เมื่อวานผมไปร่วมงานมาฆบูชา ที่วัดพระธรรมกายมาครับ
ยังอิ่มอกอิ่มใจ ตลบอบอวลในหัวใจอยู่เลย
ถือโอกาสเอาบุญมาฝากเพื่อน ๆ สมาชิกทุกคนด้วยนะครับ
ก่อนหน้านั้นสักวันสองวัน ผมได้คุยกับหลวงพี่มหา ปธ. 9 ที่วัดรูปหนึ่ง
กราบเรียนถามท่านหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ
เรื่องอัตตา-อนัตตาก็อยู่ในนั้นด้วย
ความจริงไม่ว่าท่านจะเล่าให้ฟังหรือไม่
ก็ไม่มีผลอะไรต่อชุดความคิดเดิมของผมอยู่แล้วละครับ
แต่ยอมรับว่าการได้ยินจากท่าน ทำให้ผมคันไม้คันมือขึ้นมา
555 เปล่าครับ...ผมไม่ได้จะมาหาเรื่องทะเลาะกับใคร
เพียงแต่อดกังวลนิด ๆ ไม่ได้ ว่ากระทู้ต่อไปอาจจะแหย่รังแตน 55
-----------------------------------------
อ่านคอมเม้นต์เพื่อนสมาชิกในกระทู้ที่สองแล้วเกิดกำลังใจครับ
ผมชอบบรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัย คล้ายได้นั่งคุยกันสบาย ๆ อย่างนี้
จะมีแปลกใจอยู่บ้าง ก็ประเภทที่ปุบปับเข้ามาต่อว่า อย่างกับคอมมานโด
อึ้งดีครับ...
ผมลองจินตนาการ ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตจริงจะเป็นอย่างไร
ก็คงประมาณว่าเรากำลังคุยกับเพื่อนสบาย ๆ
อยู่ดี ๆ ก็มีใครไม่รู้มาบึ้มใส่ แล้วเดินหนีไปเลย
อื้มมม!!...ผมคงมองตาเพื่อนแบบงง ๆ ปนสงสัย...
โอเค...อาจจะมี “อะไรของมันวะ” หลุดมาด้วยเบา ๆ 555
โลกเสมือนจริงในอินเตอร์เน็ตนี่น่ากลัวนะครับ น่ากลัว
--------------------------------------------
ผมยังอยากย้ำอีกครั้งครับว่า “พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการลงมือปฏิบัติ”
จะคิด จะพูด มากหรือน้อยไม่เป็นไร
แต่รวม ๆ แล้วต้องให้น้อยกว่า “ลงมือทำ”
เพราะการปฏิบัติธรรมจะช่วยปรับปรุงคุณภาพใจให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เมื่อใจดี...จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ดีตาม
และไม่มีการกระทำใดจะดีได้ ถ้าพื้นฐานใจไม่ดี
คนใจดีไปถึงไหนก็เย็นไปถึงนั่น
ผมถือเป็นแอร์คอนดิชั่นของโลกครับ
ไปอยู่ใกล้ใคร คนใกล้ ๆ ก็เย็นไปด้วย
และผมชอบบรรยากาศที่ได้อยู่กับคนแบบนั้น
ขออนุญาตเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังนะครับ (จะได้ศาสนาสักหน่อย)
เป็นบรรยากาศน่ารัก ๆ ระหว่างพระสารีบุตร กับพระปุณณมันตานีบุตรครับ
ก่อนหน้านั้นผมได้ยินเรื่อง “รถเจ็ดผลัด” มานาน อยากอ่านว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
แต่พอได้อ่านจริง ๆ แทนที่จะได้สิ่งที่อยากได้ กลับไปได้เรื่องบรรยากาศที่จะเล่านี้แทน
สมัยนั้นพระเถระทั้ง 2 องค์ยังไม่เคยเจอหน้ากัน
