เหนช่วงนี้ราคาน้ำมันกำลังผันผวน เลยขออณุญาตตั้งกระทู้แชร์ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันสำหรับมือใหม่หรือคนที่ไม่มีพื้นฐาน
ราคาน้ำมันเปนเรื่องซับซ้อน เลยขอแชร์ความรู้ทั้งทางด้านเทคนิคและทางการตลาดครับ
ผมเองทำงานทางด้านนี้เลยมีความรู้อยู่บ้าง แต่ถ้าตกหล่นหรือมีอะไรที่ไม่ถูกต้องก้อท้วงมาได้นะครับ
หรืออยากรู้เรื่องอะไรก้อบอกมาได้ครับ
Hydrocarbon
น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีส่วนประกอบสำคัญคือ Carbon และ Hydrogen ทำให้บางครั้งเราเรียกมันว่า Hydrocarbon
โดย Carbon จะเปนแกนกลางและ Hydrogen จะเกาะอยู่ด้านนอก ขนาดของโมเลกุลจะขึ้นอยู่จำนวน Carbon โดยขนาดโมเลกุลเล็กจะมีสถานะเป็น Gas ใหญ่ขึ้นมาก้อเปน Oil ส่วนด้านที่ใหญ่ที่สุดจะเปนของแข็ง เช่นยางมะตอย
Hydrocarbon ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้เปน Hydrocarbon ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยกักเก็บอยู่ในชั้นหินใต้ดิน โดยมีสารตั้งต้นเกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ทับถม เมื่อเวลาผ่านไปก้อกลายเปนชั้นหินและจมลึกไปเรื่อยๆ เมื่อเจอกับความร้อนใต้พิภพ (ยิ่งลึกก้อยิ่งร้อน) สารตั้งต้นพวกนี้ก้อเกิดการย่อยสลายกลายเปน Hydrocarbon ขึ้นมา
ดังนั้นแล้ว Hydrocarbon ที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับสารตั้งต้นนั้นและสภาวะแวดล้อม มนุษย์เราเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกำเนิดของมันเลย มันก้อมีของมันอยู่อย่างนั้น
แต่เมื่อมีการสำรวจค้นพบ Hydrocarbon ขึ้นมา เราเลยเอามันมาใช้ประโยชน์ และพัฒนาเทคโนโลยีของเราให้เข้ากับทรัพยากรที่เรามีอยู่ อย่างเช่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน เปนต้น
สรุป Hydrocarbon มันมีอยู่ของมันเอง ดังนั้นแต่ละที่จะมีอยู่ไม่เท่ากัน บางที่มีเยอะ บางที่ก้ออาจไม่มีเลย
สำหรับ Hydrocarbon ที่เป็นของเหลว (oil) นั้นจะเก็บและขนส่งได้ง่ายกว่า ส่วน Hydrocarbon ที่เปน gas นั้น ถ้าจะใช้งานในระดับอุตสาหกรรม จำเปนต้องมีการวางท่อจากแหล่งผลิตไปที่สถานที่ที่จะใช้ ตัวอย่างคือท่อส่งในอ่าวไทยที่ต่อจากแหล่งผลิตในอ่าวไทยไปขึ้นที่ระยองและอำเภอขนอม เปนต้น
บ่อยครั้งเราเลยเหนการเผา gas ทิ้งระหว่างที่ผลิตน้ำมันขึ้นมา ทั้งนี้อาจจะเปนเพราะไม่มีท่อ หรือไม่มี demand ในการใช้ gas นั้น ตัวอย่างในรูปคือหลุมผลิตบนฝั่งในประเทศอเมริกา
Reservoir
แหล่งกักเก็บ (Reservoir) คือชั้นหินใต้ดินที่มีที่ว่างเป็นรูพรุนหรือรอยแยก (นึกถึงภาพฟองน้ำ) และในที่ว่างนี้ก้อมี Hydrocarbon อยู่ (นึกถึงภาพเอาฟองน้ำไปจุ่มน้ำมัน)
