เดียวดายใต้เงาจอ (เรื่องสั้น ตอนสั้นๆ หลายตอนจบ) 8, 9

กระทู้สนทนา
8.
    
พิษที่ร้ายกาจที่สุดสมควรเป็นเช่นไร การใช้พิษใช่เป็นวิธีการอันต่ำทราม จนไม่อาจนับเป็นแขนงหนึ่งของวิชาฝีมือ ไม่อาจนับว่าเป็นกระบวนท่าที่พลิกแพลงใช่หรือไม่
    
“แม้ตัวท่านไม่ถูกพิษของเรา” เสี่ยวเอ้อชรากล่าวช้าๆ “แต่...ไม่ทราบว่าแม่นางน้อยที่ร่วมทางมากับท่าน ใช่เก่งกาจเท่าเทียมตัวท่านด้วยหรือไม่”
    
ด้วยสายตาอันเฉียบแหลม เสี่ยวเอ้อชราพลันพบเห็นอาการกระตุกเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นที่หางตาของสารถี
    
'ได้เวลาลงมือแล้ว'
    
แม้เป็นเพียงชั่วพริบตา เมื่อภาพจากดวงตา ก่อเกิดเป็นความคิด จากความคิดนั้นเสี่ยวเอ้อชรายังไม่ทันได้ลงมือ สารถีก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนแล้ว
    
ในความคิดเห็นอันต่ำต้อยแต่แปลกแยกจากผู้คนทั่วไปของนักบู๊ไร้นาม พิษที่ลึกซึ้งชั่วร้ายในความเห็นของมัน พิษที่ยากป้องกันที่สุด มิใช่วัตถุธาตุชนิดใดทั้งสิ้น
    
แต่กลับเป็นสิ่งที่เรียกว่า 'ความคิด'
    
เมื่อผู้อื่นศึกษาแนวทางวิชาฝีมือของท่าน มันก็จะถูกจู่โจมผ่านทางกระบวนอักษร ศาสตราวุธของท่านยังไม่ทันสะกิดให้เกิดบาดแผล ไม่จำเป็นต้องสูดดมกลิ่น หรือสัมผัสเข้ากับสิ่งใด แนวคิดที่ถูกท่านซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้กระบวนท่า จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ความคิดภายในเรื่องราวที่ท่านแต่งแต้มขึ้นมานั้น ก็จะแผ่พุ่งออกจากร่องรอยอักขระ ตรงเข้าพัวพันความคิดของคู่ต่อสู้ไว้ โดยที่มันอาจไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
    
ไม่ว่าท่านจะชอบใจหรือไม่ ความคิดของท่านก็จะรุกรานเข้าไปในความคิดของผู้อื่น จนยากที่จะสลัดทิ้งไปโดยง่าย และในทางกลับกัน เมื่อท่านลงมือศึกษาแนวทางวิชาฝีมือของผู้อื่น ตัวท่านเองก็ต้องรับเอาความคิดจากคู่ต่อสู้เข้ามาไว้ด้วยเช่นกัน
    
หากมันเป็นกระบวนความคิดที่ร้ายกาจ เป็นความเข้าใจที่ถูกทำให้บิดเบี้ยว แต่มีพลังแฝงเร้นดึงดูดใจจนยากต้านทาน คอยเกาะกุมกัดกร่อนจิตใจของท่านเรื่อยไปโดยไม่อาจสลัดทิ้ง จนสุดท้ายแม้แต่ความคิดของท่านเองก็ยังเกิดความเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
    
เช่นนี้สามารถนับเป็นพิษที่ร้ายกาจชั่วร้ายที่สุดหรือไม่
    
แต่หากความคิดที่ถูกสอดแทรกไว้ภายในกระบวนท่าเหล่านั้นคือความสร้างสรรค์ เมื่อประสานรวมกันแล้วก่อเกิดเป็นความงอกงามไม่จบสิ้น ท่านศึกษากระบวนท่าของผู้อื่น ผู้อื่นศึกษากระบวนท่าของท่าน ท่านศึกษาความคิดของผู้อื่น ผู้อื่นศึกษาความคิดของท่าน ไม่ว่าผลการต่อสู้สุดท้ายจะเป็นเช่นไร ใช่เกิดเป็นความก้าวหน้าขึ้นหรือไม่
    
เช่นนี้ยังเรียกเป็นพิษที่ร้ายกาจชั่วร้ายอีกหรือไม่
    
แต่ความคิดเช่นใดนับเป็นความคิดเช่นใดย่อมยากแยกแยะยิ่งกว่าดีชั่ว เพราะแม้แต่เจ้าของความคิดเองก็ยังไม่อาจแน่ใจ และเมื่อความคิดถูกถ่ายทอดออกไปแล้ว มันจะเติบโตกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตเป็นของตนเองขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปภายในความคิดของผู้อื่นได้อีกด้วย
    