วันหนึ่งมีพระจากถิ่นที่พระปุณณะอยู่มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงถามว่าที่นั่นมีพระรูปไหน ที่ใคร ๆ ก็ยกย่องว่ามีคุณธรรมความดี และยังสอนคนอื่นให้ดีได้ด้วย (ขอเล่าสไตล์ผมเลยนะครับ จะได้ไม่ยาว)
เรียกว่าโดดเด่นเป็นพระจันทร์ในหมู่ดาวละครับ
พระทูลตอบว่ามีพระเจ้าข้า ชื่อว่าพระปุณณะ
ตอนนั้นพระสารีบุตรนั่งฟังอยู่ด้วย ท่านคิดว่า พระรูปนี้ดีจังเลย เพื่อน ๆ ก็ยกย่อง พระพุทธเจ้าก็ชื่นชมอนุโมทนา อยากเจออยากคุยด้วยสักครั้งหนึ่ง
ผมอ่านถึงตรงนี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ รู้สึกเป็นเกียรติแทนพระปุณณะยังไงไม่รู้ครับ
ไม่ธรรมดานะครับ ขนาดพระอัครสาวกอยากพบตัวเนี่ย
จนวันหนึ่งพระปุณณะมีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เสร็จจากเฝ้าท่านก็เข้าไปพักผ่อนในป่า
พอพระสารีบุตรรู้ว่าพระที่ตัวอยากเจอมา ก็รีบเดินตามไป เห็นหลังกันอยู่ไว ๆ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน
รอจนเย็นถึงได้มาพบกัน
พระสารีบุตรจึงถามปัญหา และพระปุณณะตอบโดยอุปมากับ “รถเจ็ดผลัด” นั่น
มาถึงตอนสำคัญแล้วครับ
พระสารีบุตรถูกใจคำตอบมาก จึงถามว่าท่านชื่ออะไร
พอรู้ว่าเป็นพระปุณณะ ท่านจึงชื่นชมยกย่องเป็นการใหญ่ ว่าตอบคำถามและอธิบายได้อัศจรรย์จริง ๆ คนแบบนี้ ใครมีโอกาสมาอยู่ใกล้ ก็เป็นโชคเป็นบุญของคนนั้น โดยเฉพาะเป็นบุญของผม ที่ได้มาอยู่กับพระปุณณะตรงนี้
ดูสิครับดู คุณธรรมระดับพระอัครสาวก
ยังไม่จบครับ
พระปุณณะถามกลับไปบ้าง ว่าแล้วท่านล่ะ ชื่ออะไร
พอรู้ว่าเป็นพระสารีบุตรเท่านั้นละครับ ท่านก็ว่า โอ้ ตายแล้ว นี่ผมกำลังคุยกับผู้มีคุณคล้ายพระศาสดาอยู่หรือนี่ คำถามที่ถามไม่ธรรมดา ต้องคนมีปัญญาลึกซึ้งจริง ๆ จึงจะตั้งขึ้นมาได้ คนอย่างนี้ ใครได้มาอยู่ใกล้ ก็เป็นโชค เป็นบุญของคน ๆ นั้น ผมมีบุญจังเลย ที่ได้อยู่ใกล้พระสารีบุตรในตอนนี้
หนุงหนิง ๆ มวลความสุขตลบอบอวลไปทั่วป่าครับ
ครั้งแรกที่อ่าน จำได้ว่าน้ำตาไหล แล้วอมยิ้มไปด้วย
สุขใจครับ สุขใจ อยากเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ตรงนั้นด้วยสักคน
ผมว่าขนาดตัวท่านคงไม่เล็กไม่ใหญ่ไปกว่าเราเท่าไหร่หรอกครับ
แต่คุณความดีในใจนี่ วัดขนาดกันไม่ได้ทีเดียว
คนที่มีธรรมะอยู่ในใจ เขาน่ารัก ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอย่างนี้ครับ
ใครบางคนบอกไว้ว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ชีวิตเราก็คล้ายกับเศษเสี้ยวธุลี
แต่สำหรับผม ถึงมันจะเป็นธุลี แต่ก็เป็นธุลีที่มีค่า และต้องเอาใจใส่ให้มากด้วย
ผมอยากมีธรรมะในใจบ้าง จึงพยายามทำให้ชีวิตผมดี มีคุณค่า โดยอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้ามานำทาง
