ทำบุญกับคนในครอบครัว เพื่อน คนรอบข้าง คนในสังคม ไม่ต้องทำบุญถึงวัดก็ได้บุญ

กระทู้คำถาม
หลายคน เมื่อพูดถึงคำว่า "บุญ" ก็ไม่รู้ว่าตอนไหน ที่คำว่า "บุญ" ในสังคมไทย มันกลายเป็น

จ่ายเงินให้ วัด มูลนิธิ หรือ สร้างวัด สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ เท่านั้น

จริงๆแล้ว พุทธศาสนา สอนเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ไว้ (สำหรับรายละเอียด ที่อ่านแล้วง่วงๆ จะแปะไว้ข้างล่าง)

รายละเอียด ก็คือ การลดความตระหนี่ในตัวเอง เอื้อเฟื้อเกื้อกูลให้คนรอบข้าง ที่คุณพบเจอในชีวิตประจำวัน

แน่นอน พ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน นั่นแหละ คือคนที่เหมาะสมอย่างยิ่งให้คุณทำบุญ

ไม่ว่าจะ ช่วยงานบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูบ้าน แบ่งเบาภาระ แบ่งปันของกินของใช้ ซื้อของให้ (ตามฐานะของตน)

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ ทำไปเพื่อลดความตระหนี่ เพื่อเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นทั้งสิ้น

ความตระหนี่ ไม่ใช่แค่ "เงิน" แต่หมายถึง "แรงกาย" "แรงใจ" ที่คุณมี

คุณเห็นคนรอบข้าง ทำงานเหนื่อยๆ คุณเดินไปตักน้ำมาให้เค้า เค้ายินดีมีความสุข คุณก็ได้บุญแล้ว

คุณออกแรงช่วยงาน พ่อแม่ พ่อแม่ยินดีมีความสุข คุณก็ได้บุญแล้ว

กับสังคม คุณเดินกลับบ้าน ไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ทิ้งขยะเรียราด มี "สำนึก" รักชุมชน ก็ได้บุญแล้ว

กับเพื่อนร่วมทาง คุณให้ทางเค้า คุณจอดรถให้คนข้ามถนน (ตามกฎหมายจราจร) ช่วยเหลือเพื่อนรวมทางที่รถเสีย ก็ได้บุญแล้ว

จริงๆ แล้ว บุญก็คือ ความสบายใจในตัวเรา การที่คนรอบข้างมีความสุข ตัวคุณก็จะรู้สึกถึงกระแสของความสุขอยู่รอบๆตัว

สุดท้ายนี้ กระทู้นี้ไม่ใช่ ไม่ให้ไปทำบุญด้วยเงินที่วัด หรือ มูลนิธิ เพราะ บางเรื่อง ก็เกินความสามารถของคนคนเดียวจะทำได้

แต่ สำหรับคนที่ไม่พร้อม ก็สามารถ เลือก ที่จะทำบุญ โดยไม่เสียเงิน และมีความสุข ความสบายใจ

ปล. การฟังธรรม การภาวนา ถ้าทำได้ถึงขั้นนี้ ทำแล้วมีความสุข ก็ขออนุโมธนาด้วย

๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘

ส่วนที่อ่านแล้วง่วง ก่อนอ่านนะครับ จะเห็นได้ว่า ทานมัย ขึ้นมาก่อน เพราะ เป็นเรื่องที่ทำงานสุด คือ ควักตังค์ออกมาบริจาค ยิ่งข้อสูงมากขึ้น

ก็จะยากขึ้น แต่ครูบาอาจารย์ท่าน ก็บอกว่า ให้ทำให้สมดุลทั้งสิบข้อ

บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ


บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำดังต่อไปนี้

๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

๓. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

๔. บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) คือการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์

๕. บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา เช่น การชักนำบุคคลให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ในฝ่ายสัมมาทิฎฐิ

๖. บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป

๗. บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

๘. บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

๙. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ชอบ ตามรอยบาทองค์พระศาสดา ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น หรือการนำธรรมไปขัดเกลากิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งอันควรประพฤติสิ่งอันควรละเว้น ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ


เครดิต http://www.oknation.net/blog/Taweechai/2007/10/19/entry-1
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่