ทุกๆต้นปีเราและเพื่อนๆจะรวมตัวกันไปเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆกันนอกเมืองกรุง และจังหวัดในปีนี้ที่เราเลือกไปก็คือน่าน
แพลนของเราคือ 4 วัน 3 คืน เที่ยว ปัว ดอยเสมอดาว และตัวเมืองน่าน โดยรถส่วนตัว 2คัน
ถ้าพร้อมแล้ว มาออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเรา 8 คนได้เลย
วันที่หนึ่ง
ออกเดินทางจากบ้านประมาณ เที่ยงคืน เนื่องจากพวกเรามีแพลนว่าอยากจะไปแวะเที่ยวที่แพร่ และพิษณุโลกกันก่อน
แต่กะเวลาผิด หรือขับกันเร็วไปก็ไม่รู้ ไปถึงพิษณุโลกตั้งแต่ ตี 4 !!! ก็เลยต้องขับยาวไปแพร่ ถึงตัวเมืองแพร่ประมาณตี 5 ครึ่ง !!
ซึงยังไม่มีอะไรเปิดเลยค่ะ นอกจากตลาดเช้าเท่านั้น แต่1ในสมาชิกของพวกเราชอบเดินตลาดมาก
ก็เลยตัดสินใจมาเดินตลาดเพื่อฆ่าเวลากัน จนกระทั่งประมาณ ตี 5 กว่าๆ ก็ขับรถไปเที่ยวที่พระธาตุช่อแฮ
อากาศตอนเช้าดีมากๆเต็มไปด้วยหมอกจากที่ง่วงๆนี่ตื่นทันที เพราะความหนาว

พระธาตุช่อแฮ

ภายในโบสถ์
หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ ก็พร้อมที่จะมุ่งหน้าสู่น่านกันแล้ววว เย่!!!
มาแวะเติมพลังสักหน่อยที่ร้านกาแฟภูพยัคฆ์ ที่นี่เรียกว่าเป็นที่นิยมของชาวน่านและนักท่องเที่ยว รสชาติโอเคเลยถือว่าผ่าน
เติมพลังเสร็จไปต่อกันเลย ที่วัดพระธาตุเขาน้อย ใครมาน่านก็ต้องมาที่นี่ เพราะสามารถมองเห็นวิวเมืองน่านได้ 360 องศากันเลยทีเดียว
ชมวิวถ่ายรูปกันจนอิ่มใจแล้ว ก็ล้อหมุนไปสถานีต่อไป นั่นก็คือ หอศิลป์ริมน่าน ที่นี่เป็นเหมือนการจัดนิทรรศการภาพวาดต่างๆ แบ่งออกทั้งหมดเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกจะหมุนเวียนภาพถ่ายไปเรื่อยๆแล้วแต่ช่วง ชั้น 2 จะแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์ ของสมเด็จพระเทพฯ
เดินดูไปเรื่อยๆก็เพลินดีเหมือนกัน
ตอนนี้ท้องเรียกร้องอาหารแล้ว ต้องการอาหารมื้อหนักๆ พวกเราก็เลยเลือกฝากท้องที่ บ้านผาเก๊าะน้ำกูน หรือ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำโฮมสเตย์ ขับรถมาเรื่อยๆตาม google map ประมาณ 50 นาที ก็ถึงจุดหมาย แต่ !!!! เห้ยไหนคือ ผาน้ำเก๊าะกูน เจอแต่แอ่งน้ำ จนต้องโทรถามและได้คำตอบว่าสามารถเดินจากตรงนี้ไปได้ เพราะถ้าขับรถไปก็จะอ้อมไปไกลอีก อ่ะเดินก็เดินฟระ พอไปถึงก็สั่งกันแบบไม่ยั้ง
และนี่คือหน้าตาอาหารที่พวกเราสั่งกันมา
ไหนๆก็มาเยือน บ้านผาเก๊าะน้ำกูน จะไม่ไปวังศิลาแลงหรือแกนแคนยอนเมืองไทยก็กระไรอยู่ และ 1 ในสมาชิกของเรานอกจากชอบตลาดแล้ว ยังชอบเล่นน้ำเอามากๆ ต้องตามใจนางซะหน่อย โชคดีที่วังศิลาแลงก็คือที่ ที่พวกเราจอดรถไว้ รออะไรล่ะเดินกลับสิครัช
แต่พอไปถึงหายเหนื่อยเลยจริงๆ น้ำใสอากาศก็เย็นดี

