หลายปีที่ผ่านมา ผมก็ได้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับศาสนาต่างๆมาอ่าน รวมทั้งหนังสือของ ศาสนาพุทธด้วย
หลังจากที่ผมอ่านไปเรื่อยๆ พบว่า บางศาสนา กลับไม่ถูกจริตของผม
ผมเลยย้อนกลับมาอ่านหนังสือศาสนาใกล้ตัว คือ ศาสนาพุทธ นั่นเอง ซึ่งผมละเลยมาตลอด
ผมพบว่า ศาสนาพุทธ นั้น เป็นศาสนาที่ลึกซึ้งมาก ผมต้องคิดตามอย่างหนัก เพื่อพยายามทำความเข้าใจ
ต่างจากบางศาสนา ที่ให้อ่านแล้ว มีหน้าที่เชื่อสถานเดียว ไม่ต้องปวดหมอง
หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ท่านยังใช้เวลาถึง 7 วัน เพื่อทบทวนว่าจะสอนอย่างไร
เพราะพระพุทธเจ้ารู้ดีว่า สิ่งที่ท่านค้นพบนั้นลึกซึ้งนัก ท่านจะสั่งสอนคนทั่วไปอย่างไรให้เข้าใจ
ต่อมา ท่านก็เลยแบ่งคนออกเป็นเหมือน บัวสี่เหล่า และประเภท บัวใต้น้ำนั้น พระพุทธเจ้าเลือกที่จะไม่สอน เพราะสอนไปก็ไม่มีประโยชน์
ปล่อยให้งมงายต่อไป
สิ่งที่ท่านค้นพบนั้น มีมากมายมหาศาลเหลือเกิน ท่านเองจึงเลือกสอนเฉพาะ ทางพ้นทุกข์เท่านั้น
ท่านเปรียบเทียบการค้นพบของท่านว่า เสมือนใบไม้ในป่า แต่สิ่งที่ท่านนำมาสอนนั้น เสมือน ใบไม้ในกำมือ
บางเรื่องที่ลึกซึ้งเกินไป ท่านก็เลือกที่จะไม่สอนเช่นกัน โดยท่านเรียกว่า อจินไตย ซึ่งแปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิด หรือ สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้
คำสอนเฉพาะ ใบไม้ในกำมือนั้น ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการพ้นทุกข์ การบรรลุเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้า ไม่ทรงทำนายว่า จะมีพระอรหันต์กี่รูป แต่ทรงทำนายถึง พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ที่จะตรัสรู้ มีความรู้มากมายเหมือนท่าน
และท่านไม่เคยทำนายว่า จะมีพระต้นธาตุ ต้นธรรม มาเกิดที่ประเทศไทย แถวๆปทุมธานี
แม้แต่คำสอนที่ พระพุทธองค์ เลือกนำมาสอนนั้น ก็ยังมีสิ่งที่ท้าทายจินตนาการอย่างมาก
เช่น ท่นต้องการจะสอนสิ่งที่มีปริมานมากมายเหลือเกิน เช่น เวลาที่มากๆ
ท่านมีหน่วยเรียกพื้นฐานว่า อสงไขย ซึงมีขนาดเท่ากับ 1x10
140 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายเหลือเกิน
และยังมีหน่วย อสงไขยกัป อันตรกัป ซึ่งเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่าด้วย
ซึ่งหน่วยที่มากมายนี้ ต้องใช้กับสิ่งกว้างใหญ่ เว้งว้าง อย่างเช่น เอกภพ เท่านั้น
และท่านยังเรียกสิ่งที่เล็กมากๆ ว่า ปรมาณู นั่นคือหน่วยที่เล็กที่สุด แต่ยังประกอบด้วย วิชชุรูป กับ มูลรูป
จาก ทฤษฎี ควอนตั้ม เราพบว่า องค์ประกอบของอะตอม คือ โปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน นั้น ต่างมี ควาก 2 ชนิด เป็นองค์ประกอบ
เปรียบเสมือน วิชชุรูป กับน มูลรูป นั่นเอง
Univers นั้นแปลว่า เอกภพ ไม่ได้แปลว่า จักรวาล เพราะจักรวาลนั้นเป็นสับเซ็ตของ เอกภพ
