ไซอิ๋ว ตอน จตุรเทพวานรทั้งห้าธาตุ (แต่งเองนะ เป็นไซอิ๋วที่จะโยงเข้ามาในยุคปัจจุบัน) อยากให้ทุกคนลองอ่านดู วิจารณ์ได้นะ

เมื่อราวๆ ปี พ.ศ. 1207 เรื่องราวการเชิญพระไตรปิฎกของพระสงฆ์ที่มีความแรงกล้าที่จะนำบทสอนจากศาสนามาเผยแพร่ของ "พระถังซัมจั๋ง” หรือที่ทุกๆ คนได้รู้จักในนิยายภาพ หรือวรรณกรรมต่างๆ ในนาม "ไซอิ๋ว”
    เรื่องราวต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับไซอิ๋วไม่มากก็น้อยนัก สำหรับนักอ่านทุกท่านที่ชอบเรื่องราวความซุกซน น่ารัก และมีความกตัญญูต่อพระอาจารย์ นั่นก็คือ "ซุนหงอคง” เทพวานรที่เกรียงไกรไปด้วยความสามารถหลายวิชาต่อสู้ รวมไปถึงได้ปราบปีศาจให้พ้นทางเพื่อเดินทางไปสู่ชมพูทวีป แต่เรื่องราวในเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวหลังจากที่เชิญพระไตรปิฎกกลับมายังเมืองต้าถัง และหลังจากนั้นอีกนับราวๆ 1000 ปี
    หลังจากที่พระถังซัมจั๋ง และคณะเดินทาง (ซุนหงอคง, ตือโป๊ยก่าย, ซัวเจ๋ง) นั้นได้อันเชิญพระไตรปิฎกกลับถึงเมืองต้าถัง ชาวประชาราษฎร์ทั้งแผ่นดินต่างก็ดีใจ และเถิดทูนพระถังซัมจั๋ง จนทำให้พระราชา (ถังไถ่จง) เกิดความไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง จึงสั่งการให้ทหารในวังล้อมจวนของคณะพระถังในยามค่ำคืน พร้อมจะเผาจวนให้มอดไหม้ แต่ทว่าขณะที่เหล่าทหารกำลังวางฟืนรอบๆ จวนเตรียมการเผานั้น จู่ๆ ก็เกิดพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงจนกระทั่งรุ่งเช้า สภาพภายนอกวัง (เมืองหลวงต้าถัง) ได้เผยถึงอุทกภัยครั้งใหญ่นับตั้งแต่ก่อนคณะพระถังซัมจั๋งออกเดินทาง สร้างความเสียหายให้บ้านเมืองอย่างสาหัส แต่นั่นก็ไม่ทำให้พระราชาลดละความพยายามที่จะสังหารคณะพระถังซัมจั๋ง
    แต่แล้วในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น พระราชาเชิญพระถังซัมจั๋งไปงานเลี้ยงในวังโดยลำพัง ซึ่งก็ทำให้ราชาวานร (ซุนหงอคง) รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง จึงได้แปลงกายเป็นมดติดตามพระถังซัมจั๋งเข้าไปในวังด้วย แต่ด้วยความชะล่าใจของราชาวานรจึงได้ปล่อยให้พระถังซัมจั๋งอยู่ร่วมงานเลี้ยงกับพระราชา

ตึง…

    พระถังซัมจั๋งล้มลงด้วยอาการชักอย่างรุนแรง และพระราชาสั่งห้ามผู้ใดเข้าใกล้พระถังซัมจั๋งเด็ดขาด จนกระทั่งราชาวานรเผยกายขึ้นเคียงบ่าพระราชา

“เจ้าคิดจะสังหารอาจารย์ข้าอย่างนั้นรึ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าจะสังหารพวกเจ้าทั้งสี่ให้ดับสูญสิ้นชั่วกาลเลย เจ้าลิง”

    พระราชาทรงสั่งทหารล้อมรอบโถงงานเลี้ยง และพร้อมที่จะสังหารราชาวานรอย่างประชั้นชิด

“อาจารย์… อดทนไว้นะ เดี๋ยวข้าช่วยเอง”

    ราชาวานรจิตใจไม่นิ่งเฉย พลันที่จะปกป้องอาจารย์ของตน แต่ก็พลาดท่าให้กับพระราชาจนสลบไป และราชาวานรรู้สึกตัวอีกทีหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงของศิษย์น้องทั้งสองกำลังร่ำไห้กับร่างที่นอนแน่นิ่งของพระถังซัมจั๋ง

“เจ้าอ้วน ซัวเจ๋ง เป็นอะไรไปรึ”

“ฮือๆ อาจารย์ไม่หายใจแล้ว”

    ซัวเจ๋งศิษย์น้องเล็กพูดทั้งน้ำตา ยิ่งทำให้ราชาวานรเกิดความเกรี้ยวกราด และโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน

“อาจารย์...”