นอกจากที่ว่างในการกักเก็บแล้ว แหล่งกักเก็บต้องมีคุณสมบัติอีกอย่างคือความสามารถในการปิดผนึก (Seal ability) ทำให้ Hydrocarbon ที่ไหลเข้ามาไม่ไหลออกไปไหน การผนึกนี้อาจเกิดจากรูปร่างของชั้นหิน การบิดงอหรือรอยแยกของชั้นหินใต้ดิน การทับซ้อนกันของหินที่มีคุณสมบัติต่างกัน เปนต้น
แหล่งกักเก็บส่วนใหญ่ในโลกนี้เปนชั้นหิน Sand Stone ซึ่งหินชนิดนี้จะมีรูพรุนอยู่มาก Hydrocarbon จะเก็บและไหลผ่านรูพรุนนี้
รองลงมาคือแหล่งกักเก็บที่เปนชั้นหิน Carbonate หินชนิดนี้จะมีรูพรุนน้อย แต่มีรอยแยกขนาดใหญ่อยู่ในชั้นหิน รอยแยกนี้มีขนาดใหญ่กว่ารูพรุนในชั้นหิน Sand stone มาก ทำให้เก็บ Hydrocarbon ได้ดีกว่า และ Hydrocarbon ยังไหลผ่านได้ดีกว่าด้วย
แหล่งกักเก็บที่เปนชั้นหิน Carbonate มีจำนวนน้อยกว่า แต่ปริมาณการผลิต Hydrocarbon ในปัจจุบันมาจากแหล่งกักเก็บประเภทนี้มากกว่า ส่วนใหญ่คือแหล่งในตะวันออกกลาง
Sand Stone
Carbonate
แรกเริ่มแต่ก่อนนั้น Hydrocarbon บางส่วนไหลขึ้นมาเองจากชั้นกักเก็บใต้ดินขึ้นมาที่ที่ผิวโลก ทั้งในรูปแบบ gas และ oil ทำให้มนุษย์รับรู้การคงอยู่ของมัน
ต่อมาเริ่มมีการขุดเจาะน้ำบาดาลเกิดขึ้น แต่มีบางครั้งที่หลุมน้ำนี้เจาะไปเจอเข้ากับ gas หรือ oil ทำให้มนุษย์เราเริ่มที่จะเอา Hydrocarbon มาใช้ประโยชน์มากขึ้น และเนื่องจาก Hydrocarbon เริ่มมีราคา ทำให้ค้นคว้าทดลองและเริ่มแขนงวิทยาศาสตร์และความรู้เกี่ยวกับการขุดเจาะและผลิตมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ก้อผลักดันให้มีการเอา Hydrocarbon มาใช้ในระดับ Mass scale และในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการขุดเจาะก้อพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
เปรียบเทียบง่ายคือการก่อสร้าง แต่ก่อนมนุษย์เริ่มจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเล็กๆ แต่ปัจจุบันเราสามารถสร้างตึกสูงระฟ้าได้ทุกที่ทั่วโลก เทคโนโลยีการขุดเจาะเองก้อเช่นกัน
Brent – WTI
Brent และ WTI (West Texas Intermediate) คือราคาอ้างอิง (Benchmark) ของน้ำมันที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก ที่มาคือ Brent เปนของน้ำมันที่ซื้อขายหลักอยู่ในยุโรป (North Sea) ในขณะที่ WTI คือการซื้อขายในอเมริกา
เนื่องจาก Hydrocarbon นั้นเกิดเองตามธรรมชาติ คุณสมบัติของ Hydrocarbon จากแหล่งต่างๆ จึงไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต่างคือตัวของ Hydrocarbon ที่มีส่วนผสมของโมเลกุลใหญ่เล็กต่างกัน รวมถึงสิ่งเจือปนต่างที่ติดขึ้นมาตามธรรมชาติเช่น Sulfur หรือ Mercury
ทั้ง Brent และ WTI นั้นก้อมีนิยามทางเทคนิคของส่วนผสมที่ต่างกัน
สัญญาซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงๆ นั้นราคาจะขึ้นอยู่กับส่วนผสมและสิ่งเจือปน โดยใช้ราคา benchmark เปนตัวอ้างอิง ไม่ได้ขายกัน bbl ละตาม Brent และ WTI โดยตรง
ที่น่าสนใจคือตามนิยามแล้ว WTI นั้นน่าจะแพงกว่า Brent เพราะส่วนผสมที่กลั่นน้ำมันได้มากกว่าและปริมาณ sulfur น้อยกว่า
แต่โดยปกติแล้ว Brent จะแพงกว่า WTI เพราะเรื่องของกลไกตลาด ปริมาณ Supply และสเปคของโรงกลั่นที่มีอยู่ในโลก
Hydraulics Fracturing
เทคโลโลยีการขุดเจาะและผลิต Hydrocarbon อย่างหนึ่งที่มีใช้มานานแล้ว แต่เริ่มมาบูมในช่วง 6-7 ปีนี้คือการทำ Hydraulics Fracturing หรือที่บางทีเรียกว่า Shale gas หรือ Shale oil
Shale คือชื่อของชั้นหินชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติคือมีรูพรุนน้อย และรูพรุนนี้ไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ Hydrocarbon ไหลผ่านไม่ได้
แต่ส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญของหิน Shale คือสาร organic ที่เปนสารตั้งต้นของ Hydrocarbon
บ่อยครั้งที่มีการเจาะเจอชั้นหิน Shale ที่มี Hydrocarbon อยู่ แต่ว่าไม่สามารถผลิตขึ้นมาได้ เพราะ Hydrocarbon ไม่สามารถไหลผ่านได้
Shale
Hydraulics Fracturing คือการรวมกันของคำว่า Hydraulics ที่แปลว่า ของเหลว และ Fracturing ที่แปลว่า ทำให้แตก
รวมกันแล้วก้อแปลว่าการทำให้เกิดการแตกโดยใช้ของเหลว (อย่าแปลสลับหน้าหลังกันนะ)
เปนชื่อของกระบวนการเจาะและผลิต ที่ทำให้ชั้นหินใต้ดินแตกอย่างตั้งใจ โดยการปิดหลุมเมื่อเจาะเสร็จแล้วใช้ปั๊มอัดของเหลวลงไปเพิ่มความดันจนชั้นหินแตก
รอยแตกนี้เมื่อเกิดขึ้นจะทำให้ Hydrocarbon ไหลเข้ามา และอาจสามารถทำการผลิตจากแหล่งกักเก็บที่ไม่สามารถผลิตอย่างปกติได้
เปนขบวนการที่ใช้ได้ทั้งกับแหล่งกักเก็บที่เปน Shale และแหล่งแบบ Sand Stone ที่รูพรุนน้อยหรือไหลไม่ดี
บางครั้งมีคนแปลคำว่า Shale gas เปนการสกัด gas จากหิน shale ซึ่งอาจจะให้ความเข้าใจที่ไม่ถูกนัก เพราะเราไม่ได้ไปเอาหิน shale มาสกัด แต่เราทำให้หินมันแตกและไหลได้เท่านั้น
Hydrocarbon ที่ได้ก้อเหมือนกันกับ Hydrocarbon ที่ได้จากหลุมที่มีแหล่งกักเก็บประเภท Carbonate และ Sand Stone นั่นแหละ
การทำ Hydraulics Fracturing คือขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมาจากขั้นตอนขุดเจาะปกติ ทำให้ต้นทุนในการขุดเจาะมากขึ้น
ทั้งนี้ต้นทุนของ Shale oil & gas แต่ละทีหรือแต่ละหลุมนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแหล่งกักเก็บ คุณสมบัติของ Hydrocarbon ความลึก ตำแหน่งที่อยู่ของหลุม และปัจจัยอื่น
การทำ Hydraulics Fracturing อย่างแพร่หลายทำให้ราคาของเทคโนโลยีถูกลง และมีการผลิตจากแหล่งกักเก็บที่แต่ก่อนไม่สามารถผลิตได้ เพิ่มเข้ามาในตลาดโลก
ต่อข้างล่างนะครับ ที่เต็ม
แชร์ความรู้เรื่องการผลิตและราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันเปนเรื่องซับซ้อน เลยขอแชร์ความรู้ทั้งทางด้านเทคนิคและทางการตลาดครับ
ผมเองทำงานทางด้านนี้เลยมีความรู้อยู่บ้าง แต่ถ้าตกหล่นหรือมีอะไรที่ไม่ถูกต้องก้อท้วงมาได้นะครับ
หรืออยากรู้เรื่องอะไรก้อบอกมาได้ครับ
Hydrocarbon
น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีส่วนประกอบสำคัญคือ Carbon และ Hydrogen ทำให้บางครั้งเราเรียกมันว่า Hydrocarbon
โดย Carbon จะเปนแกนกลางและ Hydrogen จะเกาะอยู่ด้านนอก ขนาดของโมเลกุลจะขึ้นอยู่จำนวน Carbon โดยขนาดโมเลกุลเล็กจะมีสถานะเป็น Gas ใหญ่ขึ้นมาก้อเปน Oil ส่วนด้านที่ใหญ่ที่สุดจะเปนของแข็ง เช่นยางมะตอย
Hydrocarbon ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้เปน Hydrocarbon ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยกักเก็บอยู่ในชั้นหินใต้ดิน โดยมีสารตั้งต้นเกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ทับถม เมื่อเวลาผ่านไปก้อกลายเปนชั้นหินและจมลึกไปเรื่อยๆ เมื่อเจอกับความร้อนใต้พิภพ (ยิ่งลึกก้อยิ่งร้อน) สารตั้งต้นพวกนี้ก้อเกิดการย่อยสลายกลายเปน Hydrocarbon ขึ้นมา
ดังนั้นแล้ว Hydrocarbon ที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับสารตั้งต้นนั้นและสภาวะแวดล้อม มนุษย์เราเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกำเนิดของมันเลย มันก้อมีของมันอยู่อย่างนั้น
แต่เมื่อมีการสำรวจค้นพบ Hydrocarbon ขึ้นมา เราเลยเอามันมาใช้ประโยชน์ และพัฒนาเทคโนโลยีของเราให้เข้ากับทรัพยากรที่เรามีอยู่ อย่างเช่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน เปนต้น
สรุป Hydrocarbon มันมีอยู่ของมันเอง ดังนั้นแต่ละที่จะมีอยู่ไม่เท่ากัน บางที่มีเยอะ บางที่ก้ออาจไม่มีเลย
สำหรับ Hydrocarbon ที่เป็นของเหลว (oil) นั้นจะเก็บและขนส่งได้ง่ายกว่า ส่วน Hydrocarbon ที่เปน gas นั้น ถ้าจะใช้งานในระดับอุตสาหกรรม จำเปนต้องมีการวางท่อจากแหล่งผลิตไปที่สถานที่ที่จะใช้ ตัวอย่างคือท่อส่งในอ่าวไทยที่ต่อจากแหล่งผลิตในอ่าวไทยไปขึ้นที่ระยองและอำเภอขนอม เปนต้น
บ่อยครั้งเราเลยเหนการเผา gas ทิ้งระหว่างที่ผลิตน้ำมันขึ้นมา ทั้งนี้อาจจะเปนเพราะไม่มีท่อ หรือไม่มี demand ในการใช้ gas นั้น ตัวอย่างในรูปคือหลุมผลิตบนฝั่งในประเทศอเมริกา
Reservoir
แหล่งกักเก็บ (Reservoir) คือชั้นหินใต้ดินที่มีที่ว่างเป็นรูพรุนหรือรอยแยก (นึกถึงภาพฟองน้ำ) และในที่ว่างนี้ก้อมี Hydrocarbon อยู่ (นึกถึงภาพเอาฟองน้ำไปจุ่มน้ำมัน)