เช่น สุริยะจักรวาล ก็หมายความว่า จักรวาลที่มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางการโคจร
หรือจักรวาล ที่ใหญ่ขี้น เช่น กาแล็กซี่ ก็เป็นสับเซ็ต ของเอกภพ
พระพุทธเจ้า ยังกล่าวถึงการ เกิด-ดับ ของโลกอีกด้วย
การเกิด-ดับ ของโลกนั้น ใช้เวลาถึง 256 อันตรกัป ทีเดียว
เมื่อดัดแปลงมาอธิบายเชิงวิทยาศาตร์
เมื่อโลกกำเนิดขึ้น ก็จะมีอายุ 64 อันตรกัป แล้วก็จะถูกทำลายลงจากไฟประลัยกัป ซึ่งหมายถึงการที่ดวงอาทิตย์พองตัวขึ้น เนื่องจากใช้ไฮโดรเจนจนหมด
แล้วกลายเป็น ฮีเลี่ยม แล้วฮีเลี่ยม ก็หลอมตัวกันจากปฏิกริยาฟิวชัน ซึ่งทำให้เกิดแรงดันมหาศาล จนดวงอาทิตย์ พองตัวออกจนเลยวงโคจรของดาวพุทธ
แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จนดวงอาทิตย์ระเบิดออก ไม่ได้ยุบตัวเป็นหลุมดำ เพราะมวลที่ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงยังไม่พอที่จะเอาชนะแรงผลักอันเนื่องมาจาก แรงดันของการหลอมฮีเลียม ซึ่งผลจากการหลอมตัวของฮีเลียม ทำให้เกิดธาตุที่มีเลขอะตอมมากขึ้น เช่น คาร์บอน และ ออกซิเจน
ดวงอาทิตย์ระเบิดออก ชิ้นส่วนต่างๆปลิวไปทั่ว ชิ้นส่วนเหล่านี้เกิดการรวมตัวเป็นธาตุหนักต่างๆ ก่อนที่จะกลายเป็นดาวเคราะห์อีกครั้ง
ทุกสิ่งทุกอย่าง เงียบสงบ จนโมเลกุลของไฮโดรเจน ซึ่งมีอยู่ 1 โมเลกุล ต่อ หนึ่งลูกบาศก์เมตร ในอวกาศค่อยๆรวมตัวเข้าหากัน ใช้เวลาอีก 64 อสงไขยกัป
ไฮโดรเจนเคลื่อนที่เข้าหากันนี้ เสียดสีกัน จนเกิดความร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ มีมวลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดแรงโน้มถ่วงทำให้โมเลกุลของไฮโดรเจนที่กระจายอยู่ในห้วงอวกาศ ถูกแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล วิ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว จนเมื่อความร้อนจากการเสียดสีเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านองศาเซลเซียส ปฏิกริยา ฟิวชัน ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง รวบรวมดาวเคราะห์ต่างๆ ให้มาโคจรรอบๆอีก ระบบสุริยะจักรวาล กลับเกิดขึ้นมา และมีอายุอยู่ถึง 64 อสงไขยกัป ก่อนจะดับไปอีก
วนเวียนเป็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีสิ่งใดอยู่เป็นนิรันดร์
เดิมทีนั้น เราคิดว่า มีสิ่งที่เป็นอนันต์อยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด มีอำนาจมากมาย และมีมาก่อน ทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นนิยามของ พระเจ้า
เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ก้าวหน้าขึ้น มีการสร้างกล้องโทรทัศน์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
เมื่อเราเฝ้าสังเกตไปยังดาราจักร หรือ กาแล็กซี่ ที่อยู่ไกลออกไป เราพบว่า มันกำลังเคลื่อนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ โดยแปรผันตามระยะทาง
