คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
ก็เป็นสิ่งที่คุณอยากทดลอง ค้นหาตัวเอง อาจจะพบสิ่งที่ต้องการ
หรืออาจไม่พบเลยก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะได้ค้นพบคือ
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอาชีพใดๆก็ตาม มันน่าเบื่อมากๆ
(รายได้ต่อเดือนแค่นี้ยังถือว่าแค่พอใช้)
ถ้ารู้วิธีแก้ไขชีวิตก็จะเจอทางออกที่สวยงาม
แต่วิธีที่แก้เบื่อคือต้องหาฮอบบี้ทำ คืองานหลักน่าเบื่อแต่ต้องทน
ฉนั้นต้องหางานอดิเรกทำเสริมเพื่อความสุขทดแทน
หรืออาจไม่พบเลยก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะได้ค้นพบคือ
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอาชีพใดๆก็ตาม มันน่าเบื่อมากๆ
(รายได้ต่อเดือนแค่นี้ยังถือว่าแค่พอใช้)
ถ้ารู้วิธีแก้ไขชีวิตก็จะเจอทางออกที่สวยงาม
แต่วิธีที่แก้เบื่อคือต้องหาฮอบบี้ทำ คืองานหลักน่าเบื่อแต่ต้องทน
ฉนั้นต้องหางานอดิเรกทำเสริมเพื่อความสุขทดแทน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ถ้าภาษาไม่ได้ แล้วไปสมัครเด็กเสิร์ฟจะทำงานได้อย่างไรคะ ปัญหาคือฟังไม่รู้เรื่องแล้วจะเข้าใจสิ่งที่ฝรั่งสั่งได้ถูกต้องได้อย่างไร
ทำงานไอทีนี่ภาษาอังกฤษไม่ได้ต้องระดับ advance เท่าไหร่เลยค่ะเพราะภาษาที่ใช้เป็นภาษาพื้นๆ และศัพท์ทางเทคนิคของไอทีส่วนใหญ่เราก็ใช้ภาษาอังกฤษทับศัพท์กันอยู่แล้ว
ในฐานะทีทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด และต้องติดต่อกับไอทีที่เป็นคนต่างชาติ เราก็ติดต่อเขาด้วยภาษาอังกฤษธรรมดาค่ะ
การจะพัฒนาภาษาอังกฤษได้ดีมันอยู่ที่ใจรักและความสนใจค่ะ จริงอยู่ว่าถ้ามันไม่ได้ใช้มันก็อาจพัฒนาช้ากว่า แต่การไปทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษก็ต้องมีพื้นฐานดี ถ้าพื้นฐานไม่ดีมันก็จะเป็นงานที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาเหมือนกันค่ะ
การทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษจริงๆแล้วมันไม่ได้เน้นคะแนนสอบซักเท่าไหร่นะคะ ฉันทำงานอาชีพนี้มาสิบห้าปี ฟังพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษอย่างเดียวเลย แถมมีประชุมทางโทรศัพท์อีก สำเนียงก็มีทั้งจีน อินเดีย สิงคโปร์ มาเลย์ อังกฤษ และอเมริกา ซึ่งไม่เหมือนกันเลย แต่ฉันก็สามารถประชุมได้เข้าใจและตอบโต้ได้เป็นปกติ แต่ฉันว่าถ้าฉันไปสอบพวกคะแนนภาษาอังกฤษต่างๆที่สำหรับคนเรียนต่อต่อประเทศ ฉันคงได้คะแนนไม่เท่าไหร่เป็นแน่แท้
สิ่งที่ต้องเรียนเพื่อไปสอบพวกคะแนนเหล่านี้กับการใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานมันแตกต่างกันนะคะ