นอกจากที่ว่างในการกักเก็บแล้ว แหล่งกักเก็บต้องมีคุณสมบัติอีกอย่างคือความสามารถในการปิดผนึก (Seal ability) ทำให้ Hydrocarbon ที่ไหลเข้ามาไม่ไหลออกไปไหน การผนึกนี้อาจเกิดจากรูปร่างของชั้นหิน การบิดงอหรือรอยแยกของชั้นหินใต้ดิน การทับซ้อนกันของหินที่มีคุณสมบัติต่างกัน เปนต้น
แหล่งกักเก็บส่วนใหญ่ในโลกนี้เปนชั้นหิน Sand Stone ซึ่งหินชนิดนี้จะมีรูพรุนอยู่มาก Hydrocarbon จะเก็บและไหลผ่านรูพรุนนี้
รองลงมาคือแหล่งกักเก็บที่เปนชั้นหิน Carbonate หินชนิดนี้จะมีรูพรุนน้อย แต่มีรอยแยกขนาดใหญ่อยู่ในชั้นหิน รอยแยกนี้มีขนาดใหญ่กว่ารูพรุนในชั้นหิน Sand stone มาก ทำให้เก็บ Hydrocarbon ได้ดีกว่า และ Hydrocarbon ยังไหลผ่านได้ดีกว่าด้วย
แหล่งกักเก็บที่เปนชั้นหิน Carbonate มีจำนวนน้อยกว่า แต่ปริมาณการผลิต Hydrocarbon ในปัจจุบันมาจากแหล่งกักเก็บประเภทนี้มากกว่า ส่วนใหญ่คือแหล่งในตะวันออกกลาง
แรกเริ่มแต่ก่อนนั้น Hydrocarbon บางส่วนไหลขึ้นมาเองจากชั้นกักเก็บใต้ดินขึ้นมาที่ที่ผิวโลก ทั้งในรูปแบบ gas และ oil ทำให้มนุษย์รับรู้การคงอยู่ของมัน
ต่อมาเริ่มมีการขุดเจาะน้ำบาดาลเกิดขึ้น แต่มีบางครั้งที่หลุมน้ำนี้เจาะไปเจอเข้ากับ gas หรือ oil ทำให้มนุษย์เราเริ่มที่จะเอา Hydrocarbon มาใช้ประโยชน์มากขึ้น และเนื่องจาก Hydrocarbon เริ่มมีราคา ทำให้ค้นคว้าทดลองและเริ่มแขนงวิทยาศาสตร์และความรู้เกี่ยวกับการขุดเจาะและผลิตมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ก้อผลักดันให้มีการเอา Hydrocarbon มาใช้ในระดับ Mass scale และในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการขุดเจาะก้อพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
เปรียบเทียบง่ายคือการก่อสร้าง แต่ก่อนมนุษย์เริ่มจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเล็กๆ แต่ปัจจุบันเราสามารถสร้างตึกสูงระฟ้าได้ทุกที่ทั่วโลก เทคโนโลยีการขุดเจาะเองก้อเช่นกัน
Brent – WTI
Brent และ WTI (West Texas Intermediate) คือราคาอ้างอิง (Benchmark) ของน้ำมันที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก ที่มาคือ Brent เปนของน้ำมันที่ซื้อขายหลักอยู่ในยุโรป (North Sea) ในขณะที่ WTI คือการซื้อขายในอเมริกา
เนื่องจาก Hydrocarbon นั้นเกิดเองตามธรรมชาติ คุณสมบัติของ Hydrocarbon จากแหล่งต่างๆ จึงไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต่างคือตัวของ Hydrocarbon ที่มีส่วนผสมของโมเลกุลใหญ่เล็กต่างกัน รวมถึงสิ่งเจือปนต่างที่ติดขึ้นมาตามธรรมชาติเช่น Sulfur หรือ Mercury
ทั้ง Brent และ WTI นั้นก้อมีนิยามทางเทคนิคของส่วนผสมที่ต่างกัน
สัญญาซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงๆ นั้นราคาจะขึ้นอยู่กับส่วนผสมและสิ่งเจือปน โดยใช้ราคา benchmark เปนตัวอ้างอิง ไม่ได้ขายกัน bbl ละตาม Brent และ WTI โดยตรง