“ท่านหลงกลแล้ว” นักบู๊ไร้นามพลันตะโกนออกไปสุดเสียง
    
มีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักอยู่ที่กึ่งกลางลำคอของเสี่ยวเอ้อชรา ด้ามของมันเป็นไม้ธรรมดา โดยไม่มีใครทราบว่าคมมีดนั้นจะเป็นเช่นไร เยือกเย็นถึงเพียงไหน เพราะมันจมหายลงไปในลำคอจนหมดสิ้น ราวกับมันปักอยู่ในตำแหน่งนั้นมาแล้วนานเนิ่น ราวกับเสี่ยวเอ้อชราพอเกิดมาก็มีมีดเช่นนี้ปักอยู่แล้วเล่มหนึ่ง
    
รอยยิ้มยังคงค้างอยู่บนริมฝีปาก มือข้างที่เคยใช้จับผ้าผืนเก่าเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ภายในโรงเตี๊ยมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันข้างนั้น ถูกรวบเป็นกำปั้นเหล็กยกค้างห่างจากตำแหน่งลำคอที่มีด้ามมีดปักอยู่เพียงไม่เกินหนึ่งดรรชนี มันความจริงยินยอมทิ้งกำปั้นเหล็กข้างนี้ที่ใช้เวลาหลอมสร้างนับหลายสิบปีเพื่อแลกกับโอกาสสักครั้งในชีวิต โอกาสที่หายลับไปในช่วงระยะห่างเพียงหนึ่งดรรชนีนั้น
    
ที่นักบู๊ไร้นามกล่าวว่า หลงกล ใช่หมายถึงเสี่ยวเอ้อชราที่จบชีวิตลงนี้หรือไม่

9.
    
มีคำเล่าลือกันว่าใน วรรณภพ อันกว้างไกลไร้ขอบเขตนั้นยังมีสุดยอดวิชาลี้ลับอยู่อีกมากมาย หนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็น มีดบิน ของสารถีผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งต้องนับเป็นกระบวนท่าที่ไม่อาจอธิบาย มีดสั้นนั้นถูกซัดขว้างออกไปอย่างไร ใช่รวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสงจริงหรือไม่ เหตุใดเรื่องราวภายใต้เงาศาสตราเช่นนี้จึงทั้งโดดเด่น ทั้งตราตรึงใจผู้คนไปตราบนานเท่านาน
    
หรือกระบวนท่าที่นักบู๊ไร้นามคิดวาดหวังไว้ภายในใจก็สมควรเป็นเช่นนี้ แต่หากเป็นกระบวนท่าที่ไม่อาจอธิบาย แล้วจะคิดค้นใช้ออกได้อย่างไร
    
“นับเป็นมีดบินที่ยอดเยี่ยมสมคำเล่าลือ” เสียงราบเรียบกล่าวขึ้น ก่อนติดตามมาด้วยเสียงตบมือสามครั้ง “แม้รู้ว่าท่านจะต้องขว้างมีด แม้รู้ว่าเป้าหมายของท่านคือลำคอ แม้เสี่ยวเอ้อชราผู้นี้ยังมีมือที่รวดเร็วเข็มแข็งเหนือผู้ใดอยู่อีกข้างหนึ่ง ก็ยังไม่อาจฉวยโอกาสนี้สร้างชื่อว่าเป็นผู้ที่สามารถรอดชีวิตจากมีดบินของท่านได้”
    
มีเพียงความเงียบงันแทนคำตอบ
    
ที่กล่าววาจาเหล่านี้คือ ผู้หวังพ่าย ที่สมควรถูกพิษ แขนซ้ายขวาของสารถีในตอนนี้ล้วนถูก หลวงจีน และ นักพรต ที่สมควรถูกพิษเช่นกันจับยึดไว้คนละข้าง ต่อให้มันมีกระบวนท่ามีดบินที่สามารถก่อกวนให้เกิดมวลอันมหาศาล สร้างคลื่นแรงโน้มถ่วงที่สามารถบิดเบือนกาลอวกาศ ส่งมีดบินที่หลุดออกจากมือให้เคลื่อนที่ย้อนไปในกาลเวลาไปสู่เป้าหมายโดยที่ไม่ขึ้นกับระยะทางใกล้ไกลใดใดทั้งสิ้น แต่เมื่อแขนทั้งสองถูกจับไว้เช่นนี้ก็ไม่อาจสำแดงมีดบินที่มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้อีก
    
ตอนนี้จึงได้คำตอบแล้วว่า ที่นักบู๊ไร้นามบอกว่า หลงกล นั้นหมายถึงตัวสารถีนั่นเอง
    
พิษที่ลึกซึ้งชั่วร้ายที่สุด ยากป้องกันที่สุดก็คือพิษที่จู่โจมใส่จิตใจของท่าน ล่อลวงความคิดของท่านให้เลอะเลือน ยิ่งกว่าอาวุธลับ ยิ่งกว่ายาพิษไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รส ยิ่งกว่าบทบรรยายที่ยอกย้อนคลุมเคลือ ยิ่งกว่าสำนวนที่เขียนขึ้นเพื่อจงใจล่อลวงให้เกิดการเข้าใจผิด
    