    ราชาวานรกังวาลลั่นอย่างสุดเสียง ก่อนจะสังเกตว่าพวกตนอยู่กลางป่าเขาลึก พร้อมกับม้ามังกรขาวที่ร่วมเดินทางตั้งแต่อันเชิญพระไตรปิฎก

“ศิษย์พี่ เจ้าควรไปทะเลใต้หาพระโพธิสัตว์ เผื่อจะมาโปรดให้อาจารย์ฟื้นคืนชีพได้”

“ข้าก็คิดเช่นนั้นนะ แต่ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ชอบมาพากลกับเคราะห์กรรมครั้งนี้นัก”

    ราชาวานรกล่าวต่อศิษย์น้องทั้งสอง ก่อนจะขึ้นค่อมม้ามังกรขาว
“ตือโป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ฝากดูแลร่างของอาจารย์ด้วย ข้าจะรีบไปแล้วกลับ”

    ราชาวานรควบม้ามังกรขาวเหินขึ้นฟ้าก่อนลับตาไป ปล่อยให้สองศิษย์พี่น้องนั่งโศกเศร้าพร้อมคำสั่งมั่นของราชาวานร

“หงอคง.. เจ้าจะรีบไปไหนรึ”

    พระโพธิสัตว์กวนอิมห้ามราชาวานรไว้

“คือ… ข้าจะมาเยี่ยมเยียนท่านเจ้าแม่สักหน่อยนะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ข้าเห็นแววตาเจ้า… ข้าก็รู้ว่าเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ จงเล่ามาเถิดข้าจะรับฟังเอง”

    ราชาวานรหยุดชะงักก่อนจะเอ่ยบทสนทนาขึ้น

“ตั้งแต่ที่พวกข้า ศิษย์อาจารย์ทั้งสี่ พร้อมเจ้าม้ามังกรขาวไปอันเชิญพระไตรปิฎกกลับมาที่นี่ พระราชากลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พยายามจะสังหารพระอาจารย์ แต่ข้าก็ขวางไว้หลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ข้าชะล่าใจเอง ฮือๆ”

“ไม่ต้องโศกเศร้าไปหรอกหงอคง อาจารย์เจ้าถึงเวลาที่ต้องกลับไปรับใช้พระองค์ยูไล ส่วนพวกเจ้าทั้งสาม พร้อมม้ามังกรขาวจะได้พ้นเคราะห์ทั้งปวง นี่คือบัญชาจากสวรรค์”

“ข้า ซุนหงอคง ไม่กลัวฟ้าดิน มีอิทธิฤทธิ์แปลงกายเจ็ดสิบสองธาตุ และเป็นอมตะ ทำไมต้องมีฟ้ามาบงการชีวิตด้วยกันเล่า”

    ราชาวานรเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

“ซุนหงอคง เจ้ากับพระถังร่วมเดินทางไปยังชมพูทวีป ผ่านเคราะห์กรรมกว่าเจ็ดเจ็ดเก้าสิบเก้าครั้ง นั่นเป็นบทเรียนที่ทำให้เจ้ามีตัวตน และทำให้เจ้ามีเสียงเรียงนามจนผู้คนต่างก็นับถือ ต่างก็ไหว้เจ้าอย่างวีรบุรุษ และอาจารย์เจ้า ก็ถึงอายุขัยของการอยู่ในโลกมนุษย์ ส่วนเจ้า เจ้าได้กลายมาเป็นองครักษ์ศาสนา และเป็นถึงองค์จตุรเทพ แล้วเจ้าต้องการอะไรอีกหรือ”

    ราชาวานรรับฟังอย่างเงียบๆ พร้อมน้ำตาที่ไหลรินเป็นหยดสายฝน และทำให้เขตภูเขาหัวกั่วหลั่งไหลด้วยสายชล

“ข้าเพียงแต่ ไม่อยากจะเห็นการสูญเสียของผู้อื่นอีก”