หมายความว่า ยิ่งกาแลกซี่ที่อยู่ไกลจากเรามากเท่าไหร่ มันยิ่งเคลื่อนที่หนีเราไปด้วยความเร็วมากขึ้นเท่านั้น
และเป็นเช่นนี้ในทุกทิศทุกทาง
เมือนำค่าความเร็วของดาราจักรต่างๆมาคำนวน พบว่า มันควรจะเคยอยู่รวมกัน ณ จุดๆหนึ่ง
จุดๆนั้นควรมีขนาดเป็นศูนย์ เพราะมวลอันมหาศาลทำให้ เกินขีดจำกัดค่าๆหนึ่งซึ่งจะกักให้มันมีขนาดได้
ทำให้จุดๆนี้ มีความหนาแน่นเป็นอนันต์ มันคือจุด ซิงกูลาริตี้ ทำให้จุดๆนี้ เวลา ไม่เดินด้วย หรือเวลาเป็น ศูนย์ อวกาศ อันประกอบด้วย กว้าง ยาว ลึก ก็ไม่มี
จุดๆนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง นั่นคือ เวลา มีจุดเริ่มต้น
การที่บอกว่า พระเจ้า นั้น ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด จึงไม่เป็ความจริง
และ ข้างนอกจุดๆนี้ ก็ไม่มีที่ว่างสำหรับ พระเจ้า เพราะมันไม่ใช่แม้แต่ที่ว่าง แต่มันคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
ถ้าจะมีคำถามว่า เอกภพ มีขอบเขตหรือไม่ คำตอบคือ มี
เพราะภายในเอกภพนั้น มี กาล-อวกาศ อยู่ คือ มีที่ว่าง และ เวลา อยู่ ภายนอกเอกภพนั้น คือที่ๆไม่มีอยู่จริง ไม่มี กาล-อวกาศ ไม่มีที่ว่าง
ถ้าจะมีพระเจ้า พระเจ้าต้องอยู่ภายในเอกภพเท่านั้น
ถ้ามีจุด ซิงกูลาริตี้ พระเจ้าจำเป็นต้องอยู่ในจุดนั้นด้วย
เมื่อเกืดการระเบิดใหญ่ ที่เรียกว่า บิ๊กแบง มวลมหาศาล ก็ถูกเหวี่ยงออกมา ขนาดขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กาล-อวกาศ ที่ว่าง-เวลา เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เอกภพก็ขยายตัวออกเรื่อยๆ ถ้า พระเจ้า อยู่ในจุดๆนั้น พระเจ้า ก็ถูกระเบิดออกมาด้วย แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎฟิสิกส์
พระเจ้า ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎฟิสิกส์นี้ด้วย
ดังนั้น จึงไม่มีอะไรให้พระเจ้าสร้าง หรือ การมีอยู่หรือไม่ของพระเจ้า ก็ไม่มีผลอันใดกับเอกภพนี้
เมื่อครั้ง หลังจากที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ค้นพบทฤษฎี สัมพัทธภาพทั่วไป แล้วนั้น
เขาพบว่า ทฤษฎีของเขานั้น ทำนายว่า เอกภพ ไม่คงตัว
แต่ตอนนั้น ยังไม่มีการค้นพบว่า กาแล็กซี่ต่างๆ กำลังขยายตัวออกไป
ไอน์สไตน์ จึงหาทางปรับแก้ทฤษฎีของเขาให้ทำนายว่า เอกภพ คงตัว หรือ อยู่ชั่วนิรันดร์
โดยการใส่ค่าคงที่ค่าหนึ่ง ลงในสมการของเขา
ต่อมาเมื่อมีการค้นพบว่า เอกภพ นี้ กำลังขยายตัว
เขาจึงนำค่าคงที่นี้ออก โดยต่อมาเขากล่าวว่า นับเป็นความผิดพลาดครั้งร้ายแรงในชีวิตของเขา ที่ใส่ค่าคงที่นี้ลงไป
ในยุคปัจจุบัน เรากลับพบว่า ที่เอกภพขยายตัวด้วยความเร่งนั้น กลับมีอัตราเปลี่ยนแปลงของความเร่งเป็นลบ
นั่นหมายถึง ความเร่งในการขยายตัวจะลดลงเรื่อยๆ หมายความว่า เอกภพนี้เมื่อขยายตัวถึงจุดๆหนึ่ง มันกำลังยุบตัวลงมา !!!
