ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยอินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ 14 วัน
ตอนที่ 12 ภูเขาไฟมายน ดาราก้า (Daraga) อัลเบ (Albay) ฟิลิปปินส์

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2558 : ออกจากที่พักเวลา 07.30 น. เดินออกจากโรงแรม ไปหาข้าวกิน เช้านี้มีต้มยำปลาใส่พริกชี้ฟ้าสีเขียวทั้งขั้วถ้วยละ 1 เม็ด แบบใครอยากเผ็ดก็เชิญ น้ำต้มยำเปรี้ยวเค็มถูกใจ ไม่รู้เขาใส่อะไรดับกลิ่นคาว ในถ้วยมีผักกาดขาวใบจิ๋ว 2 ใบ ข้าวคนละจาน ต้มยำปลาคนละ 1 ชิ้น ราคา 120 เปโซ แล้วเดินออกไปซื้อส้ม ถามแม่ค้าถึงวิธีการเดินทางไป Grand Terminal แม่ค้าวัยรุ่นเรียกให้พ่อมาคุย เขาบอกให้เรียกสามล้อแบบพ่วงข้างมอเตอร์ไซด์ ค่าโดยสารคนละ 12 เปโซ ตอนลงรถส่งเงินให้ 25 เปโซ รับเงินแล้วทำเฉยอีก เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับการไม่ทอนเงิน
ถึงสถานีขนส่ง Sorsogon Grand Terminal ถามสาวที่นั่งอยู่ว่า รถไปมะนิลา ออกจากที่นั่นใช่ไหม เธอตอบว่าใช่ แต่ต้องไปซื้อตั๋วก่อน เดินไปยังไม่ทันถึงก็มีคนวิ่งมาบอกว่า มะนิลา ซื้อตั๋วกับผม เขาพาไปที่ช่องขายตั๋ว ป้าถามว่า รถธรรมดามีไหม เขาบอกว่า เป็นเที่ยว 17.00 น. เรานึกถึงขาไปแล้วสยอง ออก 5 โมงเย็นกว่าจะถึงก็ตกเครื่องกันพอดี จึงถามรถปรับอากาศ เขาบอกว่า ออกตอนบ่าย 3
ป้าถามว่ารถตอนเช้าไม่มีหรือ เขาบอกว่า ต้องจองเท่านั้นจึงจะไปได้ รถปรับอากาศจะถึงมะนิลาตอนตี 4 ป้าถามย้ำว่า ถึงตี 4 แน่นะ เขาบอกว่าแน่นอน เราจึงตกลงไปรถปรับอากาศ ราคาตั๋วคนละ 887 เปโซ ส่งเงินใบละ 500 เปโซให้ 4 ใบ เขาบอกให้รอเงินทอนเขาต้องไปแลก ทอนขาดไป 1 เปโซ ป้าทำใจแล้วว่าคงเหมือนที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่ เขาไปหามาให้ เป็นเหรียญเก่ามาก

นั่งรอให้ถึงเวลารถออก ฆ่าเวลาโดยการพิมพ์รายงาน แต่พอถึงเที่ยงวัน เครื่องก็เตือนว่าแบ็ตใกล้หมด ต้องเลิกพิมพ์ ห้องน้ำที่สถานีขนส่งห้ามข้ามเขตกัน ด้านหนึ่งเป็นของรถจี๊ปนี่ รถตู้ กับรถสามล้อ อีกด้านหนึ่งเป็นของรถบัส ค่าเข้าห้องน้ำ 5 เปโซ ต้องหิ้วน้ำเข้าไปเอง พวกผู้ชายไม่มีใครยอมเสียเงิน พวกเขาแค่เดินเข้าไปในดงวัชพืชข้างอาคารก็ปลดทุกข์ได้แล้ว ลุงก็ทำเหมือนพวกเขา

