจะ
จาการเสริมทัพ ทำให้ Rockets ดูดีขึ้น แต่แค่ในหน้ากระดาษ เพราะทีมเล่นกันไม่เป็นทีม ต่างคนต่างเล่น จุดเปลื่ยนของทีมอยู่ในช่วงนี้ เหมือนระเบิดที่รอเวลาทำงาน แกนหลักของทีมอย่างฮาคีม เกิดความขัดแย้งกับผู้บริหารที่ไม่จริงใจ มีป่วยการเมือง ถึงขนาดขอเทรดตัวเองไปที่อื่น ช่วงกลางฤดูกาล 1991-1992 ทีมมีสถิติย่ำแย่ 26-26 หลังพลิกพ่าย T-Wolves ทั้งที่นำถึง 24 แต้ม ในคืนนั้นเองทีมได้ไล่โค้ช Don Chaney ออก ทั้งที่เขาพึ่งได้รางวัลโค้ชยอดเยี่ยม แล้วเอาผู้ช่วยโค้ช Rudy Tomjanovich ที่ยังอยู่ในอาการช๊อคหลังรู้ว่าต้องมาคุมทีม ซึ่งเขาเองไม่เคยคิด ไม่เคยฝันมาก่อน ทำเอาหัวหมุน เพราะตั้งตัวไม่ทัน Rudy อดีตสตาร์ของ Houston Rockets ในยุค ’70 หลังเลิกเล่น มาเป็นแมวมองของทีม ต่อมาเป็นผู้ช่วยโค้ช และคืนนั้นเอง...เฮดโค้ช Rockets จบฤดูกาลด้วยสถิติ 42-40 อันดับ 9 ของสาย ตามหลังอันดับ 8 Lakers เพียง 1 เกม และไม่ได้เข้าเพลย์ออฟครั้งแรกตั้งแต่ดราฟฮาคีมเข้ามา หลังจบฤดูกาล 1992 ได้ดราฟ Robert "Big Shot Rob" Horry เข้าทีม ว่ากันว่าเป็นสเตรท์โฟรคนแรกของลีก ต่อมาระหว่างการเดินทางอันยาวนานมาญี่ปุ่น เพื่อเล่นเกมเปิดประเดิมของฤดูกาล 1992-1993 ฮาคีมกับเจ้าของทีม มีการพูดคุยปรับความเข้าใจ พร้อมกับให้อภัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเกมดังกล่าว Maxwell โดนไล่ออก จาการฟาวล์รุนแรง ช่วงเดินทางกลับสหรัฐ ฮาคีมได้เข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจ และเปลื่ยนทัศคติของ Maxwell ใหม่ ไม่รู้อีท่าไหน หลังจากนั้นทุกอย่างเปลื่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความสัมพันธ์ก็เริ่มพิ่มพูนขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีนี้ ไม่ใช่มีผลแค่นอกสนาม ในสนามก็มีผลด้วย ทั้ง 2 เล่นกันเข้าขาสุดๆอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ฤดูกาล 1992-1993 โค้ชรุกกี้ เปลื่ยนระบบทีมใหม่ รันทุกอย่างจากฮาคีมเหมือนเดิม แต่เพิ่มเรื่องการจ่ายบอลให้คนที่เปิดโล่งกว่า คือเล่นแนวอินไซส์เอาท์ ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด Rockets ระเบิดฟอร์มโหด จบอันดับ 2 ของสายกับสถิติ 55-27 ทะลุเข้าไปจอดอยู่รอบ 2 โดน Sonic เฉือนไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด 4-3 เกม เกมสุดท้ายต้องต่อเวลา และสุดท้ายพ่ายไปแค่ 3 เม็ด ต้องยอมรับว่า Sonic ที่มี