ม็อกค่าปาท่องโก๋ : {สัมภาษณ์ นนท์ & ไข่มุก The Voice จาก “ลูกทุ่งซิกเนเจอร์”}

สวัสดีครับ

      ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ

เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1236 - 1237 ประจำวันที่ 5 และ 12 กุมภาพันธ์ 2559


***หัวข้อในฉบับ 1237 พิมพ์ผิด ต้องเป็นตอนจบนะครับ***

     “ม็อคค่าปาท่องโก๋” ในสัปดาห์นี้ ได้จะพาท่านไปรู้จักกับนักแสดงนำหน้าใหม่สองท่านนามสกุล The Voice คือ “นนท์” ธนนท์ จำเริญ  และ “ไข่มุก” รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช ดารานำจากหนังไทยวาเลนไทน์ “ลูกทุ่งซิกเนเจอร์” ผลงานของผู้กำกับร้อยล้าน “เฮียปรัช” ปรัชญา ปิ่นแก้ว


Mr. Coffee: ที่มาของการได้เข้ามาเล่นหนังเรื่องนี้

ไข่มุก : เริ่มจากการมาแคสติ้งนี่ล่ะค่ะ พอแคสต์เสร็จ เขาก็ติดต่อมาบอกว่าเราได้ แล้วก็เข้าไป Workshop

นนท์ : ทางพี่ปรัชติดต่อไปทางค่ายของผมครับว่าอยากให้ผมลองมาแคสติ้งดู เราก็ไปครับ ก่อนหน้านี้ถ้ามีหนังผมจะปฏิเสธก่อนเพราะรู้สึกว่าเรายังไม่พร้อมสำหรับการแสดง เราไม่ชอบ Moment ที่ทุกคนจะต้องรอเราคนเดียว แต่เรื่องนี้พี่ปรัชเขาพูดมาเองเลยว่าอยากให้เราไปลองดู ก็ไป เขาให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้เลยครับ ร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ได้ แต่พี่ปรัชบอกว่า “ต่อให้เราไม่ได้ พี่ก็จะเอาให้ได้” ก็ดีใจที่กล้าไปแคสต์วันนั้น

ไข่มุก: พี่เขาให้ทำการบ้านหนักค่ะ การบ้านเป็นเล่มเลย มีร้อยกว่าข้อ ให้ตีตัวละครตั้งแต่เด็กยันโตว่าเป็นยังไง


Mr. Coffee: พูดถึงบทบาทที่ได้รับของแต่ละคน

ไข่มุก : ของหนูเป็นสาว Maid (แม่บ้าน) ค่ะ ตัวละครชื่อ “แก้ม” ก็เป็นคนที่ชอบร้องเพลงลูกทุ่งมากๆ เป็นคนบ้านนอกเข้ากรุงฯ คือเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ชอบร้องเพลง แต่ขี้อาย ไม่ค่อยร้องให้ใครฟัง แต่จะชอบร้องตอนถูพื้น กวาดพื้นอยู่ในห้องน้ำ

นนท์ : ของผมเป็นตัวละครอกหัก อยากตาย จะตายให้ได้ จะกระโดดสะพานลอย อายุประมาณ 22- 23 ปี มีแฟน เรียนจบก็วางแพลนชีวิต แต่งงานไว้อย่างดี  แต่แล้วก็กลับโดนทิ้งครับ ชีวิตพังเลย กำลังจะกระโดดตึกตาย แต่ก็มีตัวละครอีกคนที่ชื่อ “ส้ม” (พลอย ศรรินทร์) เข้ามาดึงเราจากตรงนั้น ก็เป็น Story ที่พูดถึงความ Real ของคนครับในแต่ละมุมของสังคม ซึ่งค่อนข้างเป็นตัวละครที่ซับซ้อน ลึก แล้วก็ยาก


