.
ในปัจจุบัน หากจะเรียกเศรษฐกิจของไทย ว่าขี้โรคเอเชีย ก็คงพูดได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเท่าใดนัก เพราะนับวันมีแต่จะสาละวันเตี้ยลงไปเรื่อยๆทุกที จากอดีตเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่เราเคยคิดที่จะแข่งขันกับชาติในเอเชีย เพื่อก้าวให้ทันผู้นำด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยได้เป็น”
เสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นคำที่ใช้อ้างถึงเศรษฐกิจของชาติที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในเอเชีย ซึ่งสี่เสือเดิม คือ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน
ช่วงสมัยรัฐบาลของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มีการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ
“เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” จนหลายประเทศล้วนจับตาว่า ไทยอาจจะเข้ามาเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียแน่นอน เพราะยุคนั้น รัฐบาลได้อนุมัติให้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่น โครงการโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านเลขหมาย โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โครงการขนส่งมวลชน ในเขตกรุงเทพมหานคร และโครงการทางด่วนยกระดับ ตัวเลขความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงนั้นพุ่งสูงขึ้นมาก
แต่ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเป้าหมายที่ยากจะไปถึง เพราะเหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะ รสช.ก่อนนำไปสู่
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย จนรัฐบาลของคณะรัฐประหารที่นำโดย นาย อานันท์ปัญญาชุณ จะใช้นโยบายเสรีเงินทุน เพื่อดึงดูความสนใจจากต่างชาติ เพื่อหวังแก้ไขสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้น ที่เกิดจากการที่ถูกต่างชาติระงับการลงทุน เนื่องจากหวั่นวิตกกับปัญหาความรุนแรงทางการเมืองของไทย
แต่การเปิดเสรีเงินทุนนั้น ก็เป็นการเปิดช่องให้ภัยร้ายแรงทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงไม่น้อยกว่าการรัฐประหารตามเข้ามา มันคือ การถูกโจมตีค่าเงิน ถึงแม้ว่าช่วงเวลาของการถูกโจมตีค่าเงินจะเกิดขึ้นในปี 2540 ในสมัยรัฐบาลของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ แต่คณะรัฐประหาร รสช.เอง ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตนเองก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ดับฝันของไทยในการเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชียลง
และเป้าหมายยิ่งดูห่างออกไป หากจะลองตั้งต้นใหม่เพื่อไล่ตาม เมื่อบรรดาเสือทั้งสี่ตัวที่เราเคยคิดจะแข่งด้วย ขยับฐานะขึ้นไปอยู่ในกลุ่มของประเทศที่พัฒนาแล้ว แถมยังก้าวหน้าจนเรายากจะตามทัน เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่พัฒนาสูงสุดของโลกอยู่ในอันดับที่ 9 และอันดับ 1 ของเอเชีย ส่วนฮ่องกง เกาหลีใต้อยู่ในอันดับประเทศที่พัฒนาแล้วของโลกอันดับที่ 15 ส่วนไต้หวันจัดอยู่ในกลุ่ม ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าของ IMF โดยนโยบายหลักของประเทศสี่เสือคือการสนับสนุนการส่งออกและการเป็นชาติอุตสาหกรรม
เมื่อเอเชียไม่ไหว อาเซียนก็ได้วะ..!!
หลังจากที่สิ้น ลี กวน ยู อดีตผู้นำสิงคโปร์
ในย่านอาเซียนนี้ก็มีผู้นำอย่าง มหาเธร์ อดีตนายกฯมาเลเซียและ ดร..ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯประเทศไทย ที่ต่างชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษ ไทยกับมาเลเซียแข่งขันจะเป็นชาติเบอร์สองที่ตามหลังสิงค์โปร์ในด้านเศรษฐกิจ แต่ด้วยความได้เปรียบในเรื่องจำนวนประชากรที่มากกว่า ทำให้ไทยมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า จึงได้เปรียบมาเลเซียนิดๆในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย และด้วยวิสัยทัศน์การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาล ดร.ทักษิณในสมัยแรก (2544-2548) ไทยดูเป็นต่อมาเลย์อยู่หลายช่วงตัว ทำท่าที่จะขยับฐานะประเทศให้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ตามหลังสิงค์โปร์ที่ทำได้แล้วเป็นประเทศแรกในกลุ่มอาเซียน
แต่ก็ยังได้แค่ฝันเหมือนเดิม เพราะการกลับมาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สองของ ดร.ทักษิณ นั้น ถูกต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่ม พันธมิตร ที่ปลุกระดมด้วยวาทะกรรมสร้างความเกลียดชังกันเองของคนไทย จนเหตุการณ์ลุกลามบานปลายและเป็นเหตุให้กองทัพฉวยโอกาสยึดอำนาจ ขณะที่ ดร.ทักษิณเดินทางไปต่างประเทศ
เป้าหมายที่จะเป็นเบอร์สองของอาเซียนก็ลอยหายไปพร้อมๆกับการโค่นอำนาจ ดร.ทักษิณ
และน่าจะคงพอจำกันได้อยู่ ว่าเป้าหมายในช่วงสมัย คมช. รัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ คิดจะแข่งกับใคร..?
