หงี่ นั่ง เทียน วิเคราะห์: "PS ยังคงโชว์ความเป็นเลิศในด้านการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด"
เดิม PS ซึ่งมี Competitive Advantage ในเรื่อง
1) Economy of Scale
2) Business Cycle
3) Innovative Processing
สนใจใช้เฉพาะจุดแข็งของตนเองในการทำตลาด จึง "เลือก" ที่จะทำเฉพาะด้านที่ตนเองถนัด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมาตลอด 20+ ปี
แต่ในช่วง 5 ปีหลัง คู่แข่งเริ่มยกระดับเทคโนโลยีได้ใกล้เคียงกัน ตีตลาดแนวราบต่างจังหวัดได้ ส่วนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล การมาของระบบรางและสาธารณูปโภคพื้นฐานถือเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันของ PS ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแนวราบราคาย่อยเยาว์ หากราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น จะกระทบต่อต้นทุนของแนวราบมากกว่าแนวสูง
PS จึงกำลังถูกบีบให้เลือกเดินในทางที่ไม่ชำนาญ และหาก Mega Projects ลง ยกระดับสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วประเทศ ในไม่ช้า PS ซึ่งเคย "เลือกที่จะไม่" (กลยุทธ์) ออกไปทำตลาดต่างจังหวัด ก็จะไม่เหลือ Competitive Advantage ใดเลย ที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้
ทางออกของ PS ในยามนี้ คือ
1) ปรับกลยุทธ์ และเริ่มตั้งหลักสู้ในด้านที่ตนเองไม่ชำนาญ ... PS ได้ลองทำแล้วในช่วง 5 ปีหลัง คือ การกว้านซื้อตัวหัวกะทิจาก SIRI มาทำแนวสูงภายใต้แบรนด์ Urbano Absolute (ซื้อ Know How เข้าองค์กร) ฯลฯ ... และพยายามลองขยายตลาดออกนอกปริมณฑล เช่น ล่าสุดมาเปิดโครงการที่ศรีราชา เป็นต้น
2) ใช้เงินลงทุน เข้าซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็นเจ้าตลาดด้านที่ตนเองไม่ถนัด เพื่อกระจายความเสี่ยง และซื้อ Know How เข้าบริษัท
3) ออกไปโตต่อที่ต่างประเทศ ซึ่ง PS ได้ทดลองไปที่อินเดีย และส่งทีมไปศึกษาความเป็นไปได้ที่ อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า แล้ว แต่พบว่าข้อกฎหมายยังไม่นิ่ง และเสี่ยงเกินกว่าที่จะรับได้ การหาพันธมิตรเป็นบริษัทในพื้นที่น่าจะเหมาะกว่า
ข้อ 1) ลองแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องใช้เวลานาน
ถึงเวลาของข้อ 2) และข้อ 3) ซึ่งเท่ากับว่า PS จะต้องมุ่งทำธุรกิจโดยมีวัตถุประสงค์การลงทุนที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย จำเป็นต้องปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อให้เหมาะกับการดำเนินงาน และผลประโยชน์ทางภาษี
PS จะ Delist ชื่อหุ้น PS ออกจากตลาด แล้วให้บริษัทที่เป็น Holding ซึ่งจัดตั้งขึ้นทำการแลกหุ้นกับ PS เพื่อ List ในตลาดฯ แทน
งานนี้ได้ใจ "หงี่ นั่ง เทียน" ศิษย์เอกแห่งสำนักคิดปัวโรต์มาก
โดยผู้ถือหุ้นเดิมของ PS มีสิทธิ์เลือกที่จะ "แลก" หรือ "ไม่แลก" หุ้นกับ Pruksa Holding ก็ได้ แต่หากไม่แลก จะต้องถือใบหุ้นของบริษัท PS ซึ่งออกจากตลาดฯ ไปแล้วแทน อาจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง และการเข้าถึงข้อมูลบริษัท ... การแลกหุ้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะผู้บริหาร PS แสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นแล้วถึงความสามารถในการมีวิวัฒนาการ
หมดกังวลเรื่อง PS จะโตได้ไม่เท่าเดิม เพราะร่างใหม่อย่าง Pruksa Holding เป็นร่างที่เหมาะแก่การเติบโตในปัจจุบันสมัยมากกว่า
ลองนึกภาพ Blue Ocean อย่าง พม่า กัมพูชา (แค่นี้ประชากรก็ 100 ล้านคนแล้ว) ไหนจะ อินโดนีเซีย อินเดีย อีก
PS เตรียมพุ่งทะยาน จาก 25.50 บาท สู่ 34.50 บาท (ที่ระดับ P/E 10 เท่า) ภายในปี 2559
คงคำแนะนำ "ซื้อ" เพื่อถือลงทุนตามวัฏจักรขาขึ้นอสังหาฯ (ปี 2560-2562) ครบ 3 ปี ค่อยขาย