Mr. Coffee: บทบาทที่ได้รับ เหมือนหรือแตกต่างจากตัวจริงของเราอย่างไร

นนท์ : ไม่คล้ายเลยครับ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เราเป็นคนที่เกลียดคนบุคลิกอย่างนี้ คือคนที่เกิดปัญหาแล้วไม่แก้ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า พวกเลือกที่จะหนีปัญหา แต่เรากลับต้องมาเล่นเป็นคนแบบนี้ ซึ่งตรงข้ามกับผมแบบบวกเป็นลบเลยครับ จึงต้องทำการบ้านหนักมาก ซึ่งพอเราได้มาลองเล่นจริงๆ ก็เข้าใจนะครับ บางคนเขาอาจจะไม่ได้เลือกที่จะหนีปัญหาตั้งแต่แรก แต่เพราะหมดหนทางแล้ว หรือเขาอาจจะขอแค่หยุดพักแล้วกลับไปตั้งหลักก็ได้ ซึ่งก็ทำให้เราเข้าใจคนเหล่านี้มากขึ้น ผ่านทางตัวละครตัวนี้ ก็เป็นมิติใหม่ของการแสดงที่เราได้รับมา

ไข่มุก : หนูก็ต่างค่ะ เราไม่เคยเป็นแม่บ้าน แต่เราก็กวาดห้องกวาดบ้านอยู่ ก็เลยเริ่มจากการกวาดห้องตัวเอง พอทำนานๆ แล้วก็รู้สึกเข้าใจคนที่เขาเป็นเหน็บ ปวดหลัง ทำงานก้มๆ เงยๆ แล้วก็ต่างตรงที่เราไม่ใช่คนขี้อาย เราก็เป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง แต่ก็อาจจะไม่เท่าเขา


Mr. Coffee: พูดถึงคู่ของแต่ละคนที่ต้องเล่นด้วย

ไข่มุก : หนูต้องเล่นกับพี่น้อย (วงพรู) ค่ะ เจอกันต่อหน้าแล้วหนูเขินมาก ตอนถ่ายฟิตติ้งชุดนี่หนูเขินมาก แต่ก็ต้องห้ามเขิน พี่เขาเป็นคนน่ารัก เราก็เคยดูพี่เขาแสดงอยู่แล้ว แต่ก็กังวลว่าถ้าเข้าฉากกันแล้วจะเป็นยังไงมั้ย  แล้วมันจะมีฉากที่ต้องมองตากัน เราต้องยิ้มแบบเขินๆ น่ะ แต่หนูรู้สึกว่าเราจะเขินเกินไปไหม ฉากมองหน้ากัน จับมือ ก็ดีใจที่ได้เล่นกับคนเก่งๆ แบบพี่น้อย เมื่อพี่ปรัชสั่งคัทปุ๊บ แล้วบอกว่าให้เล่นอย่างนี้นะ เขาสามารถทำได้เลย แต่เมื่อเทียบกับเรา ยืนงงอยู่สักพักนึงว่าจะทำยังไง พี่น้อยเก่งมากค่ะ ผลงานพี่เค้าก่อนหน้านั้นหนูก็เคยดูก็ “13 เกมสยอง” ค่ะ ก็แอบถามพี่เขาว่าฉากกินขี้นั้นเป็นขี้จริงไหม (หัวเราะ) พี่เขาก็บอกว่าเป็นฟักทอง แต่มันเหมือนมากเลย แล้วเราก็ถามต่อว่ากินแล้วรู้สึกยังไง พี่เขาก็บอกว่าเหมือนกินขี้นั่นแหล่ะ จะอ้วก (หัวเราะ) จริงๆ ก่อนหน้านี้หนูเคยเล่นละครมานิดหน่อย (ฟ้ามีตา) ซึ่งก็ไม่มีบทอะไรมาก แต่เรื่องนี้ยากกว่า ไม่มีบทพูดแต่ต้องสื่ออารมณ์ ให้เขารู้สึกอะไรโดยที่ไม่ต้องพูด ยากตรงนี้ สื่อโดยการร้องเพลง ไม่มีบทพูดเลยแต่เน้นอารมณ์อย่างเดียว