ขอบอกว่าตรงนี้เย็นมาก เพราะห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและน้ำ

น้ำที่นี่ใสสุดๆ แต่ถ้าใครไปน่าฝนอาจจะเจอน้ำขุ่นหน่อยนะคะ
เล่นน้ำกันจนหนำใจล่ะ อ๋อ ลืมบอกไปว่าตอนเล่นน้ำเราได้ทำแว่นตา 3 มิติ มินเนี่ยนหลุดลอยไปกับน้ำ ถ้าใครไปแล้วเจอมัน ฝากเก็บเอามาคืนให้ด้วยนะคะ –“ เมื่อออกมาจากที่บ้านผาเก๊าะน้ำกูน ก็จะเจอร้านกาแฟไทลื้อ และร้านขายเสื้อไทลื้อ ที่ขอบอกว่าต้องซื้อกลับมานะคะ เพราะราคาถูกมากกกกกกกก ตัวร้อยกว่าบาทเอง เอาล่ะมุ่งหน้าสู่ที่พักกันสักที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ในที่สุดก้ถึงที่พักแล้ว ฮู้เล่ !!! ที่นอนของพวกเราคืนนี้ ชื่อว่า ตูบนา เราภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 5 เดือน ที่พักเป็นแนวโฮมสเตย์ท่ามกลางท้องทุ่งนา และโอบล้อมด้วยขุนเขา เนื่องจากที่พักที่นี่มีแค่ 4 ห้อง คืนนี้จึงตกเป็นของพวกเราทั้ง 8 คน ฮ่าๆๆๆ
เข้าดูข้อมูลห้องพักได้ที่
http://www.toobna.com

ห้องพักของพวกเราคืนนี้
บรรยากาศภายในห้องพัก ดูเรียบง่ายและสะอาดตามาก
พอลงจากรถก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี จากเจ้าของพี่พัก เราขอเรียกว่าคุณแม่ละกันนะคะ คุณแม่เข้ามาทักทายพูดคุยแบบเป็นกันเองมาก และยังพาไปเก็บเสาวรสจากต้นอีกด้วย ขอบอกว่าฟินสุดๆ นอกจากเสาวรสแล้วที่นี่ก็ยังมีสตอเบอรี่ และผักต่างๆที่ทางโฮมสเตย์ลงมือปลูกเอง โดยไม่ใช้สารเคมี เราสามารถไปเด็ดสตอเบอร์รี่สดๆทานได้อีก โอ๊ยคือดี

สตอร์เบอรรี่สดๆจากไร่

เสาวรสเด็ดจากต้นมาแล้วกินเลย
กินผลไม้ไป ซึมซับบรรยากาศไป อยากจะหยุดเวลานี้ไว้จริงๆ ไปดูรูปบรรยากาศที่นี่กันดีกว่า