สรุปคือ ความคิดฉันคิดว่าการไปเป็นเด็กเสิร์ฟก็ไม่ได้ช่วยให้ภาษาดีขึ้นซักเท่าไหร่ และยังมีวิธีอื่นที่สามารถพัฒนาภาษาได้ดีกว่าวิธีนี้ค่ะ
นอกจากนั้น คนเคยรับเงินเดือนสี่หมื่นห้ามีชีวิตด้วยรายได้สี่หมื่นห้า ถ้าไปทำงานเด็กเสิร์ฟได้รายได้เท่าไหร่คะ โอเคล่ะว่ามีเงินเก็บจัดการกับหนี้สินได้ แต่คุณคิดจะใช้เงินเก็บในเวลาหนึ่งปีหรือคะแล้วหลังจากนั้นทำอย่างไรคะ
หลังหนึ่งปีคุณจะกลับมาทำงานอะไรคะ โอกาสก็น้อยลง เด็กรุ่นน้องก็เดินตามหลังมาพร้อมจะแซงหน้า อย่างไรเสียการเป็นเด็กเสิร์ฟหนึ่งปีก็ไม่ทำให้ภาษาคุณดีขนาดหน้ามือเป็นหลังมือได้หรอกค่ะ
การจะเก่งภาษาอังกฤษ คุณต้องรักและสนุกกับมันก่อนค่ะ จะพูดภาษาอังกฤษได้ดี ต้องรู้จักคำศัพท์ ไม่ใช่รู้แบบท่องจำเพราะท่องแล้วก็ลืม จะรู้คำศัพท์เยอะๆก็ต้องอ่านเยอะๆ ที่สำคัญต้องไม่แปลอังกฤษเป็นไทย อ่านอังกฤษให้เข้าใจด้วยภาษาอังกฤษ เมื่อรู้คำศัพท์เยอะ ไวยกรณ์จำเป็นก็แค่ tense พื้นฐานก็พอ พอพูดได้ มันก็จะฟังรู้เรื่อง พอฟังรู้เรื่องสำเนียงก็จะตามมาเอง
การฝึกภาษาอังกฤษ มีตั้งหลายวิธี ก่อนจะไปเป็นเด็กเสิร์ฟถาวร ลองลางานซักสองอาทิตย์ไปสมัครทำงานแบบไม่เอาเงินเดือน พวก wwoof ดูก่อนไหม ถ้าคิดว่ามันช่วยได้แล้วค่อยทิ้งโอกาสในชีวิตไปลองเต็มตัวแบบที่ตั้งใจ
มันก็ถูกนะว่าตั้งใจทำอะไรแล้วได้ทำ หรือเดินตามความฝัน แต่บางครั้งมันก็ต้องดูด้วยว่าหลังจากเดินตามความฝันแล้วมันเกิดอะไรได้บ้าง แย่สุดเป็นอย่างไรดีสุดเป็นอย่างไร แล้วรับได้ไหม คือคนมันอยากทำนะวันนี้ด้วยความอยากอะไรก็หาเหตุผลมาแก้ให้ตัวเองได้หมดแหละ แต่หลังจากนั้นล่ะจะมานั่งเสียใจเสียดายเวลาและโอกาสไหม
ที่สำคัญเศรษฐกิจโลกมันคงจะไม่ดีขึ้นในปีสองปีนี้หรอก แล้วถ้าเกิดมันแย่ลงกว่านี้ล่ะ หลังจากเดินตามความฝันแล้วจะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเอง
ทำงานไอทีนี่ภาษาอังกฤษไม่ได้ต้องระดับ advance เท่าไหร่เลยค่ะเพราะภาษาที่ใช้เป็นภาษาพื้นๆ และศัพท์ทางเทคนิคของไอทีส่วนใหญ่เราก็ใช้ภาษาอังกฤษทับศัพท์กันอยู่แล้ว
ในฐานะทีทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด และต้องติดต่อกับไอทีที่เป็นคนต่างชาติ เราก็ติดต่อเขาด้วยภาษาอังกฤษธรรมดาค่ะ
การจะพัฒนาภาษาอังกฤษได้ดีมันอยู่ที่ใจรักและความสนใจค่ะ จริงอยู่ว่าถ้ามันไม่ได้ใช้มันก็อาจพัฒนาช้ากว่า แต่การไปทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษก็ต้องมีพื้นฐานดี ถ้าพื้นฐานไม่ดีมันก็จะเป็นงานที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาเหมือนกันค่ะ
การทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษจริงๆแล้วมันไม่ได้เน้นคะแนนสอบซักเท่าไหร่นะคะ ฉันทำงานอาชีพนี้มาสิบห้าปี ฟังพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษอย่างเดียวเลย แถมมีประชุมทางโทรศัพท์อีก สำเนียงก็มีทั้งจีน อินเดีย สิงคโปร์ มาเลย์ อังกฤษ และอเมริกา ซึ่งไม่เหมือนกันเลย แต่ฉันก็สามารถประชุมได้เข้าใจและตอบโต้ได้เป็นปกติ แต่ฉันว่าถ้าฉันไปสอบพวกคะแนนภาษาอังกฤษต่างๆที่สำหรับคนเรียนต่อต่อประเทศ ฉันคงได้คะแนนไม่เท่าไหร่เป็นแน่แท้
สิ่งที่ต้องเรียนเพื่อไปสอบพวกคะแนนเหล่านี้กับการใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานมันแตกต่างกันนะคะ
สรุปคือ ความคิดฉันคิดว่าการไปเป็นเด็กเสิร์ฟก็ไม่ได้ช่วยให้ภาษาดีขึ้นซักเท่าไหร่ และยังมีวิธีอื่นที่สามารถพัฒนาภาษาได้ดีกว่าวิธีนี้ค่ะ
นอกจากนั้น คนเคยรับเงินเดือนสี่หมื่นห้ามีชีวิตด้วยรายได้สี่หมื่นห้า ถ้าไปทำงานเด็กเสิร์ฟได้รายได้เท่าไหร่คะ โอเคล่ะว่ามีเงินเก็บจัดการกับหนี้สินได้ แต่คุณคิดจะใช้เงินเก็บในเวลาหนึ่งปีหรือคะแล้วหลังจากนั้นทำอย่างไรคะ
หลังหนึ่งปีคุณจะกลับมาทำงานอะไรคะ โอกาสก็น้อยลง เด็กรุ่นน้องก็เดินตามหลังมาพร้อมจะแซงหน้า อย่างไรเสียการเป็นเด็กเสิร์ฟหนึ่งปีก็ไม่ทำให้ภาษาคุณดีขนาดหน้ามือเป็นหลังมือได้หรอกค่ะ
การจะเก่งภาษาอังกฤษ คุณต้องรักและสนุกกับมันก่อนค่ะ จะพูดภาษาอังกฤษได้ดี ต้องรู้จักคำศัพท์ ไม่ใช่รู้แบบท่องจำเพราะท่องแล้วก็ลืม จะรู้คำศัพท์เยอะๆก็ต้องอ่านเยอะๆ ที่สำคัญต้องไม่แปลอังกฤษเป็นไทย อ่านอังกฤษให้เข้าใจด้วยภาษาอังกฤษ เมื่อรู้คำศัพท์เยอะ ไวยกรณ์จำเป็นก็แค่ tense พื้นฐานก็พอ พอพูดได้ มันก็จะฟังรู้เรื่อง พอฟังรู้เรื่องสำเนียงก็จะตามมาเอง
การฝึกภาษาอังกฤษ มีตั้งหลายวิธี ก่อนจะไปเป็นเด็กเสิร์ฟถาวร ลองลางานซักสองอาทิตย์ไปสมัครทำงานแบบไม่เอาเงินเดือน พวก wwoof ดูก่อนไหม ถ้าคิดว่ามันช่วยได้แล้วค่อยทิ้งโอกาสในชีวิตไปลองเต็มตัวแบบที่ตั้งใจ
มันก็ถูกนะว่าตั้งใจทำอะไรแล้วได้ทำ หรือเดินตามความฝัน แต่บางครั้งมันก็ต้องดูด้วยว่าหลังจากเดินตามความฝันแล้วมันเกิดอะไรได้บ้าง แย่สุดเป็นอย่างไรดีสุดเป็นอย่างไร แล้วรับได้ไหม คือคนมันอยากทำนะวันนี้ด้วยความอยากอะไรก็หาเหตุผลมาแก้ให้ตัวเองได้หมดแหละ แต่หลังจากนั้นล่ะจะมานั่งเสียใจเสียดายเวลาและโอกาสไหม
ที่สำคัญเศรษฐกิจโลกมันคงจะไม่ดีขึ้นในปีสองปีนี้หรอก แล้วถ้าเกิดมันแย่ลงกว่านี้ล่ะ หลังจากเดินตามความฝันแล้วจะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเอง
ความคิดเห็นที่ 77
มีเรื่องเป็นกำลังใจให้สองเรื่องครับ เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่มีการแต่งเติมใด
เรื่องแรกเป็นเรื่องของผมเองครับ ผมเป็นคนที่ภาษาอังกฤษอ่อนมาก อ่อนขนาดสมัยมัธยม โรงเรียนผมจะทำมาตรฐานโรงเรียนด้านภาษาอังกฤษ ผมเป็นคนเดียวในชั้นเรียน ที่ครูให้ออกจากห้องที่จะมีการ audit นั้น ย้ำว่าคนเดียวจริงๆ โดยท่านบอกว่า ไปไหนก็ได้ ผมก็ไปนั่งเศร้าซึมในโรงอาหาร จนทีม audit กลับไป ผมถึงได้กลับขึ้นห้องไปเรียนหนังสือต่อ เป็นปมชีวิตปมใหญ่ๆที่ติดตัวมาจนสมัยทำงาน ตั้งใจจะลบปมนี้ให้ได้ก่อน 30 ครับ ทำงานเก็บเงินหาค่าตั๋ว เพื่อไปหาญาติที่อเมริกา ตั้งใจไปเรียนภาษา ค่าตั๋วครบ ค่าเรียนภาษาครบ เงินฉุกเฉินอีก 2 หมื่นบาทไทย ก็ไปทำวีซ่า ขนาดสัมภาษณ์วีซ่ายังเข้าช่องสัมภาษณ์ภาษาไทยเลยครับ ทุกอย่างครบรอวันเดินทาง ก็นั่งท่องศัพท์ อ่านบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปอย่างดี แล้วเดินทางเลย เป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต ขึ้นสุวรรณภูมิ ต่อเครื่องนาริตะ และไปจบที่ชิคาโก้ อยู่บนเครื่องยังโดนแอร์กับสจ้วตฝรั่งอำตลอดเลยครับ เหมือนเค้ารู้ว่า อายที่จะพูด ทุกครั้งที่สั่งอาหาร หรือน้ำ จะมีการบอกว่า อะไรนะค่ะ/ครับ พูดดังๆซิค่ะ / ครับ แล้วก็ยิ้ม ตลอดการเดินทาง พอถึงชิคาโก้มีป้ามารับ และก็เริ่มไปสมัครเรียน เดินทางเอง ขึ้นบัส ต่อรถไฟ เข้าเมือง รอบตัวมีแต่ฝรั่ง ช่วงแรกมีแอบคิด "ku มาทำอะไรที่นี่" แต่รู้ครับ คนขี้เกียจอย่างผม จะให้อ่านหนังสือ ไปเรียนภาษา ถ้าทำในไทย รับรองผลัดวันประกันพรุ่งแน่นอน ต้องเจอยาแรงแบบนี้ ตั๋วกลับที่จองไว้เป็นแบบระบุวันกลับ คือ 6 เดือนเต็มๆ นับจากวันที่มาถึง ต้องอยู่ให้รอดครับ และพอดีกลับเจออาจารย์ฝรั่งดีด้วย แกช่วยสร้างความมั่นใจให้ แกพยายามกับผมมาก เหมือนรู้ว่าไอ้นี่โง่จริง แกบอกผมว่า "คนเอเซียที่มาเรียนภาษา จริงๆแล้วเก่งนะ แต่อาย พวกคุณรู้ศัพท์เยอะ แต่อายที่จะพูด ฉันเจอเด็กนักเรียนบางคน รู้ศัพท์เยอะกว่าเด็กอเมริกาบางคนอีก" (มารู้ตอนหลังว่า แกหมายถึงศัพท์ระดับ TOEFL ครับ) แกให้ผมพูดกับแกเป็นคำๆ พยายามคุย ไม่เข้าใจแกก็เขียน ผมก็เปิดดิกไปคุยไปจนเริ่มมีความมั่นใจ และระหว่างนั้นก็หาเงินใช้ด้วย โดยการไปทำงานร้านอาหารไทย ก็ได้เจอฝรั่งอีก สบายแล้วครับ แรกๆจดเป็นคำไทยให้แม่ครัวอ่าน บางวันเจอพ่อครัวแม่ครัวแม๊กซิกัน ก็ต้องหัดเขียนภาษาอังกฤษ มันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หัดดูหนังฝรั่งแท้ๆ แบบไม่มีคำแปลเป็นการดูหนังที่น่าเบื่อที่สุดในโลก กดหยุด กดย้อนทุกประโยค พยายามแกะ พยายามแปลมันทุกคำ ตอนนั้นผมดูซี่รี่ย์ FRIEND ครับ แผ่นหนึ่งใช้เวลาดู 5 ชั่วโมง ก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ วันไหนไปห้าง ไปสวนสาธารณะก็ลองชวนฝรั่งคุย ลองวิชากันไป เดือนสุดท้ายนี่มั่นมาก ขึ้นรถไฟ ขึ้นเครื่อง ไปเที่ยวคนเดียวต่างรัฐ และก็กลับมาไทยครับ ก็กลับมาสมัครงานใหม่ ได้ทำบริษัทต่างชาติเลยครับ
เพื่อนผมอีกคน อยากเก่งภาษาเหมือนกัน ทิ้งงานที่กรุงเทพ แต่อารมณ์เดียวกับผม คือไม่เจอยาแรง แล้วไม่หาย เค้าตัดสินใจลงไปทำงานที่ใต้ครับ เป็นดงฝรั่ง และไม่ได้จบสายโรงแรมมา แต่คนรู้จักช่วยให้ไปทำได้ ช่วงแรกโทรมาทุกอาทิตย์ ร้องไห้ ท้อแท้ โดนเพื่อนร่วมงานด่าว่าโง่ โดนแขกที่มาพักด่า(แต่เค้าฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก) ก็ทนทำไป ใช้สิ่งแวดล้อมบีบบังคับตัวเอง ผมก็ได้แต่ให้กำลังใจไป เพราะช่วงนั้นผมก็เตรียมตัวไปอเมริกาเหมือนกัน ช่วงผมอยู่อเมริกาก็มีคุยกันบ้างผ่าน MSN ก็ทักทายกันปกติ ปรับทุกข์กันเล็กน้อย แต่บ่นเริ่มน้อยลง ผมว่าเค้าคงพัฒนาตัวเองได้แล้ว จนผมกลับมาได้ประมาณครึ่งปี ก็มีงานเลี้ยงรุ่น ผมกับเพื่อนก็ได้เจอกัน เห็นว่าจะกลับมาทำงานที่กรุงเทพแล้ว ภาษาพอโอเคแล้ว ก็ยินดีด้วยแล้วก็จบไป ไม่ได้ลองภูมิกัน 5555 ผ่านไปปีหนึ่งเลี้ยงรุ่นอีกรอบ ผมนั่งใกล้กัน พอดีเจ้านายเพื่อนที่เป็นฝรั่งโทรมาจากต่างประเทศตามงาน ได้ยินเค้าคุยกัน ผมนี่ตกใจปนดีใจเลยครับ ความพยายามของเพื่อนผมมันสำเร็จมาก มากขนาดที่ได้ยันสำเนียงเลยครับ ผมแค่พูดอังกฤษสำเนียงไทยได้ แต่เพื่อนผมนี่หลับตาฟังเค้าคุยผมว่าเหมือนลูกป้าผมที่อเมริกาเลย วางสายเสร็จ ก็ตัดพ้อเล็กน้อยว่า "รู้งี้ไม่ต้องไปถึงอเมริกาก็ได้ 555" เพื่อนผมก็หัวเราะแล้วตอบกลับมาว่า ถ้าไปด้วยกันตอนนั้นป่านนี้อาจจะกอดคอกันกลับมา กทม. แบบโง่ภาษาเหมือนเดิมแน่นอน 555
สู้ๆครับ ถ้าคนโง่ภาษาอย่างผมสองคนทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
เรื่องแรกเป็นเรื่องของผมเองครับ ผมเป็นคนที่ภาษาอังกฤษอ่อนมาก อ่อนขนาดสมัยมัธยม โรงเรียนผมจะทำมาตรฐานโรงเรียนด้านภาษาอังกฤษ ผมเป็นคนเดียวในชั้นเรียน ที่ครูให้ออกจากห้องที่จะมีการ audit นั้น ย้ำว่าคนเดียวจริงๆ โดยท่านบอกว่า ไปไหนก็ได้ ผมก็ไปนั่งเศร้าซึมในโรงอาหาร จนทีม audit กลับไป ผมถึงได้กลับขึ้นห้องไปเรียนหนังสือต่อ เป็นปมชีวิตปมใหญ่ๆที่ติดตัวมาจนสมัยทำงาน ตั้งใจจะลบปมนี้ให้ได้ก่อน 30 ครับ ทำงานเก็บเงินหาค่าตั๋ว เพื่อไปหาญาติที่อเมริกา ตั้งใจไปเรียนภาษา ค่าตั๋วครบ ค่าเรียนภาษาครบ เงินฉุกเฉินอีก 2 หมื่นบาทไทย ก็ไปทำวีซ่า ขนาดสัมภาษณ์วีซ่ายังเข้าช่องสัมภาษณ์ภาษาไทยเลยครับ ทุกอย่างครบรอวันเดินทาง ก็นั่งท่องศัพท์ อ่านบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปอย่างดี แล้วเดินทางเลย เป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต ขึ้นสุวรรณภูมิ ต่อเครื่องนาริตะ และไปจบที่ชิคาโก้ อยู่บนเครื่องยังโดนแอร์กับสจ้วตฝรั่งอำตลอดเลยครับ เหมือนเค้ารู้ว่า อายที่จะพูด ทุกครั้งที่สั่งอาหาร หรือน้ำ จะมีการบอกว่า อะไรนะค่ะ/ครับ พูดดังๆซิค่ะ / ครับ แล้วก็ยิ้ม ตลอดการเดินทาง พอถึงชิคาโก้มีป้ามารับ และก็เริ่มไปสมัครเรียน เดินทางเอง ขึ้นบัส ต่อรถไฟ เข้าเมือง รอบตัวมีแต่ฝรั่ง ช่วงแรกมีแอบคิด "ku มาทำอะไรที่นี่" แต่รู้ครับ คนขี้เกียจอย่างผม จะให้อ่านหนังสือ ไปเรียนภาษา ถ้าทำในไทย รับรองผลัดวันประกันพรุ่งแน่นอน ต้องเจอยาแรงแบบนี้ ตั๋วกลับที่จองไว้เป็นแบบระบุวันกลับ คือ 6 เดือนเต็มๆ นับจากวันที่มาถึง ต้องอยู่ให้รอดครับ และพอดีกลับเจออาจารย์ฝรั่งดีด้วย แกช่วยสร้างความมั่นใจให้ แกพยายามกับผมมาก เหมือนรู้ว่าไอ้นี่โง่จริง แกบอกผมว่า "คนเอเซียที่มาเรียนภาษา จริงๆแล้วเก่งนะ แต่อาย พวกคุณรู้ศัพท์เยอะ แต่อายที่จะพูด ฉันเจอเด็กนักเรียนบางคน รู้ศัพท์เยอะกว่าเด็กอเมริกาบางคนอีก" (มารู้ตอนหลังว่า แกหมายถึงศัพท์ระดับ TOEFL ครับ) แกให้ผมพูดกับแกเป็นคำๆ พยายามคุย ไม่เข้าใจแกก็เขียน ผมก็เปิดดิกไปคุยไปจนเริ่มมีความมั่นใจ และระหว่างนั้นก็หาเงินใช้ด้วย โดยการไปทำงานร้านอาหารไทย ก็ได้เจอฝรั่งอีก สบายแล้วครับ แรกๆจดเป็นคำไทยให้แม่ครัวอ่าน บางวันเจอพ่อครัวแม่ครัวแม๊กซิกัน ก็ต้องหัดเขียนภาษาอังกฤษ มันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หัดดูหนังฝรั่งแท้ๆ แบบไม่มีคำแปลเป็นการดูหนังที่น่าเบื่อที่สุดในโลก กดหยุด กดย้อนทุกประโยค พยายามแกะ พยายามแปลมันทุกคำ ตอนนั้นผมดูซี่รี่ย์ FRIEND ครับ แผ่นหนึ่งใช้เวลาดู 5 ชั่วโมง ก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ วันไหนไปห้าง ไปสวนสาธารณะก็ลองชวนฝรั่งคุย ลองวิชากันไป เดือนสุดท้ายนี่มั่นมาก ขึ้นรถไฟ ขึ้นเครื่อง ไปเที่ยวคนเดียวต่างรัฐ และก็กลับมาไทยครับ ก็กลับมาสมัครงานใหม่ ได้ทำบริษัทต่างชาติเลยครับ