ความจริงสถานีขนส่งมีทำเลดีมาก แต่การจัดการไม่ดี แทนที่จะหันหน้าไปทางทะเล กลับหันข้างให้ทะเล และด้านที่ใกล้ทะเลเป็นป่า มีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด ถ้าปรับให้เป็นลานไปจนติดทะเล ปลูกไม้ประดับและต้นไม้ให้ร่มเงา จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง ตอนเที่ยงครึ่งพายุพัดกระหน่ำ หลังคาที่ไม่ได้มาตรฐานเปิดออก น่ากลัวจะปลิวไปถูกรถที่จอดอยู่บนลาน ฝนสาดเข้าไปในอาคาร พวกแม่ค้า พ่อค้า รีบเอาผ้าคลุมร้านไม่ให้สินค้าถูกฝน สินค้าที่ขาย เป็นของที่ระลึก มีตะกร้า กระเป๋า ทำจากใบมะพร้าว ใบลาน ขนมประเภทแป้ง ดูเหมือนแนวคิดทางด้านสร้างสรรค์ไม่ค่อยจะมี ของทีทำจากกะลามะพร้าว ก็ไม่เคลือบแชลแล็ค ฝีมือไม่ประณีต ขนมที่ทำจากแป้งก็ไม่ใส่มะพร้าว ทั้งๆ ที่เป็นถิ่นมะพร้าว มีแต่อาหารที่ประเคนใส่มะพร้าวเกือบทุกชนิด มื้อกลางวันกินข้าวกับปลาตัวเล็กที่ดูเหมือนงบแต่ไม่ใช่ แค่คั่วกับน้ำมันมะพร้าวใส่เกลือ โชคดีที่สั่งแค่จานเดียวก่อน มันเค็มจนกินเล่นไม่ได้ มีน้ำซุปทำจากปลามีกลิ่นคาว ไม่ได้ใส่ใบอะไรดับกลิ่น ข้าว 2 จาน ปลา 1 จานเล็ก แกงถั่วเขียว 1 ถ้วยเล็กๆ ราคา 50 เปโซ ทำให้เรางงในความถูกอย่างไม่น่าเชื่อ คนฟิลิปปินส์เมื่อพ้นวัยหนุ่มสาวเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ไม่ว่าอ้วนหรือผอมล้วนมีพุงน่าจะเพราะอาหารเป็นเหตุ นอกจากจะเป็นกะทิแล้ว ยังไม่มีผักอีก แม่ค้าสาวลูก 2 ร้านที่ป้าไปนั่งข้างๆ พุงใหญ่มาก ป้าคิดว่าเธอท้อง จึงถือวิสาสะใช้มือแตะท้องที่นุ่มๆ ของเธอ เธอยิ้มอายๆ บอกว่า อ้วน น่าเสียดาย อายุไม่น่าจะเกิน 40 ปี คนที่เดินขายขนมก็เป็นแป้ง ป้าซื้อไข่เป็ดต้มใบเล็กๆ 3 ใบ 25 เปโซ
รถเข้าสถานีเวลา 14.30 น.แต่กว่าจะออกก็ 15.30 น. เปิดแอร์เย็นมาก เราได้ที่นั่งเบาะหลังสุด ไม่มีสิทธิ์กระดิกกระเดี้ยเพราะข้างหน้าก็ติด ข้างหลังก็ติด ทุกคนที่ขึ้นมาล้วนคุ้นเคย พวกเขาและเธอมีหมวก หรือ ผ้าคลุมหัว มีเสื้อกันหนาว ใส่ถุงเท้าถุงมือเตรียมพร้อม ถึงอย่างไรก็ทำให้คนปวดปัสสาวะอยู่ดี รถวิ่งไปได้ 2 ชั่วโมง แวะจอดให้เข้าห้องน้ำที่ปั๊มในเมือง ดาราก้า (Daraga) ที่มีเมืองใหญ่ชื่อ อัลเบ (Albay) เป็นเมืองในหุบเขาค่าเข้าห้องน้ำ 5 เปโซ
ทุกที่ไม่ว่าจะเข้าคิวทำอะไร ในฟิลิปปินส์มีคนเห็นแก่ตัวปาดหน้าคนอื่นเสมอ บางทีคนที่ปากไวก็ตะโกนใส่หน้า แต่พวกเขา และเธอก็ทำมึน ไม่ใส่ใจขอให้ได้แซงคิวแล้วทำได้ก็พอ ทุกที่มีคนเข้าไปทีละ 3 คน ทั้งๆ ที่โถส้วมเล็กและเตี้ยสงสัยจะเข้าไปเอาคิวในห้อง ปั๊มที่รถจอดเป็นปั๊มที่อยู่ใกล้ภูเขาไฟ มายน (Mayon) สูง 2,462 เมตร ในขณะที่ 3,376 เมตร และดอยอินทนนท์สูง 2,565 เมตร