เวลาเรียนรู้ ผมเรียนรู้ด้วยความระมัดระวัง ผมว่าคำสอนของท่าน เก็บงำและซ่อนอะไรเอาไว้เยอะกว่าที่ผมคิด
ในระหว่างที่อ่านไป ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรซ่อนในระหว่างบรรทัด
แม้แต่คำสอนที่ดูธรรมดา ๆ ท่านก็บอกตรง ๆ นี่แหละว่า “อะไร”
แต่บางทีผมกลับเห็นว่า ท่านต้องการสื่อว่า “ทำไม” มากกว่า “อะไร” ซะอีก
นี่เรายังไม่ได้พูดถึง “อย่างไร” นะครับ (ตรงนี้ยากของจริงครับ)
การรู้ว่า “อะไร” แล้วทำ...กับการรู้ว่า “ทำไม” แล้วทำ ผลลัพธ์ต่างกันเยอะครับ
อ่านคำสอนท่านทีไร ผมกล้าพูดเลยว่าผมเข้าใจน้อยนิดจริง ๆ
ขนาดบางเรื่องว่าชัวร์ ใช่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับเข้าใจเรื่องนั้นไปอีกทางหนึ่งเลยก็มี
ผมจึงชอบเตือนตัวเองว่า อย่าเพิ่งคิดว่าเรารู้ ให้เผื่อใจไว้บ้าง มีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้จริง
ก็อย่างที่ไอน์สไตน์ว่าไว้ละครับ
“ความแตกต่างระหว่างความรู้ของคนที่รู้มากที่สุด กับคนที่รู้น้อยที่สุด ถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรายังไม่รู้”
ตอนเด็ก ๆ ครูสอนว่าถ้าขีดเส้นสองเส้นขนานกัน ทั้งสองเส้นนั้นจะไม่มีวันบรรจบกันเลย
แต่เมื่อโตมา ผมทราบว่า ถ้าเราขีดสองเส้นนี้ให้พุ่งไปบนท้องฟ้า ณ ที่หนึ่งมันจะมาตัดกันครับ
กาลิเลโอก็เคยเป็นเสียงส่วนน้อยที่บอกว่าโลกกลม ตัวเองเกือบตาย วันนี้เขากลายเป็นฮีโร่
กฎนิวตันที่เราเคยคิดว่ามันใช้ได้ครอบจักรวาล วันนี้เรารู้ว่ามันใช้ได้ดีบนโลก
แต่ถ้าไปใช้กับอวกาศอันกว้างใหญ่ สัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ดีกว่า
และถ้าเล็กลงมาระดับอะตอม ทฤษฎีควอนตัมดีที่สุด
ผมชอบที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งเงื่อนไว้ครับ มันทำให้ผมได้เปิดใจรับกับสิ่งที่ยังไม่รู้
ณ ป่าประดู่ลาย พระองค์หยิบใบไม้มา 2-3 ใบ แล้วถามพระว่า ใบไม้ที่ถือกับบนต้นไม้ ไหนมากกว่ากัน
เด็กอนุบาลก็ตอบได้ครับ
แล้วทรงสรุปว่า เรื่องที่พระองค์รู้มีเยอะแยะมากมาย แต่ไม่ได้บอก เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อการไปพระนิพพาน
แต่ผมคิดว่า เรื่องที่ไม่ทรงบอก น่าจะมีประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งอยู่
เหมือนขยะน่ะครับ ดูเหมือนไร้ค่า แต่ยังเอากลับมารีไซเคิลได้
แม้ไม่เป็นประโยชน์ต่อการไปนิพพาน แต่มันอาจเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ (อย่าหาว่าฟุ้งซ่านเลยครับ สมองผมมันคิดอย่างนั้นจริง ๆ)
อีกสักเรื่องครับ
พระโมคคัลลานะกับพระลักขณะเดินลงเขาไปบิณฑบาตด้วยกัน
ระหว่างทางพระโมคคัลลานะเห็นเปรตลอยอยู่กลางอากาศ ถูกเหยี่ยว อีแร้งรุมจิกอยู่ ท่านก็ยิ้ม