วิวท้องทุ่ง และภูเขา ดูแล้วรู้สึกสบายตาสบายใจสุดๆ

รูปวิวจากห้องนอนด้านในสุด

รูปวิวจากห้องนอนด้านในสุด
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน วิวนี้สวยมากๆ อยากให้ทุกคนไปเห็นด้วยตาตัวเอง
หลังจากเก็บของอาบน้ำอาบท่าก็ได้เวลาทานมื้อค่ำกันแล้ว เราเลือกที่จะนั่งกันหน้าบ้านเอาแบบตากน้ำคางกันไปเลย
มื้อนี้ทางโฮมสเตย์เค้าได้จัดขันโตกชุดใหญ่ไว้ต้อนรับ ทีเด็ดเลยคือน้ำจิ้มปลา ที่คุณแม่บอกว่าหาทานที่ไหนไม่ได้
เพราะเป็นสูตรลับเฉพาะของที่นี่ที่เดียว ชิมไปคำแรก เห้ยย มันอร่อยจริงๆด้วยแฮะ

ไปแอบถ่ายตอนที่เค้ากำลังเตรียมอาหารให้

ตรงที่มีเสื่อปูคือที่กินข้าวคืนนี้

ขันโตกมาแล้ว เห็นแบบนี้กินกันจนพุงจะแตก

จบด้วยของคาวมาต่อที่ของหวาน เมนูของหวานของพวกเราคืนนี้คือ มาชเมลโล ปิ้ง กินตอนอากาศหนาวๆนี่แหละฟินมาก
อากาศที่นี่เย็นมากๆ และดาวก็เยอะมากๆ กินเสร็จก็สามารถทิ้งตัวลงนอนดูดาวตรงนั้นได้เลย
อากาศเย็นๆนอนดูดาวท่ามกลางธรรมชาติ โอ๊ยย แฮปปี้ค๊า
วันที่ 2
มาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ต้องตื่นเช้าๆกันหน่อยนะคะ เพราะทุกนาทีมีคุณค่า ออกมาจากที่พักก็ได้รับคำทักทายจากลูกชายคุณแม่ทันที
เช้านี้อากาศเย็นไม่ต่างจากเมื่อคืนเลย ขอตัวไปปั่นจักรยานฝ่าสายหมอกสักหน่อย
เส้นทางปั่นจักรยานสวยมาก ซ้ายเป็นท้องนา ขวาเป็นไร่ข้าวโพด

สงสัยเมื่อคืนน้ำค้างจะแรง เกาะเต็มใบไม้เลย

มุมเดิมแต่บรรยากาศไม่เหมือนเดิม
ได้เวลาอาหารเช้ากันแล้ว ที่นี่เค้าจะเตรียม กาแฟ ขนมปังพร้อมแยมและข้าวต้มไว้ให้ อร่อยไม่อร่อยไม่รู้แต่กินไปตั้ง 2 ถ้วยแหน่ะ ส่วนผลไม้ก็ไปเด็ดสตอเบอรี่จากในแปลงมาทาน แต่อย่าเด็ดจนหมดนะคะ เก็บไว้ให้คนอื่นที่มาเข้าพักได้ทานบ้างเนอะ

กินข้าวต้มเสร็จขอไปกินสตอเบอร์รี่อีกสักหน่อย
ได้เวลาไปยังสถานที่ต่อไปกันแล้ว ก่อนไปคุณแม่ได้ให้พรกับพวกเราทุกคนด้วย คุณแม่คุณพ่อและลูกชายยังดูแลพวกเราอย่างดีจนรถได้ขับออกจากบ้านไป รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้มาพักที่บ้านญาติผู้ใหญ่เลย
สถานีต่อไปที่เราจะไปกันก็คือบ่อเกลือ ต้องขับขึ้นไปอีกประมาณ 1 ชม. ก่อนจะถึงบ่อเกลือพวกเราก็แวะฝากท้องกันที่ ร้านหัวสะพาน สั่งกันมาแบบจัดเต็มอีกแล้ว อาหารที่นี่อร่อยและไม่แพง แถมติดลำธารช่วยเพิ่มบรรยากาศในการกินขึ้นไปอีกเยอะเลย
ถัดไปไม่ไกลจากร้านอาหารก็คือบ่อเกลือ ถ้าไปถูกเวลาก็จะมีมัคคุเทศน์ตัวน้อยมาคอยบรรยายและเล่าถึงประวัติความเป็นมาให้ฟังด้วนะคะ