ค่าคงที่ ในสมการที่ไอน์สไตน์นำออกไป กลับมามีความหมายอีกครั้ง เอกภพ มีการขยายตัว แล้ว ยุบตัว
นั่นคือ เมื่อยุบตัวลงมาจนถึงจุดหนึ่ง จุดซิงกูลาริตี้ ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เวลา ก็จะมาสิ้นสุดลงตรงนี้
เพราะฉะนั้น เวลา จึงมีจุดเริ่มต้น แล้ว มีจุดสิ้นสุด
ไม่มีพระเจ้าที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่มีเวลาเป็นลบอนันต์ และ บวกอนันต์
เมื่อเกิด บิ๊กแบง อีกครั้ง ก็เป็นไปตาม วัฎสงสาร คือ วนเวียนเช่นนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อมนุษย์ทุกคน ต้องอยู่ภายใต้ วัฏสงสาร เวียนว่าย ตาย เกิด
ซึ่งมีแต่ความทุกข์ ต้องเจ็บป่วย ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ซ้ำวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันจบสิ้น
แต่คำสอนของพระพุทธเจ้ามีทางออก นั่นคือ นิพพาน เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนใดๆ ไร้ซึ่งกิเลส ความต้องการใดๆ
ไม่ต้องการสะสมรถโบราณ วัฏสงสารนี้ ก็จะถูกตัดลง เพราะไร้เงื่อนไขที่จะทำให้มาเกิดขึ้นอีก
ภาวะนิพพานนี้ คงไม่สามารถอธิบายได้ นอกจาก พระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ เท่านั้น
ท่าน พุทธอิสระ ก็ไม่แน่ว่าจะอธิบายได้
ผมเองก็จนปัญญาที่จะเข้าใจ อาจจะต้องบวชจนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดเลย
.....
ผมตั้งกระทู้นี้ เพื่อนต่างศาสนิก อาจคิดว่า ผมเชียร์แต่พระพุทธเจ้า
จริงๆแล้ว ผมต้องการความเห็นจากท่าน ในเชิง วิทยาศาสตร์ หรือ โดยเหตุผล
ท่านสามารถด่าผมได้ แต่ขอให้ด่าด้วยเหตุผลด้วยนะ
พระพุทธเจ้า วิทยาศาสตร์ และพระเจ้า
หลังจากที่ผมอ่านไปเรื่อยๆ พบว่า บางศาสนา กลับไม่ถูกจริตของผม
ผมเลยย้อนกลับมาอ่านหนังสือศาสนาใกล้ตัว คือ ศาสนาพุทธ นั่นเอง ซึ่งผมละเลยมาตลอด
ผมพบว่า ศาสนาพุทธ นั้น เป็นศาสนาที่ลึกซึ้งมาก ผมต้องคิดตามอย่างหนัก เพื่อพยายามทำความเข้าใจ
ต่างจากบางศาสนา ที่ให้อ่านแล้ว มีหน้าที่เชื่อสถานเดียว ไม่ต้องปวดหมอง
หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ท่านยังใช้เวลาถึง 7 วัน เพื่อทบทวนว่าจะสอนอย่างไร
เพราะพระพุทธเจ้ารู้ดีว่า สิ่งที่ท่านค้นพบนั้นลึกซึ้งนัก ท่านจะสั่งสอนคนทั่วไปอย่างไรให้เข้าใจ
ต่อมา ท่านก็เลยแบ่งคนออกเป็นเหมือน บัวสี่เหล่า และประเภท บัวใต้น้ำนั้น พระพุทธเจ้าเลือกที่จะไม่สอน เพราะสอนไปก็ไม่มีประโยชน์
ปล่อยให้งมงายต่อไป
สิ่งที่ท่านค้นพบนั้น มีมากมายมหาศาลเหลือเกิน ท่านเองจึงเลือกสอนเฉพาะ ทางพ้นทุกข์เท่านั้น
ท่านเปรียบเทียบการค้นพบของท่านว่า เสมือนใบไม้ในป่า แต่สิ่งที่ท่านนำมาสอนนั้น เสมือน ใบไม้ในกำมือ
บางเรื่องที่ลึกซึ้งเกินไป ท่านก็เลือกที่จะไม่สอนเช่นกัน โดยท่านเรียกว่า อจินไตย ซึ่งแปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิด หรือ สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้