--- [บทวิเคราะห์] ... จาก PS สู่ Pruksa Holding ---
เดิม PS ซึ่งมี Competitive Advantage ในเรื่อง
1) Economy of Scale
2) Business Cycle
3) Innovative Processing
สนใจใช้เฉพาะจุดแข็งของตนเองในการทำตลาด จึง "เลือก" ที่จะทำเฉพาะด้านที่ตนเองถนัด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมาตลอด 20+ ปี
แต่ในช่วง 5 ปีหลัง คู่แข่งเริ่มยกระดับเทคโนโลยีได้ใกล้เคียงกัน ตีตลาดแนวราบต่างจังหวัดได้ ส่วนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล การมาของระบบรางและสาธารณูปโภคพื้นฐานถือเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันของ PS ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแนวราบราคาย่อยเยาว์ หากราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น จะกระทบต่อต้นทุนของแนวราบมากกว่าแนวสูง
PS จึงกำลังถูกบีบให้เลือกเดินในทางที่ไม่ชำนาญ และหาก Mega Projects ลง ยกระดับสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วประเทศ ในไม่ช้า PS ซึ่งเคย "เลือกที่จะไม่" (กลยุทธ์) ออกไปทำตลาดต่างจังหวัด ก็จะไม่เหลือ Competitive Advantage ใดเลย ที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้
ทางออกของ PS ในยามนี้ คือ
1) ปรับกลยุทธ์ และเริ่มตั้งหลักสู้ในด้านที่ตนเองไม่ชำนาญ ... PS ได้ลองทำแล้วในช่วง 5 ปีหลัง คือ การกว้านซื้อตัวหัวกะทิจาก SIRI มาทำแนวสูงภายใต้แบรนด์ Urbano Absolute (ซื้อ Know How เข้าองค์กร) ฯลฯ ... และพยายามลองขยายตลาดออกนอกปริมณฑล เช่น ล่าสุดมาเปิดโครงการที่ศรีราชา เป็นต้น
2) ใช้เงินลงทุน เข้าซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็นเจ้าตลาดด้านที่ตนเองไม่ถนัด เพื่อกระจายความเสี่ยง และซื้อ Know How เข้าบริษัท
3) ออกไปโตต่อที่ต่างประเทศ ซึ่ง PS ได้ทดลองไปที่อินเดีย และส่งทีมไปศึกษาความเป็นไปได้ที่ อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า แล้ว แต่พบว่าข้อกฎหมายยังไม่นิ่ง และเสี่ยงเกินกว่าที่จะรับได้ การหาพันธมิตรเป็นบริษัทในพื้นที่น่าจะเหมาะกว่า
ข้อ 1) ลองแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องใช้เวลานาน
ถึงเวลาของข้อ 2) และข้อ 3) ซึ่งเท่ากับว่า PS จะต้องมุ่งทำธุรกิจโดยมีวัตถุประสงค์การลงทุนที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย จำเป็นต้องปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อให้เหมาะกับการดำเนินงาน และผลประโยชน์ทางภาษี
PS จะ Delist ชื่อหุ้น PS ออกจากตลาด แล้วให้บริษัทที่เป็น Holding ซึ่งจัดตั้งขึ้นทำการแลกหุ้นกับ PS เพื่อ List ในตลาดฯ แทน
งานนี้ได้ใจ "หงี่ นั่ง เทียน" ศิษย์เอกแห่งสำนักคิดปัวโรต์มาก
โดยผู้ถือหุ้นเดิมของ PS มีสิทธิ์เลือกที่จะ "แลก" หรือ "ไม่แลก" หุ้นกับ Pruksa Holding ก็ได้ แต่หากไม่แลก จะต้องถือใบหุ้นของบริษัท PS ซึ่งออกจากตลาดฯ ไปแล้วแทน อาจมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง และการเข้าถึงข้อมูลบริษัท ... การแลกหุ้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะผู้บริหาร PS แสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นแล้วถึงความสามารถในการมีวิวัฒนาการ
หมดกังวลเรื่อง PS จะโตได้ไม่เท่าเดิม เพราะร่างใหม่อย่าง Pruksa Holding เป็นร่างที่เหมาะแก่การเติบโตในปัจจุบันสมัยมากกว่า
ลองนึกภาพ Blue Ocean อย่าง พม่า กัมพูชา (แค่นี้ประชากรก็ 100 ล้านคนแล้ว) ไหนจะ อินโดนีเซีย อินเดีย อีก
PS เตรียมพุ่งทะยาน จาก 25.50 บาท สู่ 34.50 บาท (ที่ระดับ P/E 10 เท่า) ภายในปี 2559
คงคำแนะนำ "ซื้อ" เพื่อถือลงทุนตามวัฏจักรขาขึ้นอสังหาฯ (ปี 2560-2562) ครบ 3 ปี ค่อยขาย