นนท์ : เครียดมากครับตอนแรก ผมมีปัญหากับการร่วมงานกับผู้หญิง แล้วยิ่งจะต้องมี Love scene ซึ่งมันก็ยาก น้องก็เด็กด้วย ไหนจะเครียดกับบท เครียดกับ Location ที่มันร้อนและมีคนที่มาดูเราจริงๆ อยู่ด้วย นึกว่าจะเราจะกระโดดจริงๆ แล้วก็ตัวเราเองที่ต้องแบกทุกอย่างไว้ แล้วเรายังจะต้องส่งให้น้องต่อด้วย ตอนแรกบทมันยากจริงๆ ครับ เครียดมาก แต่พอมีน้องเข้ามาเล่นด้วย ก็คลายลง มีคนรับให้ รู้น้ำหนัก อีกอย่างคือน้องเก่งมาก คือเคยเจอน้องพลอยมาก่อนตอนเล่น MV น้องเล่นเก่งมากจนเราเชื่อว่าเป็นเด็กใจแตก ทั้งที่น้องไม่ใช่อย่างนั้นเลย ใสๆ MV ของ Hello Stranger Project พอเห็นฝีมือ น้องเล่นเก่งกว่าเรามาก ช่วยเราได้เยอะ ก็เลยทำให้เราทำงานง่ายขึ้นมากเลยครับ


Mr. Coffee: พูดถึงการทำงานกับนักแสดงท่านอื่นๆ

นนท์ : ของผมจะได้เจอตอน Scene จบที่จะได้เจอ พี่เบน พี่กาน พี่จอย ตัวเราเองกับน้องพลอย รวมไปถึงพี่น้อยมาด้วย ก็เกร็งมากครับ ยิ่งพี่เบนนี่เล่นจริง เล่นเต็ม เล่นเหมือน เราก็ชื่อเลยว่า มันเป็นคอนเสิร์ตของเค้าจริงๆ เขาจะทำอะไรก็ได้ เราก็สนุกกับมัน ในขณะเดียวกันก็ต้องเล่นรับส่งกับน้องพลอยด้วย ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ก็มีการแชร์กัน ส่งรับกันได้ดี


Mr. Coffee: อยากให้พูดถึงกันและกัน รวมถึงการเข้าประกวด The Voice Thailand Season 4 ของไข่มุกด้วย

นนท์ : ตอนเห็นไข่มุกครั้งแรก เรารู้เลยครับว่า นางมาแน่ๆ มันจะต้องมาประกวดแน่ๆ (หัวเราะ) แต่ตอนแรกก็เครียดเหมือนกันเพราะเห็นพี่ปรัชบอกว่าอยากให้ไข่มุกเป็นคนที่คนคิดไม่ถึง แต่ในเมื่อมันมาแบบนี้แล้ว ความหนักใจก็ต้องไปอยู่ที่พี่ปรัชแล้วครับ (หัวเราะ)
ไข่มุก : หนูไม่ได้คิดว่าจะประกวด The Voice เลยค่ะ จนเจอเจ้าของร้าน Route 66 ที่ RCA หนูเคยไปร้องแทนพี่คนนึง แล้วเขาก็บอกว่า ไป The Voice สิ หนูก็ ”ค่ะ” ไว้ก่อน ยังไม่ไปหรอก จนวันสุดท้ายที่เปิด Audition พี่เขาก็โทร.มาย้ำหลายรอบมาก ว่าไปหรือยัง ตอนนั้นเวลาจะหมดแล้วหนูก็ไปเขียนใบสมัคร อีกสองวันก็ไป Audition

นนท์ : แล้วเราก็เลยได้รู้ว่า นางเอาเพลงที่ใช้ประกอบหนังไปร้องประกวดรอบ Blind ด้วย (หัวเราะ)

ไข่มุก : เพลง “เรารอเขาลืม”  ค่ะ อยู่ในตัวอย่างหนังเรื่องนี้ เพลงนี้ทำให้หนูผ่านรอบ Blind ด้วย


Mr. Coffee : ตอนที่ไข่มุกผ่านเข้ารอบ Blind Audition ของ The Voice Thailand Season 4 ยังอยู่ระหว่างช่วงถ่ายทำหนังหรือไม่

ไข่มุก : จบไปนานมากแล้ว จบตั้งแต่ปี 2557 ใช้เวลานาน ถ่ายอยู่หลายเดือน รอคู่อื่นด้วย

นนท์ : มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องให้เข้ากันด้วยครับ เป็นงานยากครับ

ไข่มุก : เรายังคุยกันอยู่เลยว่าหนังจะออกเมื่อไหร่ จะจบยังไง

นนท์ : พี่ปรัชก็ทำให้จนจบลงตัวจนได้ครับ ยากตรงเรื่องแต่ละตัวละครมันคนละขั้วกันเลย