คำสอนเฉพาะ ใบไม้ในกำมือนั้น ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการพ้นทุกข์ การบรรลุเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้า ไม่ทรงทำนายว่า จะมีพระอรหันต์กี่รูป แต่ทรงทำนายถึง พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ที่จะตรัสรู้ มีความรู้มากมายเหมือนท่าน
และท่านไม่เคยทำนายว่า จะมีพระต้นธาตุ ต้นธรรม มาเกิดที่ประเทศไทย แถวๆปทุมธานี
แม้แต่คำสอนที่ พระพุทธองค์ เลือกนำมาสอนนั้น ก็ยังมีสิ่งที่ท้าทายจินตนาการอย่างมาก
เช่น ท่นต้องการจะสอนสิ่งที่มีปริมานมากมายเหลือเกิน เช่น เวลาที่มากๆ
ท่านมีหน่วยเรียกพื้นฐานว่า อสงไขย ซึงมีขนาดเท่ากับ 1x10140 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายเหลือเกิน
และยังมีหน่วย อสงไขยกัป อันตรกัป ซึ่งเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่าด้วย
ซึ่งหน่วยที่มากมายนี้ ต้องใช้กับสิ่งกว้างใหญ่ เว้งว้าง อย่างเช่น เอกภพ เท่านั้น
และท่านยังเรียกสิ่งที่เล็กมากๆ ว่า ปรมาณู นั่นคือหน่วยที่เล็กที่สุด แต่ยังประกอบด้วย วิชชุรูป กับ มูลรูป
จาก ทฤษฎี ควอนตั้ม เราพบว่า องค์ประกอบของอะตอม คือ โปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน นั้น ต่างมี ควาก 2 ชนิด เป็นองค์ประกอบ
เปรียบเสมือน วิชชุรูป กับน มูลรูป นั่นเอง
Univers นั้นแปลว่า เอกภพ ไม่ได้แปลว่า จักรวาล เพราะจักรวาลนั้นเป็นสับเซ็ตของ เอกภพ
เช่น สุริยะจักรวาล ก็หมายความว่า จักรวาลที่มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางการโคจร
หรือจักรวาล ที่ใหญ่ขี้น เช่น กาแล็กซี่ ก็เป็นสับเซ็ต ของเอกภพ
พระพุทธเจ้า ยังกล่าวถึงการ เกิด-ดับ ของโลกอีกด้วย
การเกิด-ดับ ของโลกนั้น ใช้เวลาถึง 256 อันตรกัป ทีเดียว
เมื่อดัดแปลงมาอธิบายเชิงวิทยาศาตร์
เมื่อโลกกำเนิดขึ้น ก็จะมีอายุ 64 อันตรกัป แล้วก็จะถูกทำลายลงจากไฟประลัยกัป ซึ่งหมายถึงการที่ดวงอาทิตย์พองตัวขึ้น เนื่องจากใช้ไฮโดรเจนจนหมด
แล้วกลายเป็น ฮีเลี่ยม แล้วฮีเลี่ยม ก็หลอมตัวกันจากปฏิกริยาฟิวชัน ซึ่งทำให้เกิดแรงดันมหาศาล จนดวงอาทิตย์ พองตัวออกจนเลยวงโคจรของดาวพุทธ
แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จนดวงอาทิตย์ระเบิดออก ไม่ได้ยุบตัวเป็นหลุมดำ เพราะมวลที่ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงยังไม่พอที่จะเอาชนะแรงผลักอันเนื่องมาจาก แรงดันของการหลอมฮีเลียม ซึ่งผลจากการหลอมตัวของฮีเลียม ทำให้เกิดธาตุที่มีเลขอะตอมมากขึ้น เช่น คาร์บอน และ ออกซิเจน
ดวงอาทิตย์ระเบิดออก ชิ้นส่วนต่างๆปลิวไปทั่ว ชิ้นส่วนเหล่านี้เกิดการรวมตัวเป็นธาตุหนักต่างๆ ก่อนที่จะกลายเป็นดาวเคราะห์อีกครั้ง
ทุกสิ่งทุกอย่าง เงียบสงบ จนโมเลกุลของไฮโดรเจน ซึ่งมีอยู่ 1 โมเลกุล ต่อ หนึ่งลูกบาศก์เมตร ในอวกาศค่อยๆรวมตัวเข้าหากัน ใช้เวลาอีก 64 อสงไขยกัป
