บวชเมื่อแก่ เป็นภาระของศาสนาหรือเปล่า

พระราธเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ว่าง่าย

พระราธเถระ เป็นบุตรตระกูลพราหมณ์ ในเมืองราชคฤห์ ฐานะเดิมของท่านนั้นจัดว่า
อยู่ในขั้นเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองมาก แต่เมื่อย่างเข้าสู่วัยชราถูกภรรยาและบุตรธิดาทอดทิ้ง
ต้องกลายเป็นคนยากจนอนาถา ที่พึ่งพาอาศัยต้องเลี้ยงชีพด้วยการอาศัยพระภิกษุอยู่ในวัด
พระเวฬุวันมหาวิหาร


ต่อมา ราธพราหมณ์ มีศรัทธาปรารถนาจะบวช แต่ไม่มีภิกษุรูปใดที่จะสงเคราะห์บวชให้ ทำให้เกิดความทุกข์ใจ ร่างกายซูบผอมหน้าตาผิวพรรณหม่นหมอง


พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นราธพราหมณ์มีร่างกายผิดปกติอย่างนั้นแล้วจึงได้ตรัสถาม ทราบความโดยตลอดแล้ว

รับสั่งถามภิกษุผู้อยู่ในวัดพระเวฬุวันมหาวิหารว่า:-
“ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดระลึกถึงอุปการคุณของราธพราหมณ์ผู้นี้ได้บ้าง ?”
ขณะนั้น พระสารีบุตรเถระ ซึ่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย ได้กราบทูลว่า:-
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ระลึกได้ พระเจ้าข้า คือ วันหนึ่งข้าพระองค์ได้เข้า
ไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ พราหมณ์ผู้นี้เคยถวายอาหารข้าวสุขแก่ข้าพระองค์ ทัพพีหนึ่ง
พระเจ้าข้า”




ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม
พระบรมศาสดา ได้สดับแล้วตรัสยกย่องพระสารีบุตรเถระว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีแล้วมอบราธพราหมณ์ให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ดำเนินการบวชให้ และทรงประกาศยกเลิกการอุปสมบทด้วยวิธี ไตรสรณคมน์ ที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้แต่เดิมแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม อันเป็นวิธีอุปสมบท โดยมีสงฆ์เป็นใหญ่ พระสารีบุตรเถระ เป็นพระ
อุปัชฌาย์รูปแรก และพระราธะเป็นภิกษุผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก การอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมนี้ได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน





พระราธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลขอให้พระพุทธองค์ตรัสสอนธรรมอันเป็นทางปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น

พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า:-
“ดูก่อนราธะ สิ่งใดเป็นมาร เธอจงละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย สิ่งที่เรียกว่ามาร คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นของมิใช่ตัวตน มีความเกิดขึ้น ดำรงอยู่ เปลี่ยนแปลง และสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา ดังนั้น เธอจงละความพอใจในสิ่งอัน
เป็นมารเหล่านั้นเสีย”

พระราธะ รับเอาพระโอวาทนั้นเป็นแนวทางปฏิบัติแล้วได้ติดตามพระสารีบุตรเถระพระอุปัชฌาย์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตผล



พระพุทธองค์ตรัสถามว่า:-
“ดูก่อนสารีบุตร พระราธะสัทธิวิหาริยศิษย์ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เธอเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย แนะนำสั่งสอนตักเตือนอย่างไร ก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ไม่เคยโกรธเคืองเลย พระเจ้าข้า”



ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย
พระบรมศาสดาทรงสดับแล้ว ตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลายถือเอาพระราธะเป็นแบบอย่างในการเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย และทรงยกย่องพระราธะในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้ว่าง่าย และผู้มีปฏิภาณ คือ เป็นผู้มีความรู้แจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนา


ท่านพระราธเถระ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาพอสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็
ดับขันธปรินิพพาน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่