สาธิตวิธีการต้มเกลือ
จากบ่อเกลือไปดอยเสมอดาวใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. เรามาถึงดอยประมาณ 6 โมงเย็น ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่โทรไปตาม
บอกว่ารอน้องคณะสุดท้ายเลยเนี่ย ฮ่าๆๆ รู้สึกผิดทันที จริงๆผิดแผนนิดหน่อยตอนไปที่บ่อเกลือ
เพราะมันต้องย้อนไปมาทำให้เสียเวลานิดหนึ่ง
พอมาถึงที่ดอยก็ขนของเข้าที่พัก และต้องเอารถลงไปจอดด้านล้าง เราจองเต้นท์กับทางอุทยานไว้
ค่าเต้นท์หลังล่ะ 345 บาท มีเครื่องนอนให้พร้อม สะดวกมาก

เต้นท์ที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้

อาหารเย็นวันนี้ มาม่าต้มยำหม้อไฟ
หมูนี่หมักมาอย่างดี เครื่องเคียงและเตาเตรียมมาจากบ้านกันเลยจ้า แต่ก็มาเช่าเตาที่อุทยานเพิ่ม เสียค่าเช่า 100 บาทพร้อมถ่าน
และตะเกียงอีก 100 บาท ( ถ้าไม่ชอบเตรียมของมา ตรงลานจอดรถมีร้านหมูกระทะพร้อมบริการส่งถึงที่ )
กินเสร็จก็ไปนอนดูดาวกันเถอะ อากาศคืนนี้ประมาณ 16 – 18 องศา เย็นกำลังดี
ติดต่อจองเต้นท์ได้ที่
http://www.dnp.go.th/parkreserve/forprint.asp?npid=179
วันที่ 3 และ 4 ต่อในคอมเม้นท์นะคะ ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เข้าไปพูคุยกันได้ที่ เข้าไปพูคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/getalongwell.net/?ref=hl
หรือชอบดูรูปสวยๆเข้าไปดูได้ที่ IG: getalongwell
[CR] กระซิบรักครั้งแรกที่....น่าน
แพลนของเราคือ 4 วัน 3 คืน เที่ยว ปัว ดอยเสมอดาว และตัวเมืองน่าน โดยรถส่วนตัว 2คัน
ถ้าพร้อมแล้ว มาออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเรา 8 คนได้เลย
ออกเดินทางจากบ้านประมาณ เที่ยงคืน เนื่องจากพวกเรามีแพลนว่าอยากจะไปแวะเที่ยวที่แพร่ และพิษณุโลกกันก่อน
แต่กะเวลาผิด หรือขับกันเร็วไปก็ไม่รู้ ไปถึงพิษณุโลกตั้งแต่ ตี 4 !!! ก็เลยต้องขับยาวไปแพร่ ถึงตัวเมืองแพร่ประมาณตี 5 ครึ่ง !!
ซึงยังไม่มีอะไรเปิดเลยค่ะ นอกจากตลาดเช้าเท่านั้น แต่1ในสมาชิกของพวกเราชอบเดินตลาดมาก
ก็เลยตัดสินใจมาเดินตลาดเพื่อฆ่าเวลากัน จนกระทั่งประมาณ ตี 5 กว่าๆ ก็ขับรถไปเที่ยวที่พระธาตุช่อแฮ
อากาศตอนเช้าดีมากๆเต็มไปด้วยหมอกจากที่ง่วงๆนี่ตื่นทันที เพราะความหนาว
พระธาตุช่อแฮ
ภายในโบสถ์
หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ ก็พร้อมที่จะมุ่งหน้าสู่น่านกันแล้ววว เย่!!!