“หงอคง สิ่งใดที่เป็นรูปธรรม มักสูญเสียความเป็นรูปธรรม สิ่งใดที่เป็นนามธรรม มักสูญหายด้วยนามธรรม พระถังซัมจั๋งก็เช่นกัน มีเกิด ย่อมมีดับ มีดับ ย่อมมีสูญ มันเป็นวัฏจักรของกลมเกวียน”

    ราชาวานรหลับตาลง พร้อมแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม

“เจ้าแม่ ข้าจะใช้อิทธิฤทธิ์ครั้งนี้ เพื่อให้อาจารย์ข้าได้อยู่คงรูปนี้ไปตลอดกาล ข้าจะรับช่วงจากอาจารย์จนกว่าข้าจะสูญดับเยี่ยงอาจารย์”

    ราชาวานรสลัดขนบนใบหน้าก่อนท่องมนต์ และเป่าไปยังอาณาเขตที่ร่างของพระถังซัมจั๋ง พร้อมแสดงอิทธิฤทธิ์ที่เปร่งแสงสีทองอร่ามบนท้องฟ้า ส่องไปยังร่างของพระถังซัมจั๋ง

“เกิดอะไรขึ้นกันนี่”

    ซัวเจ๋งศิษย์น้องราชาวานรเกิดความตระหนก ร่างอันไร้วิญญาณของพระถังซัมจั๋งลอยขึ้นกลางอากาศ และเปลี่ยนอิริยาบถก่อนจะมีฟ้าผ่าลงบนกลางศรีษะ

ตูม…

    เมื่อทุกอย่างเงียบสงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างของพระถังซัมจั๋งที่ไร้วิญญาณ ได้กลายเป็นรูปปั้นหินหยกสีขาวนวลตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าศิษย์น้องทั้งสอง

“เจ้าแม่ ข้าขอตัวกลับไปหาศิษย์น้องทั้งสองก่อน หากคราวหน้าข้าจะมาแวะเวียนถึงท่านอีก”

“ไปดีมาดีล่ะ”

    ราชาวานรพร้อมม้ามังกรขาวกลับมายังพงไพรที่ศิษย์น้องทั้งสอง กับรูปปั้นหินพระถังซัมจั๋งที่ถูกตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นในป่า

“โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง พวกเรามาสร้างวัดล้อมรอบอาจารย์ไว้”

“อ่า ขอรับศิษย์พี่”

    ศิษย์ทั้งสามเริ่มสร้างวัดให้อาจารย์อย่างแข็งขัน และด้วยจิตใจอันแน่วแน่ของราชาวานร จึงได้สร้างอารามวัดให้พระถังซัมจั๋งจนแล้วเสร็จ
    ศิษย์ทั้งสามใช้เวลาสร้างวัดแห่งนี้ในป่ากว่า 5 ปี พร้อมทั้งตั้งชื่อให้ว่า "วัดพระถังซัมจั๋ง” และหลังจากที่พวกเขาเริ่มเปิดวัดให้ชาวบ้านใกล้เคียงมาบิณฑบาตร ตือโป้ยก่ายก็เกิดความชอบ และหลงเสน่ห์หญิงรูปงามคนหนึ่งในหมู่บ้าน จึงถูกขับไล่ออกจากวัดไป
    วัดพระถังซัมจั๋งได้กลายเป็นวัดชื่อดัง และผู้ที่เป็นเจ้าอาวาสนั้น คือราชาวานรซึ่งได้รับลูกศิษย์เพื่อมาดูแลวัด จนกระทั่งปี พ.ศ. 1270 ซัวเจ๋งศิษย์น้องติดโรคเรื้อนอย่างหนัก พร้อมทั้งคนในหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงก็เช่นกัน และได้เสียชีวิตในที่สุด
    หลังจากที่ราชาวานรได้เห็นคนที่รัก และห่วงจากไปทีละคนสองคน จนถึงยุคกลางของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีทั้งคนที่เคารพศาสนาพุทธ และคนที่ริเริ่มย้ายศาสนาไป  ทำให้ราชาวานรซึ่งอยู่มากว่าสองพันกว่าปีรู้สึกท้อใจ และได้ละทิ้งวัดให้ลูกศิษย์ดูแลในยุคต่อไป
    ราชาวานรล่องเร่ไปกลางอากาศ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าจะไปเยี่ยมเยียนพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ทะเลใต้ ขณะที่ราชาวานรเหินบนอากาศนั้น เขาได้พบกับชั้นบรรยากาศที่เปลี่ยนไป และควันหมอกสีดำที่โพยพุ่งขึ้นมาจากพื้นโลก ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก จนเขามาถึงเกาะที่พระโพธิสัตว์กวนอิมเคยประทับ แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นกองทัพเรือทรงประหลาดนับพันลำ ที่ถูกห่อหุ้มด้วยโลหะหนา พร้อมทั้งสามารถยิงบางอย่างออกจากกระบองยักษ์ที่ติดอยู่บนลำเรือ จึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง และเขาได้ลอบเข้าไปในเรือลำหนึ่ง