ที่น่าสนใจคือตามนิยามแล้ว WTI นั้นน่าจะแพงกว่า Brent เพราะส่วนผสมที่กลั่นน้ำมันได้มากกว่าและปริมาณ sulfur น้อยกว่า
แต่โดยปกติแล้ว Brent จะแพงกว่า WTI เพราะเรื่องของกลไกตลาด ปริมาณ Supply และสเปคของโรงกลั่นที่มีอยู่ในโลก
Hydraulics Fracturing
เทคโลโลยีการขุดเจาะและผลิต Hydrocarbon อย่างหนึ่งที่มีใช้มานานแล้ว แต่เริ่มมาบูมในช่วง 6-7 ปีนี้คือการทำ Hydraulics Fracturing หรือที่บางทีเรียกว่า Shale gas หรือ Shale oil
Shale คือชื่อของชั้นหินชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติคือมีรูพรุนน้อย และรูพรุนนี้ไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ Hydrocarbon ไหลผ่านไม่ได้
แต่ส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญของหิน Shale คือสาร organic ที่เปนสารตั้งต้นของ Hydrocarbon
บ่อยครั้งที่มีการเจาะเจอชั้นหิน Shale ที่มี Hydrocarbon อยู่ แต่ว่าไม่สามารถผลิตขึ้นมาได้ เพราะ Hydrocarbon ไม่สามารถไหลผ่านได้
Hydraulics Fracturing คือการรวมกันของคำว่า Hydraulics ที่แปลว่า ของเหลว และ Fracturing ที่แปลว่า ทำให้แตก
รวมกันแล้วก้อแปลว่าการทำให้เกิดการแตกโดยใช้ของเหลว (อย่าแปลสลับหน้าหลังกันนะ)
เปนชื่อของกระบวนการเจาะและผลิต ที่ทำให้ชั้นหินใต้ดินแตกอย่างตั้งใจ โดยการปิดหลุมเมื่อเจาะเสร็จแล้วใช้ปั๊มอัดของเหลวลงไปเพิ่มความดันจนชั้นหินแตก
รอยแตกนี้เมื่อเกิดขึ้นจะทำให้ Hydrocarbon ไหลเข้ามา และอาจสามารถทำการผลิตจากแหล่งกักเก็บที่ไม่สามารถผลิตอย่างปกติได้
เปนขบวนการที่ใช้ได้ทั้งกับแหล่งกักเก็บที่เปน Shale และแหล่งแบบ Sand Stone ที่รูพรุนน้อยหรือไหลไม่ดี
บางครั้งมีคนแปลคำว่า Shale gas เปนการสกัด gas จากหิน shale ซึ่งอาจจะให้ความเข้าใจที่ไม่ถูกนัก เพราะเราไม่ได้ไปเอาหิน shale มาสกัด แต่เราทำให้หินมันแตกและไหลได้เท่านั้น
Hydrocarbon ที่ได้ก้อเหมือนกันกับ Hydrocarbon ที่ได้จากหลุมที่มีแหล่งกักเก็บประเภท Carbonate และ Sand Stone นั่นแหละ
การทำ Hydraulics Fracturing คือขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมาจากขั้นตอนขุดเจาะปกติ ทำให้ต้นทุนในการขุดเจาะมากขึ้น
ทั้งนี้ต้นทุนของ Shale oil & gas แต่ละทีหรือแต่ละหลุมนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแหล่งกักเก็บ คุณสมบัติของ Hydrocarbon ความลึก ตำแหน่งที่อยู่ของหลุม และปัจจัยอื่น
การทำ Hydraulics Fracturing อย่างแพร่หลายทำให้ราคาของเทคโนโลยีถูกลง และมีการผลิตจากแหล่งกักเก็บที่แต่ก่อนไม่สามารถผลิตได้ เพิ่มเข้ามาในตลาดโลก
ต่อข้างล่างนะครับ ที่เต็ม