มาแวะเติมพลังสักหน่อยที่ร้านกาแฟภูพยัคฆ์ ที่นี่เรียกว่าเป็นที่นิยมของชาวน่านและนักท่องเที่ยว รสชาติโอเคเลยถือว่าผ่าน
เติมพลังเสร็จไปต่อกันเลย ที่วัดพระธาตุเขาน้อย ใครมาน่านก็ต้องมาที่นี่ เพราะสามารถมองเห็นวิวเมืองน่านได้ 360 องศากันเลยทีเดียว
ชมวิวถ่ายรูปกันจนอิ่มใจแล้ว ก็ล้อหมุนไปสถานีต่อไป นั่นก็คือ หอศิลป์ริมน่าน ที่นี่เป็นเหมือนการจัดนิทรรศการภาพวาดต่างๆ แบ่งออกทั้งหมดเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกจะหมุนเวียนภาพถ่ายไปเรื่อยๆแล้วแต่ช่วง ชั้น 2 จะแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์ ของสมเด็จพระเทพฯ
เดินดูไปเรื่อยๆก็เพลินดีเหมือนกัน
ตอนนี้ท้องเรียกร้องอาหารแล้ว ต้องการอาหารมื้อหนักๆ พวกเราก็เลยเลือกฝากท้องที่ บ้านผาเก๊าะน้ำกูน หรือ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำโฮมสเตย์ ขับรถมาเรื่อยๆตาม google map ประมาณ 50 นาที ก็ถึงจุดหมาย แต่ !!!! เห้ยไหนคือ ผาน้ำเก๊าะกูน เจอแต่แอ่งน้ำ จนต้องโทรถามและได้คำตอบว่าสามารถเดินจากตรงนี้ไปได้ เพราะถ้าขับรถไปก็จะอ้อมไปไกลอีก อ่ะเดินก็เดินฟระ พอไปถึงก็สั่งกันแบบไม่ยั้ง
และนี่คือหน้าตาอาหารที่พวกเราสั่งกันมา
ไหนๆก็มาเยือน บ้านผาเก๊าะน้ำกูน จะไม่ไปวังศิลาแลงหรือแกนแคนยอนเมืองไทยก็กระไรอยู่ และ 1 ในสมาชิกของเรานอกจากชอบตลาดแล้ว ยังชอบเล่นน้ำเอามากๆ ต้องตามใจนางซะหน่อย โชคดีที่วังศิลาแลงก็คือที่ ที่พวกเราจอดรถไว้ รออะไรล่ะเดินกลับสิครัช
แต่พอไปถึงหายเหนื่อยเลยจริงๆ น้ำใสอากาศก็เย็นดี
ขอบอกว่าตรงนี้เย็นมาก เพราะห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและน้ำ
น้ำที่นี่ใสสุดๆ แต่ถ้าใครไปน่าฝนอาจจะเจอน้ำขุ่นหน่อยนะคะ
เล่นน้ำกันจนหนำใจล่ะ อ๋อ ลืมบอกไปว่าตอนเล่นน้ำเราได้ทำแว่นตา 3 มิติ มินเนี่ยนหลุดลอยไปกับน้ำ ถ้าใครไปแล้วเจอมัน ฝากเก็บเอามาคืนให้ด้วยนะคะ –“ เมื่อออกมาจากที่บ้านผาเก๊าะน้ำกูน ก็จะเจอร้านกาแฟไทลื้อ และร้านขายเสื้อไทลื้อ ที่ขอบอกว่าต้องซื้อกลับมานะคะ เพราะราคาถูกมากกกกกกกก ตัวร้อยกว่าบาทเอง เอาล่ะมุ่งหน้าสู่ที่พักกันสักที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ในที่สุดก้ถึงที่พักแล้ว ฮู้เล่ !!! ที่นอนของพวกเราคืนนี้ ชื่อว่า ตูบนา เราภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 5 เดือน ที่พักเป็นแนวโฮมสเตย์ท่ามกลางท้องทุ่งนา และโอบล้อมด้วยขุนเขา เนื่องจากที่พักที่นี่มีแค่ 4 ห้อง คืนนี้จึงตกเป็นของพวกเราทั้ง 8 คน ฮ่าๆๆๆ