เพื่อนผมอีกคน อยากเก่งภาษาเหมือนกัน ทิ้งงานที่กรุงเทพ แต่อารมณ์เดียวกับผม คือไม่เจอยาแรง แล้วไม่หาย เค้าตัดสินใจลงไปทำงานที่ใต้ครับ เป็นดงฝรั่ง และไม่ได้จบสายโรงแรมมา แต่คนรู้จักช่วยให้ไปทำได้ ช่วงแรกโทรมาทุกอาทิตย์ ร้องไห้ ท้อแท้ โดนเพื่อนร่วมงานด่าว่าโง่ โดนแขกที่มาพักด่า(แต่เค้าฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก) ก็ทนทำไป ใช้สิ่งแวดล้อมบีบบังคับตัวเอง ผมก็ได้แต่ให้กำลังใจไป เพราะช่วงนั้นผมก็เตรียมตัวไปอเมริกาเหมือนกัน ช่วงผมอยู่อเมริกาก็มีคุยกันบ้างผ่าน MSN ก็ทักทายกันปกติ ปรับทุกข์กันเล็กน้อย แต่บ่นเริ่มน้อยลง ผมว่าเค้าคงพัฒนาตัวเองได้แล้ว จนผมกลับมาได้ประมาณครึ่งปี ก็มีงานเลี้ยงรุ่น ผมกับเพื่อนก็ได้เจอกัน เห็นว่าจะกลับมาทำงานที่กรุงเทพแล้ว ภาษาพอโอเคแล้ว ก็ยินดีด้วยแล้วก็จบไป ไม่ได้ลองภูมิกัน 5555 ผ่านไปปีหนึ่งเลี้ยงรุ่นอีกรอบ ผมนั่งใกล้กัน พอดีเจ้านายเพื่อนที่เป็นฝรั่งโทรมาจากต่างประเทศตามงาน ได้ยินเค้าคุยกัน ผมนี่ตกใจปนดีใจเลยครับ ความพยายามของเพื่อนผมมันสำเร็จมาก มากขนาดที่ได้ยันสำเนียงเลยครับ ผมแค่พูดอังกฤษสำเนียงไทยได้ แต่เพื่อนผมนี่หลับตาฟังเค้าคุยผมว่าเหมือนลูกป้าผมที่อเมริกาเลย วางสายเสร็จ ก็ตัดพ้อเล็กน้อยว่า "รู้งี้ไม่ต้องไปถึงอเมริกาก็ได้ 555" เพื่อนผมก็หัวเราะแล้วตอบกลับมาว่า ถ้าไปด้วยกันตอนนั้นป่านนี้อาจจะกอดคอกันกลับมา กทม. แบบโง่ภาษาเหมือนเดิมแน่นอน 555
สู้ๆครับ ถ้าคนโง่ภาษาอย่างผมสองคนทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
ความคิดเห็นที่ 69
เพิงเห็นว่า เป็นกระทู้แนะนำไปแล้ว ก่อนอื่นเลย ขอบคุณทุกความเห็น เพราะมันคือ ข้อคิดและกำลังใจ ที่ดี แม้หลายคนจะไม่เห็นด้วยแต่ทุกความเห็นต่างมันทำให้เราได้คิด ทบทวนมากขึ้น ว่าแต่ละก้ามต่อไปเราต้องคำนึงเรื่องอะไรอีกบ้าง
update
1. เราลาออกแล้วคะ
2. จริงๆฝรั่งเจ้าของรีสอร์ท ยื่นข้อเสนอให้ทำตำแหน่งสูงกว่า แต่เราปฏิเสธเองเพราะรู้ว่าอ่อนเรื่องการสื่อสาร แต่หาก 1-2เดือนที่ไปอยู่เราทำอะไรได้มาก และสื่อสารได้ เค้าพร้อมจะขยับให้เราคะ
3. ระหว่างอยู่เกาะ เราคิดโปรเจคที่จะทำเพื่ออนาคตเป็นรายได้เสริม ( เราชอบเที่ยว ถ่ายคลิป และตัดต่อ ได้เอง)
4. Skill ที่อยากได้ คือ ฟัง พูด ก่อนเป็นอันดับแรก
หลังจากนี้ เราอาจจะมี update ชีวิตชาวเกาะเป็นระยะ แต่ตอบไม่ได้ว่าจะอยู่ครบปีไหม ไว้ให้เวลามันตอบเองแล้วกันนะคะ ขอบคุณทุกคนจริงๆคะ
update
1. เราลาออกแล้วคะ
2. จริงๆฝรั่งเจ้าของรีสอร์ท ยื่นข้อเสนอให้ทำตำแหน่งสูงกว่า แต่เราปฏิเสธเองเพราะรู้ว่าอ่อนเรื่องการสื่อสาร แต่หาก 1-2เดือนที่ไปอยู่เราทำอะไรได้มาก และสื่อสารได้ เค้าพร้อมจะขยับให้เราคะ