เราได้เห็นภูเขาไฟตระหง่านอยู่ตรงหน้า ภูเขาไฟมายนยังมีพลังอยู่ ที่ปากปล่องก็มีเมฆสีขาวปกคลุมแม้อากาศจะไม่เย็น คงเป็นเพราะไออุ่นที่อยู่ลึกลงไปแทรกซึมขึ้นมาปะทะความเย็นที่ปากปล่อง จึงทำให้เกิดหมอกที่มีลักษณะเหมือนเมฆ ภูเขาไฟมายนปะทุครั้งสุดท้ายในปี 1984 แต่ก็ไม่ได้รุนแรง และดูเหมือนว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆ ก็ไม่ได้วิตกกังวลใดๆ เกี่ยวกับการระเบิดของภูเขาไฟที่มีหญ้าเขียวๆ ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด
ภูเขาไฟที่อยู่ห่างไกลมีทะเลสาบสวยงามชื่อ Buluzan เป็นชื่อเดียวกับทะเลสาบ เราคิดว่ารถแอร์คงไม่มีคนขึ้นไปขายของ ตอนรถจอดก็มีเหมือนกัน ขนมประเภทแป้งตามเคย เรามีขนมปังและพายที่ซื้อจากร้านขนมอบตอนก่อนเข้าที่พักวันก่อน ขนมที่คนนิยม น่าเสียดาย ที่ใส่นมเนยน้อย น่าจะแทนด้วยกะทิก็ไม่ได้ใส่ พวกเขาชอบกินแป้งๆๆๆๆๆ กันจริงๆ ถ้าคนไทยไปทำแข่งคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย

ขนมและส้มทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปเดินหาซื้อ รถไปถึง Araneta Bus Station ในเวลา 06.30 น. เราเดินไปหารถจี๊ปนี่ หรือ รถบัส ตามที่สอบถามจากหน้าสถานีขนส่ง แต่ไม่มี ตำรวจจราจรแนะนำให้เราไปรถ MRT เดินผ่านตลาด Farmer Market ร้านขายข้าวสารอยู่ด้านหน้า ข้างในเป็นหมู ปลา ไก่ เนื้อ เราเห็นหัวปลาใหญ่มาก ใหญ่กว่าหัวคน เวลาเดินต้องคอยระวังเพราะพื้นเฉอะแฉะ และกลิ่นคาวคละคลุ้ง
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2558 : ทางผ่านมีร้านขายของทอด มีหมู ไก่ ปูนา ปลา ฯลฯ เราสั่งปลาน้อยทอดพร้อมข้าว 2 ชุด ชุดละ 60 เปโซ พ่อค้าหนุ่มเอาปลาที่ทอดแล้ว ไปทอดใหม่ในน้ำมันที่ร้อน ทำให้ปลากรอบน่ากิน แต่เขาเอาใส่กล่องโฟมทันที ทำให้โฟมละลาย ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของการปนเปื้อนเลย ข้างๆ ที่ขายของทอด มีซาละเปาจัมโบ้ขาย ป้าจึงซื้อ 2 ลูก ลูกละ 25 เปโซ แล้วก็เดินไปสถานี LRT
Araneta-Cubao คือ ชื่อของสถานี คนยืนเข้าแถวยาวจนพับแล้วพับอีก ซื้อตั๋วไปสถานีตั๊ฟท์ (Taft) เพื่อต่อรถไปสนามบิน มีทางเลือก 4 ทาง คือ LRT จี๊ปนี่ มอเตอร์ไซด์สามล้อ หรือ แท็กซี่ หลังจากเจ้าหน้าที่ให้เข้าสถานีได้ ก็ขึ้นไปที่ชานชาลา เวลาในขณะนั้น 08.10 น. คนยืนรอหลายพันคน ที่สงสัยว่าทำไมไม่ให้เดินเข้าไปในสถานีก็หายสงสัย เพราะคนข้างบนยังไม่ขยับ จึงต้องกักคนไว้ข้างล่าง รถแต่ละขบวนเข้าสถานีก็เต็มจากต้นทางมาแล้ว เจ้าหน้าที่ให้เราย้ายไปย้ายมา จนเราต้องไปต่อท้ายแถวอยู่ 2 ครั้ง

