[CR] กระซิบรักครั้งแรกที่....น่าน

                       

          ทุกๆต้นปีเราและเพื่อนๆจะรวมตัวกันไปเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆกันนอกเมืองกรุง และจังหวัดในปีนี้ที่เราเลือกไปก็คือน่าน
แพลนของเราคือ 4 วัน 3 คืน เที่ยว ปัว ดอยเสมอดาว และตัวเมืองน่าน โดยรถส่วนตัว 2คัน
ถ้าพร้อมแล้ว มาออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเรา 8 คนได้เลย  


วันที่หนึ่ง
ออกเดินทางจากบ้านประมาณ เที่ยงคืน เนื่องจากพวกเรามีแพลนว่าอยากจะไปแวะเที่ยวที่แพร่ และพิษณุโลกกันก่อน
แต่กะเวลาผิด หรือขับกันเร็วไปก็ไม่รู้ ไปถึงพิษณุโลกตั้งแต่ ตี 4 !!! ก็เลยต้องขับยาวไปแพร่ ถึงตัวเมืองแพร่ประมาณตี 5 ครึ่ง !!
ซึงยังไม่มีอะไรเปิดเลยค่ะ นอกจากตลาดเช้าเท่านั้น  แต่1ในสมาชิกของพวกเราชอบเดินตลาดมาก
ก็เลยตัดสินใจมาเดินตลาดเพื่อฆ่าเวลากัน จนกระทั่งประมาณ ตี 5 กว่าๆ ก็ขับรถไปเที่ยวที่พระธาตุช่อแฮ
อากาศตอนเช้าดีมากๆเต็มไปด้วยหมอกจากที่ง่วงๆนี่ตื่นทันที เพราะความหนาว    
  

พระธาตุช่อแฮ


ภายในโบสถ์

หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ ก็พร้อมที่จะมุ่งหน้าสู่น่านกันแล้ววว เย่!!!  
มาแวะเติมพลังสักหน่อยที่ร้านกาแฟภูพยัคฆ์ ที่นี่เรียกว่าเป็นที่นิยมของชาวน่านและนักท่องเที่ยว รสชาติโอเคเลยถือว่าผ่าน



เติมพลังเสร็จไปต่อกันเลย ที่วัดพระธาตุเขาน้อย ใครมาน่านก็ต้องมาที่นี่ เพราะสามารถมองเห็นวิวเมืองน่านได้ 360 องศากันเลยทีเดียว





ชมวิวถ่ายรูปกันจนอิ่มใจแล้ว ก็ล้อหมุนไปสถานีต่อไป นั่นก็คือ หอศิลป์ริมน่าน ที่นี่เป็นเหมือนการจัดนิทรรศการภาพวาดต่างๆ แบ่งออกทั้งหมดเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกจะหมุนเวียนภาพถ่ายไปเรื่อยๆแล้วแต่ช่วง  ชั้น 2 จะแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์ ของสมเด็จพระเทพฯ  
เดินดูไปเรื่อยๆก็เพลินดีเหมือนกัน





ตอนนี้ท้องเรียกร้องอาหารแล้ว ต้องการอาหารมื้อหนักๆ พวกเราก็เลยเลือกฝากท้องที่ บ้านผาเก๊าะน้ำกูน หรือ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำโฮมสเตย์  ขับรถมาเรื่อยๆตาม google map  ประมาณ 50 นาที ก็ถึงจุดหมาย แต่ !!!! เห้ยไหนคือ ผาน้ำเก๊าะกูน เจอแต่แอ่งน้ำ จนต้องโทรถามและได้คำตอบว่าสามารถเดินจากตรงนี้ไปได้ เพราะถ้าขับรถไปก็จะอ้อมไปไกลอีก อ่ะเดินก็เดินฟระ  พอไปถึงก็สั่งกันแบบไม่ยั้ง
และนี่คือหน้าตาอาหารที่พวกเราสั่งกันมา



ไหนๆก็มาเยือน บ้านผาเก๊าะน้ำกูน  จะไม่ไปวังศิลาแลงหรือแกนแคนยอนเมืองไทยก็กระไรอยู่  และ 1 ในสมาชิกของเรานอกจากชอบตลาดแล้ว ยังชอบเล่นน้ำเอามากๆ ต้องตามใจนางซะหน่อย  โชคดีที่วังศิลาแลงก็คือที่ ที่พวกเราจอดรถไว้ รออะไรล่ะเดินกลับสิครัช
แต่พอไปถึงหายเหนื่อยเลยจริงๆ  น้ำใสอากาศก็เย็นดี


ขอบอกว่าตรงนี้เย็นมาก เพราะห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและน้ำ