3. ระหว่างอยู่เกาะ เราคิดโปรเจคที่จะทำเพื่ออนาคตเป็นรายได้เสริม ( เราชอบเที่ยว ถ่ายคลิป และตัดต่อ ได้เอง)
4. Skill ที่อยากได้ คือ ฟัง พูด ก่อนเป็นอันดับแรก
หลังจากนี้ เราอาจจะมี update ชีวิตชาวเกาะเป็นระยะ แต่ตอบไม่ได้ว่าจะอยู่ครบปีไหม ไว้ให้เวลามันตอบเองแล้วกันนะคะ ขอบคุณทุกคนจริงๆคะ
แสดงความคิดเห็น
กำลังจะลาออกจากงาน IT ที่ทำมา 10 กว่าปี วันนี้ และจะไปทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเสียสติไปแล้วแน่ๆ
เราทำงานสาย IT มาตลอดตั้งแต่เรียนจบ เริ่มจากเงินเดือน 9000 จนตอนนี้ เฉียด 45k แล้ว และที่ทำงานปัจจุบันเป็นที่ที่ทำให้รู้สึกไม่สนุกกับสายนี้เหมือนเมื่อก่อน จากที่เคยบ้างาน สนุกกับงาน สนุกกับเพื่อนร่วมงาน เรากลายเป็นคนเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร เพราะรู้สึกถึงเคมีในตัว ลักษณะนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ เราลองปรับแล้วแต่ก็ไม่ได้จริงๆ เราเลยคิดจะหางานใหม่ซึ่งจากประสบการณ์เรา ยังมีบริษัทใหญ่ๆ พร้อมจะรับ แต่ติดปัญหาคือ ภาษาอังกฤษของเรา อ่อนมาก อ่อนชนิดที่ว่า Toeic ได้เพียงแค่ 290 คะแนน เราเริ่มที่จะมองถึงปัญหาเรื่องภาษาตราบใดที่เรายัง อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ สื่อสารไม่รู้เรื่อง เราคงจะไม่มีโอกาศที่จะเริ่มงานใน บริษัท ดังแน่นอน
เราเลยตัดสินใจที่จะลาออกจากงานเพื่อไปหางานที่ได้ใช้ภาษาแน่นอน อยู่ในที่ที่ชาวต่างชาติ เยอะๆเป็นการบีบบังคับให้เราใช้ภาษา เราเลยลองสมัครงานบนเกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้ตอนล่าง เกาะนี้เราเคยไปมาแล้ว 2 ครั้งประทับใจ และพอจะรู้ว่าผู้คนบนนั้นเป็นอย่างไร ( ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นเด็กเหนือ นะคะ การไปทำงานภาคใต้ที่ห่างบ้านกว่า 1000 km. เป็นอะไรที่ใจหาย ใจหวิว หวั่นใจ พอสมควร )
จะลองเดาดูก่อนไหมคะ ว่าเราเลือกจะไปทำงานอะไรบนเกาะ
เราเลือกไปทำงานเป็นเด็กเสริฟ ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ที่ลูกค้าเข้าพักส่วนใหญ่ 80% คือชาวต่างชาติ และนอกจากนั้นคือ มีชาวต่างชาติ ทำงานร่วมด้วย 50%
การลาออกครั้งนี้ ถือเป็นการหาประสบการณ์ชีวิต และเดิมพันชีวิต มากคะ 1 ปีที่เราตั้งเป้าไว้ ทั้งภาษา และ หวังว่าสภาพแวดล้อมธรรมชาติ จะช่วยบำบัดอาการเอียนเมืองกรุง และนิสัยเพื่อนร่วมงานได้
ขอเพิ่มเติมนะคะ เราไม่ภาระ มีผ่อนรถแต่เราจัดการเรื่องเงินผ่อนรถฝากไว้ให้ทางบ้านแล้วเรียบร้อยคะ
ขอเพิ่มอีกนิด พ่อแม่ แอบเสียใจอยู่คะ ด้วยส่งเสียลูกเรียนจบ ป.ตรี และโท ...