ไฮโดรเจนเคลื่อนที่เข้าหากันนี้ เสียดสีกัน จนเกิดความร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ มีมวลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดแรงโน้มถ่วงทำให้โมเลกุลของไฮโดรเจนที่กระจายอยู่ในห้วงอวกาศ ถูกแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล วิ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว จนเมื่อความร้อนจากการเสียดสีเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านองศาเซลเซียส ปฏิกริยา ฟิวชัน ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง รวบรวมดาวเคราะห์ต่างๆ ให้มาโคจรรอบๆอีก ระบบสุริยะจักรวาล กลับเกิดขึ้นมา และมีอายุอยู่ถึง 64 อสงไขยกัป ก่อนจะดับไปอีก
วนเวียนเป็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีสิ่งใดอยู่เป็นนิรันดร์
เดิมทีนั้น เราคิดว่า มีสิ่งที่เป็นอนันต์อยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด มีอำนาจมากมาย และมีมาก่อน ทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นนิยามของ พระเจ้า
เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ก้าวหน้าขึ้น มีการสร้างกล้องโทรทัศน์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
เมื่อเราเฝ้าสังเกตไปยังดาราจักร หรือ กาแล็กซี่ ที่อยู่ไกลออกไป เราพบว่า มันกำลังเคลื่อนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ โดยแปรผันตามระยะทาง
หมายความว่า ยิ่งกาแลกซี่ที่อยู่ไกลจากเรามากเท่าไหร่ มันยิ่งเคลื่อนที่หนีเราไปด้วยความเร็วมากขึ้นเท่านั้น
และเป็นเช่นนี้ในทุกทิศทุกทาง
เมือนำค่าความเร็วของดาราจักรต่างๆมาคำนวน พบว่า มันควรจะเคยอยู่รวมกัน ณ จุดๆหนึ่ง
จุดๆนั้นควรมีขนาดเป็นศูนย์ เพราะมวลอันมหาศาลทำให้ เกินขีดจำกัดค่าๆหนึ่งซึ่งจะกักให้มันมีขนาดได้
ทำให้จุดๆนี้ มีความหนาแน่นเป็นอนันต์ มันคือจุด ซิงกูลาริตี้ ทำให้จุดๆนี้ เวลา ไม่เดินด้วย หรือเวลาเป็น ศูนย์ อวกาศ อันประกอบด้วย กว้าง ยาว ลึก ก็ไม่มี
จุดๆนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง นั่นคือ เวลา มีจุดเริ่มต้น
การที่บอกว่า พระเจ้า นั้น ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด จึงไม่เป็ความจริง
และ ข้างนอกจุดๆนี้ ก็ไม่มีที่ว่างสำหรับ พระเจ้า เพราะมันไม่ใช่แม้แต่ที่ว่าง แต่มันคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
ถ้าจะมีคำถามว่า เอกภพ มีขอบเขตหรือไม่ คำตอบคือ มี
เพราะภายในเอกภพนั้น มี กาล-อวกาศ อยู่ คือ มีที่ว่าง และ เวลา อยู่ ภายนอกเอกภพนั้น คือที่ๆไม่มีอยู่จริง ไม่มี กาล-อวกาศ ไม่มีที่ว่าง
ถ้าจะมีพระเจ้า พระเจ้าต้องอยู่ภายในเอกภพเท่านั้น
ถ้ามีจุด ซิงกูลาริตี้ พระเจ้าจำเป็นต้องอยู่ในจุดนั้นด้วย