น้ำที่นี่ใสสุดๆ  แต่ถ้าใครไปน่าฝนอาจจะเจอน้ำขุ่นหน่อยนะคะ

เล่นน้ำกันจนหนำใจล่ะ อ๋อ ลืมบอกไปว่าตอนเล่นน้ำเราได้ทำแว่นตา 3 มิติ มินเนี่ยนหลุดลอยไปกับน้ำ ถ้าใครไปแล้วเจอมัน ฝากเก็บเอามาคืนให้ด้วยนะคะ –“     เมื่อออกมาจากที่บ้านผาเก๊าะน้ำกูน   ก็จะเจอร้านกาแฟไทลื้อ และร้านขายเสื้อไทลื้อ ที่ขอบอกว่าต้องซื้อกลับมานะคะ เพราะราคาถูกมากกกกกกกก ตัวร้อยกว่าบาทเอง เอาล่ะมุ่งหน้าสู่ที่พักกันสักที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ในที่สุดก้ถึงที่พักแล้ว ฮู้เล่ !!! ที่นอนของพวกเราคืนนี้ ชื่อว่า ตูบนา เราภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 5 เดือน ที่พักเป็นแนวโฮมสเตย์ท่ามกลางท้องทุ่งนา และโอบล้อมด้วยขุนเขา  เนื่องจากที่พักที่นี่มีแค่ 4 ห้อง คืนนี้จึงตกเป็นของพวกเราทั้ง 8 คน ฮ่าๆๆๆ  
เข้าดูข้อมูลห้องพักได้ที่ http://www.toobna.com


ห้องพักของพวกเราคืนนี้


บรรยากาศภายในห้องพัก ดูเรียบง่ายและสะอาดตามาก

พอลงจากรถก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี จากเจ้าของพี่พัก เราขอเรียกว่าคุณแม่ละกันนะคะ  คุณแม่เข้ามาทักทายพูดคุยแบบเป็นกันเองมาก และยังพาไปเก็บเสาวรสจากต้นอีกด้วย ขอบอกว่าฟินสุดๆ นอกจากเสาวรสแล้วที่นี่ก็ยังมีสตอเบอรี่ และผักต่างๆที่ทางโฮมสเตย์ลงมือปลูกเอง โดยไม่ใช้สารเคมี เราสามารถไปเด็ดสตอเบอร์รี่สดๆทานได้อีก โอ๊ยคือดี



สตอร์เบอรรี่สดๆจากไร่


เสาวรสเด็ดจากต้นมาแล้วกินเลย

กินผลไม้ไป ซึมซับบรรยากาศไป อยากจะหยุดเวลานี้ไว้จริงๆ  ไปดูรูปบรรยากาศที่นี่กันดีกว่า


วิวท้องทุ่ง และภูเขา ดูแล้วรู้สึกสบายตาสบายใจสุดๆ


รูปวิวจากห้องนอนด้านในสุด



รูปวิวจากห้องนอนด้านในสุด


พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน วิวนี้สวยมากๆ อยากให้ทุกคนไปเห็นด้วยตาตัวเอง

หลังจากเก็บของอาบน้ำอาบท่าก็ได้เวลาทานมื้อค่ำกันแล้ว เราเลือกที่จะนั่งกันหน้าบ้านเอาแบบตากน้ำคางกันไปเลย  
มื้อนี้ทางโฮมสเตย์เค้าได้จัดขันโตกชุดใหญ่ไว้ต้อนรับ ทีเด็ดเลยคือน้ำจิ้มปลา ที่คุณแม่บอกว่าหาทานที่ไหนไม่ได้
เพราะเป็นสูตรลับเฉพาะของที่นี่ที่เดียว ชิมไปคำแรก เห้ยย มันอร่อยจริงๆด้วยแฮะ


ไปแอบถ่ายตอนที่เค้ากำลังเตรียมอาหารให้


ตรงที่มีเสื่อปูคือที่กินข้าวคืนนี้


ขันโตกมาแล้ว เห็นแบบนี้กินกันจนพุงจะแตก


จบด้วยของคาวมาต่อที่ของหวาน เมนูของหวานของพวกเราคืนนี้คือ มาชเมลโล ปิ้ง กินตอนอากาศหนาวๆนี่แหละฟินมาก

อากาศที่นี่เย็นมากๆ และดาวก็เยอะมากๆ กินเสร็จก็สามารถทิ้งตัวลงนอนดูดาวตรงนั้นได้เลย
อากาศเย็นๆนอนดูดาวท่ามกลางธรรมชาติ โอ๊ยย แฮปปี้ค๊า