Shaw Kemp กับ Gary Paton ดูดีมีราศีกว่า แถม Rockets ยังพึ่งผ่านมรสุมมา ได้แค่นี้ถือว่าฮาคีมกับพ้องเพื่อนเริ่มมาถูกทาง และมองเห็นแหวนแชมป์ลางๆแล้ว หลังจบฤดูกาล จรวดแดงได้ Sam Cassell มาอันดับที่ 24 ได้ Mario Elie (SF) มาเสริมม้านั้งสำรอง และได้เจ้าของทีมใจถึงพึงได้ คนใหม่ Leslie Alexander ซึ่งต่อมาฮาคีมบอกเขาเป็นคนตรงไปตรงมา และเข้ากันได้ดี ในช่วงนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญ คือ MJ ช๊อตโลกกีฬา ประกาศเลิกเล่น
ฤดูกาลไล่ล่าแชมป์ 1993-1994 Rockets ออกสตาร์ตอย่างโหด ชนะ 22 จาก 23 เกมแรก ผ่านไปครึ่งทางของฤดูกาล โค้ช Rudy เริ่มเห็นจุดอ่อนของทีมในเกมบุก ผู้ต้องสงสัยใช่ใครอื่นไกล คือ Robert Horry เด็กปั้นของทีมนั้นเอง Horry บอก เขาน่าจะเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่โดนเทรดเพราะไม่ยอมชู้ตลูก โดยจะแลกกับ Sean Elliott ของ Pistons ดีลจบ แต่ยังไม่ทันได้ลงเล่น Elliott มีปัญหาทางด้านสุขภาพ ดีลเลยถูกยกเลิก Horry กลับมาอยู่ Houston ตามเดิม เขาบอกว่า ถ้า Elliott ไม่ป่วย อาชีพนักบาสของเขาอาจไม่เป็นอย่างนี้ หลังกลับมาในเวอร์ชั่นชู้ตกระจาย ทำให้ฮาคีมมีพื้นที่เล่นมากขึ้น เล่นง่ายขึ้น โค้ชบอกเพียงแค่ 1-2 ฟุตก็มีผล ส่วนโค้ชพอเห็นก็รู้เลยว่าพวกเขาหาสูตรสำเร็จได้แล้ว Rockets กลายเป็นทีมที่เล่นอินไซส์เอาท์ได้ดี ทั้งยังเป็นทีมจอมแม่นในยุคนั้น ที่จบฤดูกาลเป็นอันดับที่ 2 ของสาย กับสถิติ 58-24 ดีที่สุดของแฟรนไชส์ ฮาคีมกับปีที่ 10 ในลีก คว้า MVP ครั้งแรก พร้อมกับได้ผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยม สมัยที่ 2 ติดต่อกัน เป็นปีที่ดีที่สุดของเขา “บาสเก็ตบอลเป็นกีฬาทีม ฉะนั้นผมขอมอบรางวัลนี้ให้กับเพื่อนร่วมทีมของผม รวมถึงโค้ชด้วย” ฮาคีมบอกก่อนชูถ้วยรางวัล พร้อมกับเพื่อนร่วมทีม เป็นครั้งแรกที่ผู้เล่นระดับซุปเปอร์สตาร์ทำแบบนี้ ทำให้เพื่อนร่วมทีมอย่าง Kenny Smith พอยต์การ์ดตัวจริงของทีม มีความรู้สึกว่า MVP นี้เป็นของเขาด้วย
ช่วงเพลย์ออฟ รอบแรกอัดเละ Blazers ของเจ้าเครื่องร่อน 3-1 รอบ 2 เจอกับ Suns แชมป์สายเก่าของท่านเซอร์ จรวดแดงเกือบไม่รอด พ่าย 2 เกมแรกในบ้าน ทั้งที่นำโด่งกว่า 20 แต้มทั้ง 2 เกม หนังสื่อพิมพ์ท้องถิ่นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งตัวใหญ่ว่า Choke City เกม 3-4 ที่บ้านของ Suns จรวดแดงได้ Maxwell ระเบิดฟอร์มเทพ ก้าวขึ้นมากู้สถานการณ์ไว้ เอาคืนได้ทั้ง 2 เกม สุดท้าย Hakeem คืนฟอร์ม พาทีมคัมแบ็คกลับมาได้ 4-3 พร้อมกับฉายาใหม่ Clutch City ทะลุผ่านเข้าไปชิงแชมป์สายกับ Jazz ของสุดยอดคู่หูไร้แหวน ป๋าต็อก กับเมลแมน และผ่านไปได้ไม่ยากเย็น 4-1 เข้าไปชิงแชมป์กับ New York Knicks ของลุงคิงคอง คู่รักคู่แค้นเก่า เป็นคนดับฝัน Hakeem ในแมตซ์ชิงแชมป์ NCAA เมื่อ10 ปีที่แล้ว เป็นสุดยอดแมตซ์อัพในตำนาน เซ็นเตอร์ที่ดีที่สุดของลีก 2 คนมาเจอกัน เป็น NBA Finals ที่อยู่ในความจำ Knicks ยุคนี้เป็นทีมโหดที่สุดในลีก เล่นหนัก เล่นแรง ทำเอาผู้เล่นของจรวดแดง สะบัดสะบอมไปตามๆกัน มีอัดกันด้วย Horry บอกเป็นซี่รี่ส์โหดที่สุดในอาชีพของเขา Rockets เกือบไม่รอดอีกครั้ง พลาดท่าเสียเกม 2 ในบ้าน ซี่รี่ส์เสมอกัน 1-1 ระหว่างเกม 3 โค้ช Rudy เห็นท่าไม่ดี Smith พอยต์การ์ดของทีมโดนจัดหนักจนไปไม่เป็น ถ้าไม่แก้ไขอะไรถึงแพ้ได้ ตัดสินใจส่ง Sam Cassel เด็กใหม่ แต่มีสไตล์การเล่นที่ดุดันกว่า ไม่ยอมใคร ลงไปแทน ช่วงท้ายเกมอีก 48 วินาทีก่อนหมดเวลา Rockets ตาม 2 เม็ด ฮาคีมที่ถูกประกบโดยลุงคิงคอง ทำอะไรได้ไม่ถนัด จ่ายออกมาให้ Cassell ส่องสามโล่งๆ กดหายกดหาย จบเกม จรวดเฉือนชนะ 93-89 เก็บเกมสำคัญสำเร็จ ออกนำ 2-1 ส่วนเกม 4-5 โดน New York ถลุงเละ พร้อมกับขึ้นแท่น 3-2 พอเกม 6 Rockets เล่นในบ้านแบบหลังชนฝา ก่อนหมดเวลา Knicks เรียกเพลย์ให้ John Starks ส่องสาม ยิงลงได้แชมป์ ไม่ลงอัดกันต่อในเกม 7 ส่วนโค้ช Rudy สั่งให้ลูกทีมให้สวิตส์ตัวประกบทั้งหมด ผลคือ ฮาคีม ต้องมาประกบ Starks ที่เร็วกว่า และเกือบเสียท่า ดีที่เป็นเซ็นเตอร์ที่มีความเร็ว ทิปลูกสุดท้ายได้ Rockets เฉือนชนะไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด 86-84 ต่อลมหายใจให้ Rockets กลับมาฟื้นคืนชีพ และเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เกมสุดท้าย ฮาคีม ทำทุกอย่าง ทำ 25 แต้ม 10 รีบาวด์ 7 แอสซิส์ รวมถึงจ่ายบอลให้ Mad Max ฝัง New York Knicks ในช่วงท้ายเกม สุดท้ายหลังรอคอยมา 10 ปี และผ่าฟันอุปสรรคมามากมาย ในที่สุด Houston Rockets ก็คว้าแชมป์ NBA 1994 ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่วนเดอะดรีมได้ Finals MVP ครั้งแรก โดยตลอดทั้งซี่รี่ส์ ทำเฉลี่ย 26.9 แต้ม 9.1 รีบาวด์ 3.6 แอสซิสต์ 3.4 บล็อกต่อเกม
บทความโดยเพจ Thai NBA Fanclub
https://www.facebook.com/ThaiNbaFanclub/