เข้าดูข้อมูลห้องพักได้ที่ http://www.toobna.com
ห้องพักของพวกเราคืนนี้
บรรยากาศภายในห้องพัก ดูเรียบง่ายและสะอาดตามาก
พอลงจากรถก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี จากเจ้าของพี่พัก เราขอเรียกว่าคุณแม่ละกันนะคะ คุณแม่เข้ามาทักทายพูดคุยแบบเป็นกันเองมาก และยังพาไปเก็บเสาวรสจากต้นอีกด้วย ขอบอกว่าฟินสุดๆ นอกจากเสาวรสแล้วที่นี่ก็ยังมีสตอเบอรี่ และผักต่างๆที่ทางโฮมสเตย์ลงมือปลูกเอง โดยไม่ใช้สารเคมี เราสามารถไปเด็ดสตอเบอร์รี่สดๆทานได้อีก โอ๊ยคือดี
สตอร์เบอรรี่สดๆจากไร่
เสาวรสเด็ดจากต้นมาแล้วกินเลย
กินผลไม้ไป ซึมซับบรรยากาศไป อยากจะหยุดเวลานี้ไว้จริงๆ ไปดูรูปบรรยากาศที่นี่กันดีกว่า
วิวท้องทุ่ง และภูเขา ดูแล้วรู้สึกสบายตาสบายใจสุดๆ
รูปวิวจากห้องนอนด้านในสุด
รูปวิวจากห้องนอนด้านในสุด
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน วิวนี้สวยมากๆ อยากให้ทุกคนไปเห็นด้วยตาตัวเอง
หลังจากเก็บของอาบน้ำอาบท่าก็ได้เวลาทานมื้อค่ำกันแล้ว เราเลือกที่จะนั่งกันหน้าบ้านเอาแบบตากน้ำคางกันไปเลย
มื้อนี้ทางโฮมสเตย์เค้าได้จัดขันโตกชุดใหญ่ไว้ต้อนรับ ทีเด็ดเลยคือน้ำจิ้มปลา ที่คุณแม่บอกว่าหาทานที่ไหนไม่ได้
เพราะเป็นสูตรลับเฉพาะของที่นี่ที่เดียว ชิมไปคำแรก เห้ยย มันอร่อยจริงๆด้วยแฮะ
ไปแอบถ่ายตอนที่เค้ากำลังเตรียมอาหารให้
ตรงที่มีเสื่อปูคือที่กินข้าวคืนนี้
ขันโตกมาแล้ว เห็นแบบนี้กินกันจนพุงจะแตก
จบด้วยของคาวมาต่อที่ของหวาน เมนูของหวานของพวกเราคืนนี้คือ มาชเมลโล ปิ้ง กินตอนอากาศหนาวๆนี่แหละฟินมาก
อากาศที่นี่เย็นมากๆ และดาวก็เยอะมากๆ กินเสร็จก็สามารถทิ้งตัวลงนอนดูดาวตรงนั้นได้เลย
อากาศเย็นๆนอนดูดาวท่ามกลางธรรมชาติ โอ๊ยย แฮปปี้ค๊า
มาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ต้องตื่นเช้าๆกันหน่อยนะคะ เพราะทุกนาทีมีคุณค่า ออกมาจากที่พักก็ได้รับคำทักทายจากลูกชายคุณแม่ทันที
เช้านี้อากาศเย็นไม่ต่างจากเมื่อคืนเลย ขอตัวไปปั่นจักรยานฝ่าสายหมอกสักหน่อย
เส้นทางปั่นจักรยานสวยมาก ซ้ายเป็นท้องนา ขวาเป็นไร่ข้าวโพด