เมื่อเกืดการระเบิดใหญ่ ที่เรียกว่า บิ๊กแบง มวลมหาศาล ก็ถูกเหวี่ยงออกมา ขนาดขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กาล-อวกาศ ที่ว่าง-เวลา เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เอกภพก็ขยายตัวออกเรื่อยๆ ถ้า พระเจ้า อยู่ในจุดๆนั้น พระเจ้า ก็ถูกระเบิดออกมาด้วย แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎฟิสิกส์
พระเจ้า ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎฟิสิกส์นี้ด้วย
ดังนั้น จึงไม่มีอะไรให้พระเจ้าสร้าง หรือ การมีอยู่หรือไม่ของพระเจ้า ก็ไม่มีผลอันใดกับเอกภพนี้
เมื่อครั้ง หลังจากที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ค้นพบทฤษฎี สัมพัทธภาพทั่วไป แล้วนั้น
เขาพบว่า ทฤษฎีของเขานั้น ทำนายว่า เอกภพ ไม่คงตัว
แต่ตอนนั้น ยังไม่มีการค้นพบว่า กาแล็กซี่ต่างๆ กำลังขยายตัวออกไป
ไอน์สไตน์ จึงหาทางปรับแก้ทฤษฎีของเขาให้ทำนายว่า เอกภพ คงตัว หรือ อยู่ชั่วนิรันดร์
โดยการใส่ค่าคงที่ค่าหนึ่ง ลงในสมการของเขา
ต่อมาเมื่อมีการค้นพบว่า เอกภพ นี้ กำลังขยายตัว
เขาจึงนำค่าคงที่นี้ออก โดยต่อมาเขากล่าวว่า นับเป็นความผิดพลาดครั้งร้ายแรงในชีวิตของเขา ที่ใส่ค่าคงที่นี้ลงไป
ในยุคปัจจุบัน เรากลับพบว่า ที่เอกภพขยายตัวด้วยความเร่งนั้น กลับมีอัตราเปลี่ยนแปลงของความเร่งเป็นลบ
นั่นหมายถึง ความเร่งในการขยายตัวจะลดลงเรื่อยๆ หมายความว่า เอกภพนี้เมื่อขยายตัวถึงจุดๆหนึ่ง มันกำลังยุบตัวลงมา !!!
ค่าคงที่ ในสมการที่ไอน์สไตน์นำออกไป กลับมามีความหมายอีกครั้ง เอกภพ มีการขยายตัว แล้ว ยุบตัว
นั่นคือ เมื่อยุบตัวลงมาจนถึงจุดหนึ่ง จุดซิงกูลาริตี้ ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เวลา ก็จะมาสิ้นสุดลงตรงนี้
เพราะฉะนั้น เวลา จึงมีจุดเริ่มต้น แล้ว มีจุดสิ้นสุด
ไม่มีพระเจ้าที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่มีเวลาเป็นลบอนันต์ และ บวกอนันต์
เมื่อเกิด บิ๊กแบง อีกครั้ง ก็เป็นไปตาม วัฎสงสาร คือ วนเวียนเช่นนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อมนุษย์ทุกคน ต้องอยู่ภายใต้ วัฏสงสาร เวียนว่าย ตาย เกิด
ซึ่งมีแต่ความทุกข์ ต้องเจ็บป่วย ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ซ้ำวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันจบสิ้น
แต่คำสอนของพระพุทธเจ้ามีทางออก นั่นคือ นิพพาน เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนใดๆ ไร้ซึ่งกิเลส ความต้องการใดๆ
ไม่ต้องการสะสมรถโบราณ วัฏสงสารนี้ ก็จะถูกตัดลง เพราะไร้เงื่อนไขที่จะทำให้มาเกิดขึ้นอีก
ภาวะนิพพานนี้ คงไม่สามารถอธิบายได้ นอกจาก พระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ เท่านั้น
ท่าน พุทธอิสระ ก็ไม่แน่ว่าจะอธิบายได้
ผมเองก็จนปัญญาที่จะเข้าใจ อาจจะต้องบวชจนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดเลย
.....
ผมตั้งกระทู้นี้ เพื่อนต่างศาสนิก อาจคิดว่า ผมเชียร์แต่พระพุทธเจ้า
จริงๆแล้ว ผมต้องการความเห็นจากท่าน ในเชิง วิทยาศาสตร์ หรือ โดยเหตุผล
ท่านสามารถด่าผมได้ แต่ขอให้ด่าด้วยเหตุผลด้วยนะ