มีคนเห็นแก่ตัวทุกแถวที่เราเข้า แม้จะถูกเขาตะโกนใส่หน้าแต่ละคนก็ทำมึนเอาหูหวนลม เราไม่เคยเห็นที่ไหนที่คนต้องเบียดขนาดนั้น ตอนที่เราไปเที่ยว 5 หมู่บ้านมรดกโลกที่ลาสเปเซีย อิตาลี ก็แน่นเฉพาะขบวนแรกเพราะคนส่วนใหญ่ไปรอแต่เช้า และมันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนจึงแน่นขนาดนั้น ขบวนต่อไปก็สบายๆ แต่ที่มะนิลา แน่นทุกขบวน คนแน่นขนาดนั้นยังมีรถสลับ 2 ตู้ กับ 8 ตู้ แทนที่จะจัดขบวนละ 20 ตู้ ถ้าเป็นเอกชนจัดการคงรวยไม่รู้เรื่องไปแล้ว
ตอนยืนรอก็เบียดกัน ลูกเล็กเด็กแดงก็ถูกผู้ใหญ่ยืนเบียด ต่างหูป้าหลุดไปหนึ่งข้างโดยไม่รู้ตัว เราได้ขึ้นขบวนที่ 16 เวลา 10.10 น. ยืนเข้าคิวอยู่ 2 ชั่วโมงเต็มๆ ตอนขึ้นก็ไม่ต้องเดินเองถูกเขาเบียดจนเข้าไปได้เองเพราะเราอยู่เป็นคนที่ 2 ของแถวตอนลึกจาก 4 เป็น 6 แถว พอเด็กเข้าไปอยู่ในตู้ที่ปิด มองอะไรไม่เห็นก็ร้องกันกระจองอแง มีดีอยู่ก็ตรงให้เด็กเล็ก คนพิการและผู้อาวุโสได้ขึ้นตู้หน้าสุด เราจึงได้ยืนอยู่ข้างหลังคนขับ

เวลากระชั้นชิด ตอนลงจาก MRT ยังไปเจอเจ้าหน้าที่พูดไม่รู้เรื่อง ขอออกก็ไม่ให้ออก เอาตั๋วของเราไปให้คนขายตั๋วต่อราคาให้ พอดีคนขายตั๋วพูดรู้เรื่อง จึงได้ออก ทางออกก็หายากอีก พอออกจากสถานีได้ก็ลิ่วไปหามอเตอร์ไซด์สามล้อ มีเด็กมาทำท่าหาแท็กซี่ให้ นาทีนั้นไม่รอช้าแล้ว เดินไปเจอมอเตอร์ไซด์สามล้อจอดอยู่ แต่ไม่มีคนขับ วิ่งต่อไปข้างหน้า มีแท็กซี่มา ถามว่าไปสนามบินเท่าไร เขาบอกว่าเป็นแท็กซี่มิเตอร์ เราจึงสบายใจว่าไม่ต้องมีการต่อรองและโก่งราคา

เราจะไปเทอร์มินอล 3 แท็กซี่ต้องไปกลับรถ พอไปถึงก็วิ่งไปเช็คอิน เวลายังพอมีสำหรับ่การหาที่ชาร์จแบ็ต ได้ชาร์จแบ็ตต่อชีวิตแล้วสบายใจ เดินไปหาเกต เรารีบแทบตาย เครื่องบินดีเลย์อีก จาก 12.40 น. กว่าจะได้ออกเวลา13.25 น. ทำให้ไปถึงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเปลี่ยนเครื่องช้า
[CR][SR] “ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยอินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ 14 วัน ตอนที่ 12 ภูเขาไฟมายน ดารากา ฟิลิปปินส์
ตอนที่ 12 ภูเขาไฟมายน ดาราก้า (Daraga) อัลเบ (Albay) ฟิลิปปินส์