Mr. Coffee : แต่การที่ไข่ทุก กลายเป็น ไข่มุก The Voice คงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทีมงานมาก

ไข่มุก : ทีแรกจะไม่มีในโปสเตอร์ค่ะ ทีมงานเขาเสียแผนหมดเลยค่ะ (หัวเราะ) เป็นเพราะเพลง “ไสว่าสิบ่อถิ่มกัน” เพลงเดียวเลยค่ะ หนูก็งงมากทำไมถึงเป็นกระแส เพราะว่าหนูโดนเปลี่ยนเพลงก่อนแข่งวันหนึ่ง ประมาณสี่โมงเย็นอยู่ๆ มาเฮียก็บอกให้ร้องเพลงนี้ แล้วก็เปลี่ยนให้ร้องเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ แล้วหนูเป็นพวกริทึ่มไม่ค่อยดี ร้องยากค่ะ เพลงเขาดังอยู่แล้วด้วย พอเป็นเวอร์ชั่นหนูก็เหมือนเปิดกว้างให้คนที่ไม่ฟังเพลงลูกทุ่ง เพลงอีสาน  ยอมรับมากขึ้นด้วย งานทางภาคอีสานมาเยอะเลยค่ะ (หัวเราะ) หนูร้องเกินร้อยรอบแล้วเพลงนี้ งานหนึ่งไม่ต่ำกว่าสามรอบ ไสกันอยู่นั่น (หัวเราะ) เหมือนเขารอฟังเพลงเดียวเลยค่ะ แต่ตอนนี้ต้องโปรโมทเพลงประกอบหนังเพิ่มค่ะ (หัวเราะ)


Mr. Coffee : ในหนังร้องจริงหรือไม่

ไข่มุก : ในหนังร้องจริงเลยค่ะ หนูร้องจนเจ็บคอ หลายกล้องก็ร้องหลายรอบมาก ก็ร้องอยู่อย่างนั้น แต่เราต้องร้องแบบว่า ร้องไม่ใช่คนเก่ง เพราะว่าเราเป็นแม่บ้าน ไม่ใช่นักร้องประกวด ร้องดีมาก เป๊ะมาก ก็เกินแม่บ้านไป


นนท์ : สำหรับเพลงลูกทุ่ง จริงๆ ทำงานผมก็ไม่ได้ร้องครับ ผมแค่ใช้ประกวดตอนนั้นเหมือนกันครับ เราเคยได้อยู่กับลูกทุ่งนาน แต่เราก็ห่างจากเพลงลูกทุ่งมานานเหมือนกัน สุดท้ายที่ร้องก็คือตอน ป.6 ครับ แต่คือมันเป็นเรื่องของการทำการบ้านแหล่ะครับ ทำการบ้านค่อนข้างหนัก แล้วก็มีการโทรคุยกับพี่สุเมธครับ ผมบ่นว่าหนังอะไรเนี่ย ทำไมต้องให้เรามาร้องอะไรเพี้ยนๆ ตอนเป็นเด็กเราฝึกร้องจะให้ตรง เรามาเพื่อจุดนี้ แต่พอเราร้องตรงก็จะให้เราร้องเพี้ยนขึ้นมา (หัวเราะ) ผมทำใจเลย เครียดเลย ผมรู้สึกว่าเราทำงานตรงนี้ อยู่ดีๆ มาให้ทำชุ่ยหนึ่งที เราก็เครียด แต่สุดท้ายก็คือ เราต้องเป็น “หนึ่ง” ก่อนครับ เราต้องนึกดีๆ ว่าหนึ่งเป็นใคร เราเป็นคนที่ชอบฟังเพลงนี้ และหนึ่งฟังเพลงนี้มาเกินร้อยรอบ เพราะฉะนั้นจะต้องไม่เนี้ยบ แต่ต้องร้องได้ โน้ตก็จะต้องได้ แต่จะต้องไม่มีลูกคอที่เป็นลูกทุ่งมา เพราะว่าหนึ่งไม่ใช่นักร้อง และพอใส่อินเนอร์เข้าไป มันก็ได้ครับ อัดอยู่สองสามรอบ ก็เอาเลย ตัวละครทุกตัวเหมือนไม่ใช่นักร้องครับ