“เรือนี่ประหลาดนัก ข้าไม่ยักจะเคยเห็นมาก่อน แถมกลิ่นก็เหม็นยิ่ง”

    ราชาวานรแปลงกายเป็นแมลงสาบเดินสำรวจภายในเรือ

“เรือนี่ช่างใหญ่นัก นี่เราอยู่ที่ไหนกันนะ และคนเหล่านี้แต่งกายดูประหลาดตานัก”

    ราชาวานรรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ก่อนจะเผยร่างในห้องเครื่องยนต์ที่มีเสียงดังอึกทึก

“ใต้ท้องเรือมีโลหะเหล่านี้ด้วย แข็งพอๆ กับกระบองข้าซะด้วย”

    ราชาวานรเดินสำรวจห้องเครื่องอย่างแปลกหูแปลกตา ก่อนสังเกตว่ามีคนเฝ้ามองเขาอยู่ในมุมมืดของห้อง

“นั่นใครหน่ะ แสดงตัวออกมาให้ข้าได้เห็นชัดๆ ซะ”

“นานิ (ตัวอะไรเนี่ย)”
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ..”

    ราชาวานรดึงกระบองทองออกมา ทำให้บุคคลที่ซ่อนอยู่ในที่มืดโผล่ให้เห็น

“คาเรวะเซยเคคุเดซึ (แกคือตัวอะไรกันแน่)”

“เจ้าพูดภาษาอะไรนะ ข้าฟังไม่ออกหรอก”

    ชายร่างยักษ์อยู่เบื้องหน้าราชาวานร พร้อมถืออาวุธรูปทรงประหลาด เป็นกระบองยาว แต่วิธีการถือที่แตกต่างไปจากวิชาที่ราชาวานรเคยร่ำเรียนมา

“เจ้ามาจากไหน แล้วมาที่ทะเลใต้ทำไม”

“เดดโดะ (แกตายซะ)”

ปังๆๆๆ

    ชายร่างยักษ์ลั่นไกปืนไปยังราชาวานร

“อุ้ก อ้าก โอ้ก อุ้ย”

    ราชาวานรถูกลูกตะกั่วยิงใส่ แต่ก็ไม่เป็นผล ซึ่งเนื่องมาจากครั้งที่ราชาวานรอาละวาดสวรรค์ได้ถูกเทพไท่ซั่งเล่าคุนจับลงไปในหม้อปรุงยานานกว่าสี่สิบเก้าวัน (สี่สิบเก้าปีบนเวลาโลก) ลูกตะกั่วกระเด็นกระดอนไปมาในห้องเครื่อง

“วาตาชิวะเคเรโอฮัสสะอิเมเซนโยะ (อะไรกันว่ะ ยิงไม่เข้า)”

“นี่เมื่อกี้เจ้าทำอะไรเนี้ยะ จักกะจี๋ดีแหะ เอ้า นี่ไปกินซะ ย้าก”

    ราชาวานรฟาดกระบองทองใส่ชายร่างยักษ์เต็มแรง แต่ทว่าชายร่างยักษ์กลับรับกระบองของเขาได้อย่างสบาย

“0.0 นี่เจ้ารับกระบองข้าได้ เจ้ามันไม่ใช่คนแล้ว กระบองข้าหนักตั้งหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยชั่งเชียวนา”

    ชายร่างยักษ์ชกหมัดอันใหญ่ยักษ์ใส่ราชาวานรจนกระเด็นกระแทกกับผนังห้องเครื่องของเรือดังสนั่น

“วาตาชิโนทาเมะนินานิกะโอคุริมาชิตะวาตาชิวาอิกะโนะ (เกิดอะไรขึ้นหน่ะ ข้างล่างเนี้ยะ)”

    กลุ่มคนเข้ามาอย่างไม่ได้นัดหมายล้อมรอบราชาวานร ซึ่งเขาอยู่ในสภาพอิดโรยจากความไม่คุ้นกลิ่นบนลำเรือ ก่อนจะสลบไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่