“เบนซ์สมเด็จช่วง” ผิดทุกขั้นตอน “ศุลกากร-สรรพสามิต-อาญา” มีลายมือชื่อเจ้าตัว

กระทู้สนทนา
MGR Online - ดีเอสไอแถลงผลสอบสวนคดี “เบนซ์ ขม 99” ผิดกฎหมาย ฟันผิดทั้งสี่ขั้นตอนตั้งแต่นำเข้า-จดประกอบ-เสียภาษี-จดทะเบียน ทั้งมีการทำเอกสารเท็จ ปลอมแปลงลายมือชื่อ เข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร-สรรพสามิต-อาญา ยืนยันเอกสารมีลายมือชื่อ “สมเด็จช่วง” เตรียมสอบต่อโยงขบวนการและปลายทาง
       
       เช้าวันนี้ (18 ก.พ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำโดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้เปิดแถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดีตรวจสอบรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ โบราณ เลขทะเบียน ขม 99 ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2556 และในปี 2558 มีผู้มาร้องว่ารถคันนี้นำเข้าโดยผิดกฎหมาย ดีเอสไอจึงเข้าตรวจสอบเรื่องนี้โดยมีความเชื่อมโยงกับคดีเกิดเพลิงไหม้รถหรูที่จังหวัดนครราชสีมา
       
       ดีเอสไอชี้แจงต่อว่า หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้รถหรูดังกล่าวนั้น ทางกรมฯ เมื่อรับคดีก็ได้ตรวจสอบรถยนต์จำนวน 6,000 กว่าคัน โดยรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งรถจดประกอบต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมายจำนวน 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ ขั้นตอนการนำเข้า, การจดประกอบรถ, การเสียภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียน

สำหรับรถทะเบียน ขม 99 กทม.นั้น ทางดีเอสไอได้เข้าไปตรวจสอบที่วัด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเข้าไปตรวจสอบตามคำเชิญของวัดพร้อมกับสื่อมวลชน และทางวัดก็ให้เอกสารมา ส่วนครั้งที่ 2 นั้นไปตรวจสอบพร้อมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการตรวจทางกายภาพของรถ ซึ่งเมื่อได้เอกสารมาแล้ว “หลวงพี่แป๊ะ” ของทางวัดก็ยอมรับว่าเป็นผู้จัดหารถคันนี้มาในราคา 4 ล้านบาท เพื่อถวายสมเด็จช่วง โดยจ้างคุณวิชาญเป็นผู้จดประกอบ
       
       “ด้านคุณวิชาญก็ยอมรับว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนรถจดประกอบ และไม่ได้ผ่านขั้นตอนตามระเบียบ เมื่อเราย้อนไปดูที่การจดประกอบก็มีผู้ของคุณกาญจนาเป็นอู่จดประกอบ ได้เชิญคุณกาญจนามาสอบสวน คุณกาญจนาก็ยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับที่มีชื่อในการจดทะเบียนเสียภาษีจริง ชื่อ ที่อยู่เขาจริง แต่เขาไม่เคยจดประกอบรถคันนี้เลย และเขาเองก็เป็นอู่เคาะพ่นสีรถ ดังนั้นเองคนที่เอาชื่อเขามาใส่ก็มีการปลอมแปลงลายมือชื่อเขา ก็เห็นได้ชัดเจนว่าในขั้นตอนการประกอบรถคันนี้ก็มิชอบ เพราะว่าอู่วิชาญไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพสามิตที่เป็นอู่จดประกอบ ทางการชำระภาษีคุณกาญจนาก็ยืนยันว่าเขาเองไม่ได้เป็นคนทำ มีคนแอบอ้างชื่อเขาไป พอถึงขั้นตอนการจดทะเบียนก็มีผู้รับว่าเป็นผู้รับจ้างจดทะเบียน และเป็นคนกรอกรายละเอียดทั้งหมด ทั้งปลอมลายมือชื่อ และใส่ราคารถ 1 ล้านบาท” อธิบดีดีเอสไอจึงสรุปว่า ในสามขั้นตอนนั้นมีความผิดในข้อหาแตกต่างกัน
       
       ส่วนเมื่อย้อนไปดูการนำเข้าพบว่าบริษัทที่นำเข้าเป็นบริษัทเดียวกัน แต่มีการแยกชิ้นส่วนมาคนละเที่ยวเรือกัน ส่วนอุปกรณ์ส่วนควบที่มีการกล่าวอ้างไว้นั้นก็ไม่สามารถตรวจสอบเจอว่ามีการนำเข้ามาจริง ดังนั้น ดีเอสไอจึงสรุปว่าขั้นตอนต่างๆ ทั้งสี่ข้นตอน ทั้งการนำเข้า การจดประกอบ การเสียภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียน ล้วนไม่ชอบ และเข้าข่ายความผิดกฎหมายหลายเรื่อง เช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.สรรพสามิต กฎหมายอาญาเรื่องแจ้งข้อความเป็นเท็จ-การปลอมแปลงเอกสาร
       
       ทั้งนี้ ในขั้นนี้เป็นการตรวจสอบ การสืบสวนตามเอกสาร จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวน โดยจากข้อมูลรถคันนี้เป็นรถคลาสสิก ประกอบเมื่อปี ค.ศ.1953 หรือประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว โดยจำนวนที่ประกอบทั้งหมดประมาณร้อยกว่าคัน
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขั้นตอนการดำเนินการที่พระรูปหนึ่งอ้างว่าเป็นผู้จัดการให้นั้นเป็นชื่อของสมเด็จช่วงตั้งแต่ต้นหรือไม่ ทางอธิบดีดีเอสไอระบุว่า นายสมนึก (ผู้นำรถไปจดทะเบียน) แจ้งว่าในการกรอกเอกสารก็มีลายเซ็นของสมเด็จช่วงอยู่ในเอกสารปลอมนั้น อย่างไรก็ตามยังไม่ได้สอบถึงเจตนาของผู้รับ เพราะต้องให้เข้าสู่ขั้นตอนของการสอบสวนก่อน

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000017669

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่