พระลักขณะไม่เห็น (ไม่มีตาทิพย์) จึงถามว่ายิ้มอะไร
ท่านบอกว่าเดี๋ยวค่อยถามอีกทีตอนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน
พอมาเข้าเฝ้า ท่านเล่าว่าเห็นเปรต
พระแถวนั้นก็หาว่าอวดอุตริ
ดีที่พระพุทธเจ้าอยู่ด้วยจึงรอดไป พระองค์ยืนยันว่าจริง ท่านก็เห็นมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วเขาไม่เชื่อ ก็จะลำบาก
สิ่งที่พระองค์รู้แต่ไม่บอกนี่เยอะนะครับ
บางทีบอก แต่ทิ้งเงื่อนบางอย่างไว้ก็มี (เอาไว้จะมาเล่าให้ฟัง)
ดังนั้น ธรรมะที่คิดว่าเข้าใจ ผมว่าเผื่อใจไว้นิดนะครับ เราอาจไม่ได้รู้จริง
ลงมือปฏิบัติเดี๋ยวนี้จึงดีที่สุดครับ
ทำเมื่อไหร่ จะเข้าใจระดับหนึ่ง ยิ่งทำเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มพูนความเข้าใจ คุณภาพใจก็ดีขึ้นด้วย
ก็เหมือนเราทำงานแหละครับ ตอนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ไฟแรง เลือดร้อน ใครทำไม่ถูกต้องก็พร้อมที่จะหัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป...เป็นอย่างไรเล่าให้ฟังบ้างนะครับ
ความรู้ของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน บางอย่างผมไม่ฟันธง ผมโง่ ยังไม่รู้อีกมาก
ผมก็เลยเลือก “เฉลียง” ครับ
เผื่อใจไว้ ที่ยังไม่เห็น
ขอให้สนุกสนานกับการทำความดีครับ
พระพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบอกเราทุกเรื่อง
ยังอิ่มอกอิ่มใจ ตลบอบอวลในหัวใจอยู่เลย
ถือโอกาสเอาบุญมาฝากเพื่อน ๆ สมาชิกทุกคนด้วยนะครับ
ก่อนหน้านั้นสักวันสองวัน ผมได้คุยกับหลวงพี่มหา ปธ. 9 ที่วัดรูปหนึ่ง
กราบเรียนถามท่านหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ
เรื่องอัตตา-อนัตตาก็อยู่ในนั้นด้วย
ความจริงไม่ว่าท่านจะเล่าให้ฟังหรือไม่
ก็ไม่มีผลอะไรต่อชุดความคิดเดิมของผมอยู่แล้วละครับ
แต่ยอมรับว่าการได้ยินจากท่าน ทำให้ผมคันไม้คันมือขึ้นมา
555 เปล่าครับ...ผมไม่ได้จะมาหาเรื่องทะเลาะกับใคร
เพียงแต่อดกังวลนิด ๆ ไม่ได้ ว่ากระทู้ต่อไปอาจจะแหย่รังแตน 55
-----------------------------------------
อ่านคอมเม้นต์เพื่อนสมาชิกในกระทู้ที่สองแล้วเกิดกำลังใจครับ
ผมชอบบรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัย คล้ายได้นั่งคุยกันสบาย ๆ อย่างนี้
จะมีแปลกใจอยู่บ้าง ก็ประเภทที่ปุบปับเข้ามาต่อว่า อย่างกับคอมมานโด
อึ้งดีครับ...
ผมลองจินตนาการ ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตจริงจะเป็นอย่างไร
ก็คงประมาณว่าเรากำลังคุยกับเพื่อนสบาย ๆ
อยู่ดี ๆ ก็มีใครไม่รู้มาบึ้มใส่ แล้วเดินหนีไปเลย
อื้มมม!!...ผมคงมองตาเพื่อนแบบงง ๆ ปนสงสัย...
