บาทฐานของโสดาบันบุคคล

"...พูดถึงเรื่องความสมบูรณ์ที่เอาสติแต่งให้สมบูรณ์นี่ อากัปกิริยานี่มันยุบตามกันไปหมด ท่านเรียกว่านอบน้อมหรืออ่อนน้อมสมกับคำว่า นะโม ตัสสะ เหมือนกัน เป็นผู้มีอาการอันอ่อนน้อมทั้งกายและวาจาพร้อมทั้งใจ เมื่อบำเพ็ญเข้าไปถึงฐาน มีสติตัวระลึกไวเป็นชวน (อ่านว่า ชะ วะ นะ) จริง  แล้วรู้สึกว่ามันพร้อมดีเหมือนกัน อาการจะต้องอ่อนน้อม อะไร ๆ เรามองแล้วรู้สึกว่ามันนิ่มนวลมันแปลก ๆ เหมือนกัน


หรือถ้าจะแยกสมมุติออกมันก็ไม่มีอะไร อย่างพระพุทธเจ้าพระองค์แยกออกในยุคสมัยนั้นให้ได้ใจความ สติก็เป็นอันหนึ่งเสีย ปัญญาก็เป็นอันหนึ่งเสีย สัมปชัญญะก็เป็นอันหนึ่งเสีย แท้ที่จริงมันก็อันเดียวกัน แต่แยกออกอยากจะให้ได้ใจความ ท่านยกรูปเปรียบง่าย ๆ ตัวอย่างคล้ายกันกับว่า สติ เท่ากับ ตุลาการ ท่านว่าปัญญาเท่ากันกับผู้พิพากษา อะไรในทำนองนี้ ท่านว่านะ สติคล้ายกันกับจับโจร จับมาเลย นี้ได้แต่ ตุลาการ เขาจับโจรมา เมื่อจับโจรได้แล้ว ก็ส่งให้ผู้พิพากษาพิจารณาลงโทษตามแต่ผู้พิพากษา ผิดถูกอย่างไรแล้วแต่


ฉันใดก็ดี สติตัวกางกั้น สติตัวจับกิริยาอาการเคลื่อนไหวทั้งหมดจับไว้แล้ว ปัญญาเป็นตัวพิสูจน์ ควรไม่ควรดีอย่างไรมาจากไหนอะไร พูดถึงเรื่องตัวบัญชา ตัวไหนกันแน่ พิจารณาถึงผลเสียผลดีอะไรประกอบ อันนั้นเป็นตัวผู้พิพากษา ถ้าเราไม่สมมุติให้สติเป็นตัวหนึ่ง ให้เป็นปัญญาตัวหนึ่งแล้ว เราพูดเพียงที่ว่า สติ ตัวเดียวซะ ก็มีเพียงสติตัวเดียว คือ ตัวระลึกรู้ เมื่อเราระลึกรู้ รั้งเอาไว้ หรือเป็นเบรกกัน แล้วก็ใช้สติ ระลึกสอดส่องถึงโทษคุณอีกเหมือนกัน ก็เป็นอันว่าป้องกันได้ทุกทาง ขอให้มันรวมกันก็แล้วกัน อย่าให้มันกว้างอย่าให้มันมาก ผู้ปฏิบัติทำไป ทำไป มันจะหมดไป หมดไป น้อยไป น้อยไป


การรักษาศีล ก็มารวมอยู่ที่สติ คือ สติวินัย ข้อปฏิบัติทั้งหมดซึ่งอุบายวิธีทั้งหมดก็รวมลงมาให้เหลือได้ในเพียงสติ อัฏฐังคิกมรรค ๘ ทั้ง ๘ องค์ รวมสรุปขอให้ลงมาสู่สติ อันเดียวประกอบ เรียกว่าสมังคี รวมเป็นอันเดียวกันได้ ทีแรกก็ว่ามาก ตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิจนกระทั่งถึงสัมมาสมาธิ สรุปตั้งแต่สัมมาทิฏฐิถึงสัมมาสมาธิ แยกออกเป็น ๓ ฐาน

ตอนต้นเป็นส่วนปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกัปโป
สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว นี้ เป็นส่วนศีล  
สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ๓ นี้ เรียกว่าสมาธิ

เพราะฉะนั้น รวมมรรค ๘ ลงมาได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล จะสมบูรณ์บริบูรณ์ได้ เนื่องจากสติ สมาธิที่จะต้องอยู่ได้เนื่องจากสติ ปัญญาที่จะเป็นไปได้เนื่องจากสติ สรุปแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๓ รวมกันเรียกว่า ไตรสิกขา  สิกขาเรียกว่าวินัย  วินัยที่จะสมบูรณ์ได้ สรุปแล้วมาอยู่ที่สติ ตัวสติตัวระลึกรู้ ระลึกรู้ในตามองเห็นรูปไม่ให้ดีใจเสียใจ  หูได้ยินอย่าให้ดีใจเสียใจ  จมูกสูดกลิ่นไม่ให้ดีใจเสียใจ  ลิ้นได้ลิ้มรสอย่าให้ดีใจเสียใจ กายถูกต้องสัมผัสอย่าให้ดีใจเสียใจ  อารมณ์ใดทั้งหมดที่เกิดขึ้นทางใจ ก็จัดสรรหักห้ามได้


ผู้ที่มีสติเข้ามาสังวรณ์ บังคับไม่ให้มีความเสียดีใจในสิ่งที่รู้เห็นอะไรทั้งปวงทั้งหมดนี้ ท่านเรียกว่าเป็นผู้มีสติสังวร เป็นผู้มีสติจับรู้ในอาการอันนั้น โดยหักห้ามไม่ให้ดีใจเสียใจ อันนี้เรียกว่าศีลของพระอริยเจ้า เรียกว่า อริยะกันตศีล มันขึ้นอยู่ที่สติ ผลสุดท้ายสรุปรวมแล้วลงเข้าไปสู่จิต จะดีใจเสียใจได้ต้องจิต ผู้ที่มีสติสมบูรณ์จริง ต้องดูจิตจริง พอเขาด่าปุ๊บไม่ได้ไปมองเหตุการณ์มุ่งจะเอาชนะตัวเอง จับที่จิตปุ๊บ จับจิตทันทีเลย จับอยู่ที่จิต จิตจะเคลื่อนไหวอย่างไร ให้เอาชัยชนะ ไม่มุ่งเอาชัยชนะใครทั้งหมดในโลก อันนี้ท่านเรียกว่าตัวพระอริยเจ้าเป็นบาทฐานแห่งโสดา เขาชมก็จับจิต เขาด่าก็จับจิต ไม่ได้มองที่กาย ไม่ได้มองเหตุการณ์มองอยู่ที่จิต ว่าปฏิกิริยาของจิตที่แสดงต่อสิ่งกระทบมันแสดงแบบไหน มุ่งเอาชนะตัวเอง นี่ท่านเรียกว่าบาทฐานของโสดาบันบุคคล.."


จากธรรมะเทศนา หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย  วัดเขาสุกิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่