“...พวกเจ้ายินยอมรับปากว่าจะปลดปล่อยนางไป” สารถีกล่าวช้าๆ คล้ายยอมรับชะตากรรมของตน ด้วยสภาพเยี่ยงนี้มันย่อมไม่มีอันใดให้ต่อรองกับพวกเหล่านี้อีก
    
“ท่านรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด” ผู้หวังพ่ายย้อนถาม
    
“ที่ท่านต้องการย่อมมิใช่ความพ่ายแพ้” สารถียังสามารถเผยรอยยิ้ม “ให้นางจากไปพร้อมกับคุณชายท่านนี้” มันหมายถึงนักบู๊ไร้นามนั่นเอง “แล้วความลับภายใต้มีดบินจะตกเป็นของท่าน” ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจหรือไม่ แต่คำพูดนี้คล้ายเจาะจงพุ่งตรงไปยังผู้หวังพ่ายเพียงผู้เดียวเท่านั้น
    
หลวงจีนกับนักพรตแม้กำลังทุ่มเทพลังสมาธิทั้งหมดไปกับการจับยึดแขนทั้งสองนี้ไว้ ยังอดไม่ได้ที่จะลอบสบตากันเมื่อได้ยินคำพูดนี้
    
“ท่านไม่ต้องคิดดิ้นรนไป พวกเราย่อมไม่ตกหลุมพลางที่ต้องการให้แตกแยกของท่าน ตำนานมีดบินต้องจบสิ้นลงเพียงเท่านี้ จากนี้ไปจะมีเพียงกระบวนท่าที่คิดค้นขึ้นใหม่ของพวกเราสามคนที่จะสร้างความปั่นป่วนกวาดไปทั่ววรรณภพเท่านั้น”
    
สารถีเพียงยิ้มไม่โต้ตอบอันใด หลวงจีนกับนักพรตนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่ย่อมไม่กล้าปริปาก เพราะหากเสียสมาธิไปเพียงชั่วครู่ ก็อาจต้องมีมีดสั้นปักอยู่บนลำคอเช่นเดียวกับเสี่ยวเอ้อชรา พวกมันถลำลึกมาจนถึงเพียงนี้แล้ว ย่อมได้แต่เชื่อมั่นในผู้หวังพ่ายจนถึงที่สุด
    
“ได้ พวกเรารับปาก จะยอมปลดปล่อยนางไป”
    
ทั้งสองฝ่ายต่างมองสบตา ต่างรู้ว่ายังคงมีข้อต่อรอง ยังคงมีโอกาสที่ต่างไม่คิดจะเปิดให้ฝ่ายตรงข้าม แต่ผู้หวังพ่ายถือไพ่เหนือกว่า สำหรับตัวมันจึงนับว่าเป็นความสนุกสนานประการหนึ่ง
    
นักบู๊ไร้นามถูกลากดึงเข้าสู่เรื่องนี้โดยไม่คาดคิด ในความเห็นของมัน การศึกษากระบวนท่าของผู้อื่น ฝึกปรือจากตำราวิชาฝีมือนับเป็นเรื่องราวประการหนึ่ง การใช้ออกด้วยกระบวนท่าของผู้อื่นในรูปแบบของตน เช่นหลักวิชา ยืมหอกสนองคืนผู้ใช้ ของตระกูลมู่หยง ก็ยังนับว่าเป็นความล่อแหลมประการหนึ่ง แต่หากเป็นการดึงดูดลมปราณจากผู้อื่น เช่นหลักวิชา มหาเวทดูดดาว ของพรรคมาร การบังคับลอกเลียนกระบวนท่า กระบวนอักษรเยี่ยงนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
    
“เรื่องนี้มีอันใดไม่ถูกต้อง”
    
ผู้หวังพ่ายคล้ายสามารถอ่านความคิดของนักบู๊ไร้นามได้ “การยกมือวางเท้าทุกท่วงท่าล้วนมีผู้อื่นเคยทำมาก่อนแล้วทั้งสิ้น” เรื่องราวทุกประการล้วนเคยถูกบอกเล่าผ่านตัวละคร ผ่านบทสนทนา ผ่านเหตุการณ์ที่แตกต่างหลากหลายมาก่อนแล้ว “กระบวนท่าของเจ้าเอง หรือกระบวนท่าของผู้อื่น ขอเพียงเป็นกระบวนท่าที่ร้ายกาจ หากเจ้าใช้ออกจนสามารถสร้างชื่อลือเลื่อง ย่อมนับเป็นความสำเร็จของเจ้าแล้ว”
    
“หรือที่จริง เจ้าเองก็ต้องการส่วนแบ่งจากเรื่องครั้งนี้”
    
นับเป็นคำถามที่นักบู๊ไร้นามคาดไม่ถึง แต่ก็ทำให้มันเกิดความลังเลสงสัย ว่าที่จริงแล้วตัวมันใช่คิดเช่นนั้นจริงหรือไม่
    
“...เกิดเรื่องอันใด” ดรุณีน้อยอุทานเมื่อเดินออกจากห้องพักมาพบเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่