โอเค...อาจจะมี “อะไรของมันวะ” หลุดมาด้วยเบา ๆ 555
โลกเสมือนจริงในอินเตอร์เน็ตนี่น่ากลัวนะครับ น่ากลัว
--------------------------------------------
ผมยังอยากย้ำอีกครั้งครับว่า “พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการลงมือปฏิบัติ”
จะคิด จะพูด มากหรือน้อยไม่เป็นไร
แต่รวม ๆ แล้วต้องให้น้อยกว่า “ลงมือทำ”
เพราะการปฏิบัติธรรมจะช่วยปรับปรุงคุณภาพใจให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เมื่อใจดี...จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ดีตาม
และไม่มีการกระทำใดจะดีได้ ถ้าพื้นฐานใจไม่ดี
คนใจดีไปถึงไหนก็เย็นไปถึงนั่น
ผมถือเป็นแอร์คอนดิชั่นของโลกครับ
ไปอยู่ใกล้ใคร คนใกล้ ๆ ก็เย็นไปด้วย
และผมชอบบรรยากาศที่ได้อยู่กับคนแบบนั้น
ขออนุญาตเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังนะครับ (จะได้ศาสนาสักหน่อย)
เป็นบรรยากาศน่ารัก ๆ ระหว่างพระสารีบุตร กับพระปุณณมันตานีบุตรครับ
ก่อนหน้านั้นผมได้ยินเรื่อง “รถเจ็ดผลัด” มานาน อยากอ่านว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
แต่พอได้อ่านจริง ๆ แทนที่จะได้สิ่งที่อยากได้ กลับไปได้เรื่องบรรยากาศที่จะเล่านี้แทน
สมัยนั้นพระเถระทั้ง 2 องค์ยังไม่เคยเจอหน้ากัน
วันหนึ่งมีพระจากถิ่นที่พระปุณณะอยู่มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงถามว่าที่นั่นมีพระรูปไหน ที่ใคร ๆ ก็ยกย่องว่ามีคุณธรรมความดี และยังสอนคนอื่นให้ดีได้ด้วย (ขอเล่าสไตล์ผมเลยนะครับ จะได้ไม่ยาว)
เรียกว่าโดดเด่นเป็นพระจันทร์ในหมู่ดาวละครับ
พระทูลตอบว่ามีพระเจ้าข้า ชื่อว่าพระปุณณะ
ตอนนั้นพระสารีบุตรนั่งฟังอยู่ด้วย ท่านคิดว่า พระรูปนี้ดีจังเลย เพื่อน ๆ ก็ยกย่อง พระพุทธเจ้าก็ชื่นชมอนุโมทนา อยากเจออยากคุยด้วยสักครั้งหนึ่ง
ผมอ่านถึงตรงนี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ รู้สึกเป็นเกียรติแทนพระปุณณะยังไงไม่รู้ครับ
ไม่ธรรมดานะครับ ขนาดพระอัครสาวกอยากพบตัวเนี่ย
จนวันหนึ่งพระปุณณะมีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เสร็จจากเฝ้าท่านก็เข้าไปพักผ่อนในป่า
พอพระสารีบุตรรู้ว่าพระที่ตัวอยากเจอมา ก็รีบเดินตามไป เห็นหลังกันอยู่ไว ๆ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน
รอจนเย็นถึงได้มาพบกัน
พระสารีบุตรจึงถามปัญหา และพระปุณณะตอบโดยอุปมากับ “รถเจ็ดผลัด” นั่น
มาถึงตอนสำคัญแล้วครับ
พระสารีบุตรถูกใจคำตอบมาก จึงถามว่าท่านชื่ออะไร
พอรู้ว่าเป็นพระปุณณะ ท่านจึงชื่นชมยกย่องเป็นการใหญ่ ว่าตอบคำถามและอธิบายได้อัศจรรย์จริง ๆ คนแบบนี้ ใครมีโอกาสมาอยู่ใกล้ ก็เป็นโชคเป็นบุญของคนนั้น โดยเฉพาะเป็นบุญของผม ที่ได้มาอยู่กับพระปุณณะตรงนี้