ประเทศไทยปรับเป้าหมายใหม่อีกครั้ง เพื่อจะแข่งกับเวียดนาม เพื่อเป็นอันสามของอาเซียน และรับช่วงเป้าหมายนี้มาในอีกหลายรัฐบาลให้หลัง ทั้งรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ,สมชาย วงศ์สวัสดิ์, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนมาถึงรัฐบาลของ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 4 รัฐบาลในระยะเวลา 7 ปีกว่า
เป้าหมายนี้ก็ดูไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย เพราะความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงอยู่และได้แบ่งประชาชนออกเป็นสองฝ่าย ใช้ความรุนแรงเป็นเกมส์ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองแทนการต่อสู้กันตามกฎกติกา
และเมื่อคณะ รสช.ยึดอำนาจด้วยอ้างเหตุผลเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ เป้าหมายทางเศรษฐกิจเราเป็นเช่นใด ยังคงมีอยู่และอยู่ที่เวียดนามไหม หรือถูกลดระดับลงมาคิดจะมาแข่งกว่าประเทศที่ด้อยกว่านั้น อย่าง พม่า ลาว เขมร ผมว่าคนที่ติดตามการเมืองอย่างคนในราชดำเนิน คงคิดหาคำตอบได้เอง โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากบอก
แต่คำถามที่ผมอยากจะถามคนในราชดำเนินแห่งนี้ คือ ท่านคิดว่าที่ประเทศไทยของเราไปไม่ถึงฝั่งฝันในด้านเศรษฐกิจ เป็นเพราะอะไร..?
ทุกวันนี้ประเทศเราป่วยเพราะใคร..?
ทำไมกลายเป็นประเทศขี้โรคที่รักษาอาการทางเศรษฐกิจไม่ได้สักที..?
มีคนอย่าง พลเอกชาติชาย หรือ ดร.ทักษิณ น้อยเกินไป..ฦ
หรือว่า มี.......? หยุดแค่นี้ดีกว่า ถามไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด ช่างมันเถอะครับ คิดซะว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกัน
ใครที่คาดเดาคำถามได้ ก็ไม่จำเป็นต้องตอบออกมา รู้คำตอบแล้วก็เก็บมันไว้ในใจท่านนั้นแหละดีแล้ว
*ปล. จริงๆอย่างเขียนไล่ตั้งแต่ช่วง 2475 เรื่อยมา จะได้เห็นว่า ครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าประเทศเราเหนือกว่าเกาหลีใต้ทางด้านเศรษฐกิจและมองญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายสำคัญที่ไทยจะแข่งขันด้วย อยากจะเอามาเล่าให้ฟัง ว่าแนวคิดแบบนั้นเกิดในช่วงไหน และอยากเล่าเรื่องของประเทศที่เคยถูกฝรั่งตะวันตกดูถูกว่าเป็น ขี้โรคเอเชียด้วย แต่สุดท้ายก็คิดว่า ถ้าเขียนจริงๆก็คงไม่มีคนอ่าน เพราะมันคงมีเนื้อหายาวเกินไป เลยเขียนแค่ที่จำได้เอาเฉพาะช่วง 20 กว่าปีมานี้ก็พอ แค่นี้ก็ทำให้คนเขียนอย่างผม ท้อใจมากพอดูแล้วครับ ที่เห็นประเทศชาติเราเป็นเช่นนี้
*ต้องใช้ตัวเลข ไอพี ลงบทความแล้วนะครับ ไม่ไหวครับ เขียนอะไรก็ดูจะผิดกฎหมายไปเสียหมด เปลืองซิมมากๆ และก็เหมือนเดิมนะครับ ผมขอหลีกเลี่ยงการสนทนาที่ไม่สร้างสรรค์ หรือสร้างสรรค์แต่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของอมยิ้มนะครับ ไม่ไหวครับ โดนอุ้มบ่อยเกิน
บางทีก็ท้อนะครับ เขียนอย่างนี้ ยังโดนอุ้ม
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ...นายพระรอง) ขี้โรคเอเชีย คนป่วยอาเซียน
ในปัจจุบัน หากจะเรียกเศรษฐกิจของไทย ว่าขี้โรคเอเชีย ก็คงพูดได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเท่าใดนัก เพราะนับวันมีแต่จะสาละวันเตี้ยลงไปเรื่อยๆทุกที จากอดีตเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่เราเคยคิดที่จะแข่งขันกับชาติในเอเชีย เพื่อก้าวให้ทันผู้นำด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยได้เป็น”เสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นคำที่ใช้อ้างถึงเศรษฐกิจของชาติที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในเอเชีย ซึ่งสี่เสือเดิม คือ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน
ช่วงสมัยรัฐบาลของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มีการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” จนหลายประเทศล้วนจับตาว่า ไทยอาจจะเข้ามาเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียแน่นอน เพราะยุคนั้น รัฐบาลได้อนุมัติให้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่น โครงการโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านเลขหมาย โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โครงการขนส่งมวลชน ในเขตกรุงเทพมหานคร และโครงการทางด่วนยกระดับ ตัวเลขความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงนั้นพุ่งสูงขึ้นมาก
แต่ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเป้าหมายที่ยากจะไปถึง เพราะเหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะ รสช.ก่อนนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย จนรัฐบาลของคณะรัฐประหารที่นำโดย นาย อานันท์ปัญญาชุณ จะใช้นโยบายเสรีเงินทุน เพื่อดึงดูความสนใจจากต่างชาติ เพื่อหวังแก้ไขสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้น ที่เกิดจากการที่ถูกต่างชาติระงับการลงทุน เนื่องจากหวั่นวิตกกับปัญหาความรุนแรงทางการเมืองของไทย
แต่การเปิดเสรีเงินทุนนั้น ก็เป็นการเปิดช่องให้ภัยร้ายแรงทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงไม่น้อยกว่าการรัฐประหารตามเข้ามา มันคือ การถูกโจมตีค่าเงิน ถึงแม้ว่าช่วงเวลาของการถูกโจมตีค่าเงินจะเกิดขึ้นในปี 2540 ในสมัยรัฐบาลของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ แต่คณะรัฐประหาร รสช.เอง ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตนเองก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ดับฝันของไทยในการเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชียลง
และเป้าหมายยิ่งดูห่างออกไป หากจะลองตั้งต้นใหม่เพื่อไล่ตาม เมื่อบรรดาเสือทั้งสี่ตัวที่เราเคยคิดจะแข่งด้วย ขยับฐานะขึ้นไปอยู่ในกลุ่มของประเทศที่พัฒนาแล้ว แถมยังก้าวหน้าจนเรายากจะตามทัน เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่พัฒนาสูงสุดของโลกอยู่ในอันดับที่ 9 และอันดับ 1 ของเอเชีย ส่วนฮ่องกง เกาหลีใต้อยู่ในอันดับประเทศที่พัฒนาแล้วของโลกอันดับที่ 15 ส่วนไต้หวันจัดอยู่ในกลุ่ม ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าของ IMF โดยนโยบายหลักของประเทศสี่เสือคือการสนับสนุนการส่งออกและการเป็นชาติอุตสาหกรรม
เมื่อเอเชียไม่ไหว อาเซียนก็ได้วะ..!!
หลังจากที่สิ้น ลี กวน ยู อดีตผู้นำสิงคโปร์ ในย่านอาเซียนนี้ก็มีผู้นำอย่าง มหาเธร์ อดีตนายกฯมาเลเซียและ ดร..ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯประเทศไทย ที่ต่างชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษ ไทยกับมาเลเซียแข่งขันจะเป็นชาติเบอร์สองที่ตามหลังสิงค์โปร์ในด้านเศรษฐกิจ แต่ด้วยความได้เปรียบในเรื่องจำนวนประชากรที่มากกว่า ทำให้ไทยมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า จึงได้เปรียบมาเลเซียนิดๆในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย และด้วยวิสัยทัศน์การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาล ดร.ทักษิณในสมัยแรก (2544-2548) ไทยดูเป็นต่อมาเลย์อยู่หลายช่วงตัว ทำท่าที่จะขยับฐานะประเทศให้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ตามหลังสิงค์โปร์ที่ทำได้แล้วเป็นประเทศแรกในกลุ่มอาเซียน
แต่ก็ยังได้แค่ฝันเหมือนเดิม เพราะการกลับมาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สองของ ดร.ทักษิณ นั้น ถูกต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่ม พันธมิตร ที่ปลุกระดมด้วยวาทะกรรมสร้างความเกลียดชังกันเองของคนไทย จนเหตุการณ์ลุกลามบานปลายและเป็นเหตุให้กองทัพฉวยโอกาสยึดอำนาจ ขณะที่ ดร.ทักษิณเดินทางไปต่างประเทศ
เป้าหมายที่จะเป็นเบอร์สองของอาเซียนก็ลอยหายไปพร้อมๆกับการโค่นอำนาจ ดร.ทักษิณ
และน่าจะคงพอจำกันได้อยู่ ว่าเป้าหมายในช่วงสมัย คมช. รัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ คิดจะแข่งกับใคร..?
ประเทศไทยปรับเป้าหมายใหม่อีกครั้ง เพื่อจะแข่งกับเวียดนาม เพื่อเป็นอันสามของอาเซียน และรับช่วงเป้าหมายนี้มาในอีกหลายรัฐบาลให้หลัง ทั้งรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ,สมชาย วงศ์สวัสดิ์, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนมาถึงรัฐบาลของ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 4 รัฐบาลในระยะเวลา 7 ปีกว่า เป้าหมายนี้ก็ดูไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย เพราะความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงอยู่และได้แบ่งประชาชนออกเป็นสองฝ่าย ใช้ความรุนแรงเป็นเกมส์ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองแทนการต่อสู้กันตามกฎกติกา
และเมื่อคณะ รสช.ยึดอำนาจด้วยอ้างเหตุผลเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ เป้าหมายทางเศรษฐกิจเราเป็นเช่นใด ยังคงมีอยู่และอยู่ที่เวียดนามไหม หรือถูกลดระดับลงมาคิดจะมาแข่งกว่าประเทศที่ด้อยกว่านั้น อย่าง พม่า ลาว เขมร ผมว่าคนที่ติดตามการเมืองอย่างคนในราชดำเนิน คงคิดหาคำตอบได้เอง โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากบอก
แต่คำถามที่ผมอยากจะถามคนในราชดำเนินแห่งนี้ คือ ท่านคิดว่าที่ประเทศไทยของเราไปไม่ถึงฝั่งฝันในด้านเศรษฐกิจ เป็นเพราะอะไร..?
ทุกวันนี้ประเทศเราป่วยเพราะใคร..?
ทำไมกลายเป็นประเทศขี้โรคที่รักษาอาการทางเศรษฐกิจไม่ได้สักที..?
มีคนอย่าง พลเอกชาติชาย หรือ ดร.ทักษิณ น้อยเกินไป..ฦ
หรือว่า มี.......? หยุดแค่นี้ดีกว่า ถามไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด ช่างมันเถอะครับ คิดซะว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกัน
ใครที่คาดเดาคำถามได้ ก็ไม่จำเป็นต้องตอบออกมา รู้คำตอบแล้วก็เก็บมันไว้ในใจท่านนั้นแหละดีแล้ว
*ปล. จริงๆอย่างเขียนไล่ตั้งแต่ช่วง 2475 เรื่อยมา จะได้เห็นว่า ครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าประเทศเราเหนือกว่าเกาหลีใต้ทางด้านเศรษฐกิจและมองญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายสำคัญที่ไทยจะแข่งขันด้วย อยากจะเอามาเล่าให้ฟัง ว่าแนวคิดแบบนั้นเกิดในช่วงไหน และอยากเล่าเรื่องของประเทศที่เคยถูกฝรั่งตะวันตกดูถูกว่าเป็น ขี้โรคเอเชียด้วย แต่สุดท้ายก็คิดว่า ถ้าเขียนจริงๆก็คงไม่มีคนอ่าน เพราะมันคงมีเนื้อหายาวเกินไป เลยเขียนแค่ที่จำได้เอาเฉพาะช่วง 20 กว่าปีมานี้ก็พอ แค่นี้ก็ทำให้คนเขียนอย่างผม ท้อใจมากพอดูแล้วครับ ที่เห็นประเทศชาติเราเป็นเช่นนี้
*ต้องใช้ตัวเลข ไอพี ลงบทความแล้วนะครับ ไม่ไหวครับ เขียนอะไรก็ดูจะผิดกฎหมายไปเสียหมด เปลืองซิมมากๆ และก็เหมือนเดิมนะครับ ผมขอหลีกเลี่ยงการสนทนาที่ไม่สร้างสรรค์ หรือสร้างสรรค์แต่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของอมยิ้มนะครับ ไม่ไหวครับ โดนอุ้มบ่อยเกิน
บางทีก็ท้อนะครับ เขียนอย่างนี้ ยังโดนอุ้ม
ขอบคุณครับ
นายพระรอง