Mr. Coffee : แสดงหนังเรื่องแรก ยากไหม

ไข่มุก : ยากค่ะ ตรงที่ร่วมงานกับกองใหญ่ขนาดนี้ ผู้กำกับต้มยำกุ้ง ผู้ใหญ่หลายคนเราไม่เคยเจอ หูย เด็กโง่คนนี้มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง หลายๆ อย่าง และก็กลัวเขาจะเสียเวลาเพราะเราด้วย เรายังไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เดี๋ยวต้องเทคใหม่หลายรอบมั้ย สรุปก็ทำได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าใช่ไม่ได้ แต่มุมกล้องก็ต้องหลายเทคมากกว่า ผู้ช่วยผู้กำกับกับพี่ปรัช ก็ช่วยกันบรีฟด้วยค่ะ

นนท์ : โคตรยากเลย (หัวเราะ) ที่หนักคือมันกดดัน เพราะยังไงพี่ปรัชญาก็จะเอาผมเล่น แล้วถ้ามันไม่ดีล่ะ ฉากร้องไห้เอาใครก็ได้มาร้องไห้แทนก่อนได้ไหม ตาผมไม่ไหวเลยครับ ร้องจนจะไม่มีน้ำตา คือมันยากมากครับ แล้วทุกคนที่ได้ฟังบทผมก็บอกว่า มันยากมาก กล้ารับได้ยังไง แต่เมื่อรับมาแล้วมันก็ต้องได้ครับ แต่พอมาเจอตัวแปรหลายอย่าง ตอนถ่าย MV ก็มีกล้องตัวเดียวถ่ายหน้าเราร้องเพลง โฆษณาก็จะแป๊บเดียว ถ่ายไม่มาก แต่อันนี้จะยากครับ เจอกองวันแรกก็ตื่นเต้น เจอ Location ก็น่ากลัว แต่ดีที่คนเล่นด้วยก็น่ารัก (หัวเราะ) ก็เลยเป็นตัวแปรที่ทำให้เราก็ผ่อนคลายขึ้น ไม่เป็นไรครับ เรื่องแรกไปขายหน้าก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ) ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆไม่มีใครเห็น

ไข่มุก : หนูว่านนท์เขาเล่นดีนะคะ ยิ่งเรื่องแรกทำได้ขนาดนี้ เก่งจริงค่ะ


Mr. Coffee : การร้องเพลง มีส่วนช่วยในการแสดงหนังหรือไม่อย่างไร

ไข่มุก : มันช่วยได้เยอะเลยค่ะเรื่องอินเนอร์ เราจะนึกตามเพลง หรืออาประสบการณ์ในชีวิตจริงมาช่วยก็ได้ มาเสริมความคิดจินตนาการของเรา ถ้าเราคิดว่าเราเป็นตัวนั้น เราก็จะทำได้

นนท์ : ของผมไม่เหมือนกับที่คิดไว้ครับ ตอนแรกคิดว่าจะร้องเพลงยังไงให้เข้ากับตัวละครนี้ แต่พอเอาเข้าจริง ต้องเป็นตัวละครนั้นแล้วค่อยร้อง ผมต้องท่องครับว่าผมเจออะไรมาบ้าง แล้วค่อยร้องเพลง ต้องเป็น “หนึ่ง” ให้ได้ก่อน แล้วค่อยเข้าไปร้องเพลง


Mr. Coffee : การที่ไข่มุกไม่มีบทพูดแล้วต้องถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครนั้นออกมาผ่านเพลงอย่างเดียว ร้องเพลงให้แตกต่างกันมีเทคนิคยังไง

ไข่มุก : ก็นึกเป็นตัวละครนั้น เป็นแม่บ้าน เราเหนื่อย เราร้องเพลง หน้าตาก็จะออกมาเป็นอีกแบบหนึ่ง มันจะออกมาเอง แล้วพอร้องแบบรอ แบบซึ้งๆ มันก็ได้ เพราะเรานึกอยู่ตลอดว่าเราเป็นใคร เราต้องเป็นตัวนั้น เราถึงจะทำได้ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่