ดูสิครับดู คุณธรรมระดับพระอัครสาวก
ยังไม่จบครับ
พระปุณณะถามกลับไปบ้าง ว่าแล้วท่านล่ะ ชื่ออะไร
พอรู้ว่าเป็นพระสารีบุตรเท่านั้นละครับ ท่านก็ว่า โอ้ ตายแล้ว นี่ผมกำลังคุยกับผู้มีคุณคล้ายพระศาสดาอยู่หรือนี่ คำถามที่ถามไม่ธรรมดา ต้องคนมีปัญญาลึกซึ้งจริง ๆ จึงจะตั้งขึ้นมาได้ คนอย่างนี้ ใครได้มาอยู่ใกล้ ก็เป็นโชค เป็นบุญของคน ๆ นั้น ผมมีบุญจังเลย ที่ได้อยู่ใกล้พระสารีบุตรในตอนนี้
หนุงหนิง ๆ มวลความสุขตลบอบอวลไปทั่วป่าครับ
ครั้งแรกที่อ่าน จำได้ว่าน้ำตาไหล แล้วอมยิ้มไปด้วย
สุขใจครับ สุขใจ อยากเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ตรงนั้นด้วยสักคน
ผมว่าขนาดตัวท่านคงไม่เล็กไม่ใหญ่ไปกว่าเราเท่าไหร่หรอกครับ
แต่คุณความดีในใจนี่ วัดขนาดกันไม่ได้ทีเดียว
คนที่มีธรรมะอยู่ในใจ เขาน่ารัก ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอย่างนี้ครับ
ใครบางคนบอกไว้ว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ชีวิตเราก็คล้ายกับเศษเสี้ยวธุลี
แต่สำหรับผม ถึงมันจะเป็นธุลี แต่ก็เป็นธุลีที่มีค่า และต้องเอาใจใส่ให้มากด้วย
ผมอยากมีธรรมะในใจบ้าง จึงพยายามทำให้ชีวิตผมดี มีคุณค่า โดยอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้ามานำทาง
เวลาเรียนรู้ ผมเรียนรู้ด้วยความระมัดระวัง ผมว่าคำสอนของท่าน เก็บงำและซ่อนอะไรเอาไว้เยอะกว่าที่ผมคิด
ในระหว่างที่อ่านไป ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรซ่อนในระหว่างบรรทัด
แม้แต่คำสอนที่ดูธรรมดา ๆ ท่านก็บอกตรง ๆ นี่แหละว่า “อะไร”
แต่บางทีผมกลับเห็นว่า ท่านต้องการสื่อว่า “ทำไม” มากกว่า “อะไร” ซะอีก
นี่เรายังไม่ได้พูดถึง “อย่างไร” นะครับ (ตรงนี้ยากของจริงครับ)
การรู้ว่า “อะไร” แล้วทำ...กับการรู้ว่า “ทำไม” แล้วทำ ผลลัพธ์ต่างกันเยอะครับ
อ่านคำสอนท่านทีไร ผมกล้าพูดเลยว่าผมเข้าใจน้อยนิดจริง ๆ
ขนาดบางเรื่องว่าชัวร์ ใช่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับเข้าใจเรื่องนั้นไปอีกทางหนึ่งเลยก็มี
ผมจึงชอบเตือนตัวเองว่า อย่าเพิ่งคิดว่าเรารู้ ให้เผื่อใจไว้บ้าง มีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้จริง
ก็อย่างที่ไอน์สไตน์ว่าไว้ละครับ
“ความแตกต่างระหว่างความรู้ของคนที่รู้มากที่สุด กับคนที่รู้น้อยที่สุด ถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรายังไม่รู้”
ตอนเด็ก ๆ ครูสอนว่าถ้าขีดเส้นสองเส้นขนานกัน ทั้งสองเส้นนั้นจะไม่มีวันบรรจบกันเลย
แต่เมื่อโตมา ผมทราบว่า ถ้าเราขีดสองเส้นนี้ให้พุ่งไปบนท้องฟ้า ณ ที่หนึ่งมันจะมาตัดกันครับ