วันที่ 2
มาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ต้องตื่นเช้าๆกันหน่อยนะคะ เพราะทุกนาทีมีคุณค่า ออกมาจากที่พักก็ได้รับคำทักทายจากลูกชายคุณแม่ทันที
เช้านี้อากาศเย็นไม่ต่างจากเมื่อคืนเลย ขอตัวไปปั่นจักรยานฝ่าสายหมอกสักหน่อย
เส้นทางปั่นจักรยานสวยมาก ซ้ายเป็นท้องนา ขวาเป็นไร่ข้าวโพด







สงสัยเมื่อคืนน้ำค้างจะแรง  เกาะเต็มใบไม้เลย


มุมเดิมแต่บรรยากาศไม่เหมือนเดิม





ได้เวลาอาหารเช้ากันแล้ว ที่นี่เค้าจะเตรียม กาแฟ ขนมปังพร้อมแยมและข้าวต้มไว้ให้  อร่อยไม่อร่อยไม่รู้แต่กินไปตั้ง 2 ถ้วยแหน่ะ ส่วนผลไม้ก็ไปเด็ดสตอเบอรี่จากในแปลงมาทาน แต่อย่าเด็ดจนหมดนะคะ เก็บไว้ให้คนอื่นที่มาเข้าพักได้ทานบ้างเนอะ




กินข้าวต้มเสร็จขอไปกินสตอเบอร์รี่อีกสักหน่อย

ได้เวลาไปยังสถานที่ต่อไปกันแล้ว ก่อนไปคุณแม่ได้ให้พรกับพวกเราทุกคนด้วย คุณแม่คุณพ่อและลูกชายยังดูแลพวกเราอย่างดีจนรถได้ขับออกจากบ้านไป  รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้มาพักที่บ้านญาติผู้ใหญ่เลย

    สถานีต่อไปที่เราจะไปกันก็คือบ่อเกลือ ต้องขับขึ้นไปอีกประมาณ 1 ชม. ก่อนจะถึงบ่อเกลือพวกเราก็แวะฝากท้องกันที่ ร้านหัวสะพาน สั่งกันมาแบบจัดเต็มอีกแล้ว อาหารที่นี่อร่อยและไม่แพง แถมติดลำธารช่วยเพิ่มบรรยากาศในการกินขึ้นไปอีกเยอะเลย


ถัดไปไม่ไกลจากร้านอาหารก็คือบ่อเกลือ ถ้าไปถูกเวลาก็จะมีมัคคุเทศน์ตัวน้อยมาคอยบรรยายและเล่าถึงประวัติความเป็นมาให้ฟังด้วนะคะ


สาธิตวิธีการต้มเกลือ

จากบ่อเกลือไปดอยเสมอดาวใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. เรามาถึงดอยประมาณ 6 โมงเย็น ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่โทรไปตาม
บอกว่ารอน้องคณะสุดท้ายเลยเนี่ย ฮ่าๆๆ รู้สึกผิดทันที  จริงๆผิดแผนนิดหน่อยตอนไปที่บ่อเกลือ
เพราะมันต้องย้อนไปมาทำให้เสียเวลานิดหนึ่ง  
พอมาถึงที่ดอยก็ขนของเข้าที่พัก และต้องเอารถลงไปจอดด้านล้าง เราจองเต้นท์กับทางอุทยานไว้
ค่าเต้นท์หลังล่ะ 345 บาท มีเครื่องนอนให้พร้อม สะดวกมาก  






เต้นท์ที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้





อาหารเย็นวันนี้ มาม่าต้มยำหม้อไฟ

หมูนี่หมักมาอย่างดี เครื่องเคียงและเตาเตรียมมาจากบ้านกันเลยจ้า  แต่ก็มาเช่าเตาที่อุทยานเพิ่ม เสียค่าเช่า 100 บาทพร้อมถ่าน
และตะเกียงอีก 100 บาท  ( ถ้าไม่ชอบเตรียมของมา ตรงลานจอดรถมีร้านหมูกระทะพร้อมบริการส่งถึงที่ )
กินเสร็จก็ไปนอนดูดาวกันเถอะ อากาศคืนนี้ประมาณ 16 – 18 องศา เย็นกำลังดี






ติดต่อจองเต้นท์ได้ที่ http://www.dnp.go.th/parkreserve/forprint.asp?npid=179  



วันที่ 3 และ 4 ต่อในคอมเม้นท์นะคะ  ^^

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ชื่อสินค้า:   น่าน ปัว ดอยเสมอดาว ตูบนา คุ้มเมืองมินทร์ ดอกชมพูภูคา เที่ยวไทย เที่ยวเหนือ
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่