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2558 : ออกจากที่พักเวลา 07.30 น. เดินออกจากโรงแรม ไปหาข้าวกิน เช้านี้มีต้มยำปลาใส่พริกชี้ฟ้าสีเขียวทั้งขั้วถ้วยละ 1 เม็ด แบบใครอยากเผ็ดก็เชิญ น้ำต้มยำเปรี้ยวเค็มถูกใจ ไม่รู้เขาใส่อะไรดับกลิ่นคาว ในถ้วยมีผักกาดขาวใบจิ๋ว 2 ใบ ข้าวคนละจาน ต้มยำปลาคนละ 1 ชิ้น ราคา 120 เปโซ แล้วเดินออกไปซื้อส้ม ถามแม่ค้าถึงวิธีการเดินทางไป Grand Terminal แม่ค้าวัยรุ่นเรียกให้พ่อมาคุย เขาบอกให้เรียกสามล้อแบบพ่วงข้างมอเตอร์ไซด์ ค่าโดยสารคนละ 12 เปโซ ตอนลงรถส่งเงินให้ 25 เปโซ รับเงินแล้วทำเฉยอีก เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับการไม่ทอนเงิน
ถึงสถานีขนส่ง Sorsogon Grand Terminal ถามสาวที่นั่งอยู่ว่า รถไปมะนิลา ออกจากที่นั่นใช่ไหม เธอตอบว่าใช่ แต่ต้องไปซื้อตั๋วก่อน เดินไปยังไม่ทันถึงก็มีคนวิ่งมาบอกว่า มะนิลา ซื้อตั๋วกับผม เขาพาไปที่ช่องขายตั๋ว ป้าถามว่า รถธรรมดามีไหม เขาบอกว่า เป็นเที่ยว 17.00 น. เรานึกถึงขาไปแล้วสยอง ออก 5 โมงเย็นกว่าจะถึงก็ตกเครื่องกันพอดี จึงถามรถปรับอากาศ เขาบอกว่า ออกตอนบ่าย 3
ป้าถามว่ารถตอนเช้าไม่มีหรือ เขาบอกว่า ต้องจองเท่านั้นจึงจะไปได้ รถปรับอากาศจะถึงมะนิลาตอนตี 4 ป้าถามย้ำว่า ถึงตี 4 แน่นะ เขาบอกว่าแน่นอน เราจึงตกลงไปรถปรับอากาศ ราคาตั๋วคนละ 887 เปโซ ส่งเงินใบละ 500 เปโซให้ 4 ใบ เขาบอกให้รอเงินทอนเขาต้องไปแลก ทอนขาดไป 1 เปโซ ป้าทำใจแล้วว่าคงเหมือนที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่ เขาไปหามาให้ เป็นเหรียญเก่ามาก
นั่งรอให้ถึงเวลารถออก ฆ่าเวลาโดยการพิมพ์รายงาน แต่พอถึงเที่ยงวัน เครื่องก็เตือนว่าแบ็ตใกล้หมด ต้องเลิกพิมพ์ ห้องน้ำที่สถานีขนส่งห้ามข้ามเขตกัน ด้านหนึ่งเป็นของรถจี๊ปนี่ รถตู้ กับรถสามล้อ อีกด้านหนึ่งเป็นของรถบัส ค่าเข้าห้องน้ำ 5 เปโซ ต้องหิ้วน้ำเข้าไปเอง พวกผู้ชายไม่มีใครยอมเสียเงิน พวกเขาแค่เดินเข้าไปในดงวัชพืชข้างอาคารก็ปลดทุกข์ได้แล้ว ลุงก็ทำเหมือนพวกเขา
ความจริงสถานีขนส่งมีทำเลดีมาก แต่การจัดการไม่ดี แทนที่จะหันหน้าไปทางทะเล กลับหันข้างให้ทะเล และด้านที่ใกล้ทะเลเป็นป่า มีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด ถ้าปรับให้เป็นลานไปจนติดทะเล ปลูกไม้ประดับและต้นไม้ให้ร่มเงา จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง ตอนเที่ยงครึ่งพายุพัดกระหน่ำ หลังคาที่ไม่ได้มาตรฐานเปิดออก น่ากลัวจะปลิวไปถูกรถที่จอดอยู่บนลาน ฝนสาดเข้าไปในอาคาร พวกแม่ค้า พ่อค้า รีบเอาผ้าคลุมร้านไม่ให้สินค้าถูกฝน สินค้าที่ขาย เป็นของที่ระลึก มีตะกร้า กระเป๋า ทำจากใบมะพร้าว ใบลาน ขนมประเภทแป้ง ดูเหมือนแนวคิดทางด้านสร้างสรรค์ไม่ค่อยจะมี