กาลิเลโอก็เคยเป็นเสียงส่วนน้อยที่บอกว่าโลกกลม ตัวเองเกือบตาย วันนี้เขากลายเป็นฮีโร่
กฎนิวตันที่เราเคยคิดว่ามันใช้ได้ครอบจักรวาล วันนี้เรารู้ว่ามันใช้ได้ดีบนโลก
แต่ถ้าไปใช้กับอวกาศอันกว้างใหญ่ สัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ดีกว่า
และถ้าเล็กลงมาระดับอะตอม ทฤษฎีควอนตัมดีที่สุด
ผมชอบที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งเงื่อนไว้ครับ มันทำให้ผมได้เปิดใจรับกับสิ่งที่ยังไม่รู้
ณ ป่าประดู่ลาย พระองค์หยิบใบไม้มา 2-3 ใบ แล้วถามพระว่า ใบไม้ที่ถือกับบนต้นไม้ ไหนมากกว่ากัน
เด็กอนุบาลก็ตอบได้ครับ
แล้วทรงสรุปว่า เรื่องที่พระองค์รู้มีเยอะแยะมากมาย แต่ไม่ได้บอก เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อการไปพระนิพพาน
แต่ผมคิดว่า เรื่องที่ไม่ทรงบอก น่าจะมีประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งอยู่
เหมือนขยะน่ะครับ ดูเหมือนไร้ค่า แต่ยังเอากลับมารีไซเคิลได้
แม้ไม่เป็นประโยชน์ต่อการไปนิพพาน แต่มันอาจเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ (อย่าหาว่าฟุ้งซ่านเลยครับ สมองผมมันคิดอย่างนั้นจริง ๆ)
อีกสักเรื่องครับ
พระโมคคัลลานะกับพระลักขณะเดินลงเขาไปบิณฑบาตด้วยกัน
ระหว่างทางพระโมคคัลลานะเห็นเปรตลอยอยู่กลางอากาศ ถูกเหยี่ยว อีแร้งรุมจิกอยู่ ท่านก็ยิ้ม
พระลักขณะไม่เห็น (ไม่มีตาทิพย์) จึงถามว่ายิ้มอะไร
ท่านบอกว่าเดี๋ยวค่อยถามอีกทีตอนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน
พอมาเข้าเฝ้า ท่านเล่าว่าเห็นเปรต
พระแถวนั้นก็หาว่าอวดอุตริ
ดีที่พระพุทธเจ้าอยู่ด้วยจึงรอดไป พระองค์ยืนยันว่าจริง ท่านก็เห็นมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วเขาไม่เชื่อ ก็จะลำบาก
สิ่งที่พระองค์รู้แต่ไม่บอกนี่เยอะนะครับ
บางทีบอก แต่ทิ้งเงื่อนบางอย่างไว้ก็มี (เอาไว้จะมาเล่าให้ฟัง)
ดังนั้น ธรรมะที่คิดว่าเข้าใจ ผมว่าเผื่อใจไว้นิดนะครับ เราอาจไม่ได้รู้จริง
ลงมือปฏิบัติเดี๋ยวนี้จึงดีที่สุดครับ
ทำเมื่อไหร่ จะเข้าใจระดับหนึ่ง ยิ่งทำเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มพูนความเข้าใจ คุณภาพใจก็ดีขึ้นด้วย
ก็เหมือนเราทำงานแหละครับ ตอนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ไฟแรง เลือดร้อน ใครทำไม่ถูกต้องก็พร้อมที่จะหัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป...เป็นอย่างไรเล่าให้ฟังบ้างนะครับ
ความรู้ของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน บางอย่างผมไม่ฟันธง ผมโง่ ยังไม่รู้อีกมาก
ผมก็เลยเลือก “เฉลียง” ครับ
เผื่อใจไว้ ที่ยังไม่เห็น
ขอให้สนุกสนานกับการทำความดีครับ