สงสัยเมื่อคืนน้ำค้างจะแรง เกาะเต็มใบไม้เลย
มุมเดิมแต่บรรยากาศไม่เหมือนเดิม
ได้เวลาอาหารเช้ากันแล้ว ที่นี่เค้าจะเตรียม กาแฟ ขนมปังพร้อมแยมและข้าวต้มไว้ให้ อร่อยไม่อร่อยไม่รู้แต่กินไปตั้ง 2 ถ้วยแหน่ะ ส่วนผลไม้ก็ไปเด็ดสตอเบอรี่จากในแปลงมาทาน แต่อย่าเด็ดจนหมดนะคะ เก็บไว้ให้คนอื่นที่มาเข้าพักได้ทานบ้างเนอะ
กินข้าวต้มเสร็จขอไปกินสตอเบอร์รี่อีกสักหน่อย
ได้เวลาไปยังสถานที่ต่อไปกันแล้ว ก่อนไปคุณแม่ได้ให้พรกับพวกเราทุกคนด้วย คุณแม่คุณพ่อและลูกชายยังดูแลพวกเราอย่างดีจนรถได้ขับออกจากบ้านไป รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้มาพักที่บ้านญาติผู้ใหญ่เลย
สถานีต่อไปที่เราจะไปกันก็คือบ่อเกลือ ต้องขับขึ้นไปอีกประมาณ 1 ชม. ก่อนจะถึงบ่อเกลือพวกเราก็แวะฝากท้องกันที่ ร้านหัวสะพาน สั่งกันมาแบบจัดเต็มอีกแล้ว อาหารที่นี่อร่อยและไม่แพง แถมติดลำธารช่วยเพิ่มบรรยากาศในการกินขึ้นไปอีกเยอะเลย
ถัดไปไม่ไกลจากร้านอาหารก็คือบ่อเกลือ ถ้าไปถูกเวลาก็จะมีมัคคุเทศน์ตัวน้อยมาคอยบรรยายและเล่าถึงประวัติความเป็นมาให้ฟังด้วนะคะ
สาธิตวิธีการต้มเกลือ
จากบ่อเกลือไปดอยเสมอดาวใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. เรามาถึงดอยประมาณ 6 โมงเย็น ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่โทรไปตาม
บอกว่ารอน้องคณะสุดท้ายเลยเนี่ย ฮ่าๆๆ รู้สึกผิดทันที จริงๆผิดแผนนิดหน่อยตอนไปที่บ่อเกลือ
เพราะมันต้องย้อนไปมาทำให้เสียเวลานิดหนึ่ง
พอมาถึงที่ดอยก็ขนของเข้าที่พัก และต้องเอารถลงไปจอดด้านล้าง เราจองเต้นท์กับทางอุทยานไว้
ค่าเต้นท์หลังล่ะ 345 บาท มีเครื่องนอนให้พร้อม สะดวกมาก
เต้นท์ที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้
อาหารเย็นวันนี้ มาม่าต้มยำหม้อไฟ
หมูนี่หมักมาอย่างดี เครื่องเคียงและเตาเตรียมมาจากบ้านกันเลยจ้า แต่ก็มาเช่าเตาที่อุทยานเพิ่ม เสียค่าเช่า 100 บาทพร้อมถ่าน
และตะเกียงอีก 100 บาท ( ถ้าไม่ชอบเตรียมของมา ตรงลานจอดรถมีร้านหมูกระทะพร้อมบริการส่งถึงที่ )
กินเสร็จก็ไปนอนดูดาวกันเถอะ อากาศคืนนี้ประมาณ 16 – 18 องศา เย็นกำลังดี
ติดต่อจองเต้นท์ได้ที่ http://www.dnp.go.th/parkreserve/forprint.asp?npid=179
วันที่ 3 และ 4 ต่อในคอมเม้นท์นะคะ ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้