ของทีทำจากกะลามะพร้าว ก็ไม่เคลือบแชลแล็ค ฝีมือไม่ประณีต ขนมที่ทำจากแป้งก็ไม่ใส่มะพร้าว ทั้งๆ ที่เป็นถิ่นมะพร้าว มีแต่อาหารที่ประเคนใส่มะพร้าวเกือบทุกชนิด มื้อกลางวันกินข้าวกับปลาตัวเล็กที่ดูเหมือนงบแต่ไม่ใช่ แค่คั่วกับน้ำมันมะพร้าวใส่เกลือ โชคดีที่สั่งแค่จานเดียวก่อน มันเค็มจนกินเล่นไม่ได้ มีน้ำซุปทำจากปลามีกลิ่นคาว ไม่ได้ใส่ใบอะไรดับกลิ่น ข้าว 2 จาน ปลา 1 จานเล็ก แกงถั่วเขียว 1 ถ้วยเล็กๆ ราคา 50 เปโซ ทำให้เรางงในความถูกอย่างไม่น่าเชื่อ คนฟิลิปปินส์เมื่อพ้นวัยหนุ่มสาวเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ไม่ว่าอ้วนหรือผอมล้วนมีพุงน่าจะเพราะอาหารเป็นเหตุ นอกจากจะเป็นกะทิแล้ว ยังไม่มีผักอีก แม่ค้าสาวลูก 2 ร้านที่ป้าไปนั่งข้างๆ พุงใหญ่มาก ป้าคิดว่าเธอท้อง จึงถือวิสาสะใช้มือแตะท้องที่นุ่มๆ ของเธอ เธอยิ้มอายๆ บอกว่า อ้วน น่าเสียดาย อายุไม่น่าจะเกิน 40 ปี คนที่เดินขายขนมก็เป็นแป้ง ป้าซื้อไข่เป็ดต้มใบเล็กๆ 3 ใบ 25 เปโซ
รถเข้าสถานีเวลา 14.30 น.แต่กว่าจะออกก็ 15.30 น. เปิดแอร์เย็นมาก เราได้ที่นั่งเบาะหลังสุด ไม่มีสิทธิ์กระดิกกระเดี้ยเพราะข้างหน้าก็ติด ข้างหลังก็ติด ทุกคนที่ขึ้นมาล้วนคุ้นเคย พวกเขาและเธอมีหมวก หรือ ผ้าคลุมหัว มีเสื้อกันหนาว ใส่ถุงเท้าถุงมือเตรียมพร้อม ถึงอย่างไรก็ทำให้คนปวดปัสสาวะอยู่ดี รถวิ่งไปได้ 2 ชั่วโมง แวะจอดให้เข้าห้องน้ำที่ปั๊มในเมือง ดาราก้า (Daraga) ที่มีเมืองใหญ่ชื่อ อัลเบ (Albay) เป็นเมืองในหุบเขาค่าเข้าห้องน้ำ 5 เปโซ
ทุกที่ไม่ว่าจะเข้าคิวทำอะไร ในฟิลิปปินส์มีคนเห็นแก่ตัวปาดหน้าคนอื่นเสมอ บางทีคนที่ปากไวก็ตะโกนใส่หน้า แต่พวกเขา และเธอก็ทำมึน ไม่ใส่ใจขอให้ได้แซงคิวแล้วทำได้ก็พอ ทุกที่มีคนเข้าไปทีละ 3 คน ทั้งๆ ที่โถส้วมเล็กและเตี้ยสงสัยจะเข้าไปเอาคิวในห้อง ปั๊มที่รถจอดเป็นปั๊มที่อยู่ใกล้ภูเขาไฟ มายน (Mayon) สูง 2,462 เมตร ในขณะที่ 3,376 เมตร และดอยอินทนนท์สูง 2,565 เมตร
เราได้เห็นภูเขาไฟตระหง่านอยู่ตรงหน้า ภูเขาไฟมายนยังมีพลังอยู่ ที่ปากปล่องก็มีเมฆสีขาวปกคลุมแม้อากาศจะไม่เย็น คงเป็นเพราะไออุ่นที่อยู่ลึกลงไปแทรกซึมขึ้นมาปะทะความเย็นที่ปากปล่อง จึงทำให้เกิดหมอกที่มีลักษณะเหมือนเมฆ ภูเขาไฟมายนปะทุครั้งสุดท้ายในปี 1984 แต่ก็ไม่ได้รุนแรง และดูเหมือนว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆ ก็ไม่ได้วิตกกังวลใดๆ เกี่ยวกับการระเบิดของภูเขาไฟที่มีหญ้าเขียวๆ ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด
ภูเขาไฟที่อยู่ห่างไกลมีทะเลสาบสวยงามชื่อ Buluzan เป็นชื่อเดียวกับทะเลสาบ เราคิดว่ารถแอร์คงไม่มีคนขึ้นไปขายของ ตอนรถจอดก็มีเหมือนกัน ขนมประเภทแป้งตามเคย เรามีขนมปังและพายที่ซื้อจากร้านขนมอบตอนก่อนเข้าที่พักวันก่อน ขนมที่คนนิยม น่าเสียดาย ที่ใส่นมเนยน้อย น่าจะแทนด้วยกะทิก็ไม่ได้ใส่ พวกเขาชอบกินแป้งๆๆๆๆๆ กันจริงๆ ถ้าคนไทยไปทำแข่งคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย
ขนมและส้มทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปเดินหาซื้อ รถไปถึง Araneta Bus Station ในเวลา 06.30 น. เราเดินไปหารถจี๊ปนี่ หรือ รถบัส ตามที่สอบถามจากหน้าสถานีขนส่ง แต่ไม่มี ตำรวจจราจรแนะนำให้เราไปรถ MRT เดินผ่านตลาด Farmer Market ร้านขายข้าวสารอยู่ด้านหน้า ข้างในเป็นหมู ปลา ไก่ เนื้อ เราเห็นหัวปลาใหญ่มาก ใหญ่กว่าหัวคน เวลาเดินต้องคอยระวังเพราะพื้นเฉอะแฉะ และกลิ่นคาวคละคลุ้ง
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2558 : ทางผ่านมีร้านขายของทอด มีหมู ไก่ ปูนา ปลา ฯลฯ เราสั่งปลาน้อยทอดพร้อมข้าว 2 ชุด ชุดละ 60 เปโซ พ่อค้าหนุ่มเอาปลาที่ทอดแล้ว ไปทอดใหม่ในน้ำมันที่ร้อน ทำให้ปลากรอบน่ากิน แต่เขาเอาใส่กล่องโฟมทันที ทำให้โฟมละลาย ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของการปนเปื้อนเลย ข้างๆ ที่ขายของทอด มีซาละเปาจัมโบ้ขาย ป้าจึงซื้อ 2 ลูก ลูกละ 25 เปโซ แล้วก็เดินไปสถานี LRT
Araneta-Cubao คือ ชื่อของสถานี คนยืนเข้าแถวยาวจนพับแล้วพับอีก ซื้อตั๋วไปสถานีตั๊ฟท์ (Taft) เพื่อต่อรถไปสนามบิน มีทางเลือก 4 ทาง คือ LRT จี๊ปนี่ มอเตอร์ไซด์สามล้อ หรือ แท็กซี่ หลังจากเจ้าหน้าที่ให้เข้าสถานีได้ ก็ขึ้นไปที่ชานชาลา เวลาในขณะนั้น 08.10 น. คนยืนรอหลายพันคน ที่สงสัยว่าทำไมไม่ให้เดินเข้าไปในสถานีก็หายสงสัย เพราะคนข้างบนยังไม่ขยับ จึงต้องกักคนไว้ข้างล่าง รถแต่ละขบวนเข้าสถานีก็เต็มจากต้นทางมาแล้ว เจ้าหน้าที่ให้เราย้ายไปย้ายมา จนเราต้องไปต่อท้ายแถวอยู่ 2 ครั้ง
มีคนเห็นแก่ตัวทุกแถวที่เราเข้า แม้จะถูกเขาตะโกนใส่หน้าแต่ละคนก็ทำมึนเอาหูหวนลม เราไม่เคยเห็นที่ไหนที่คนต้องเบียดขนาดนั้น ตอนที่เราไปเที่ยว 5 หมู่บ้านมรดกโลกที่ลาสเปเซีย อิตาลี ก็แน่นเฉพาะขบวนแรกเพราะคนส่วนใหญ่ไปรอแต่เช้า และมันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนจึงแน่นขนาดนั้น ขบวนต่อไปก็สบายๆ แต่ที่มะนิลา แน่นทุกขบวน คนแน่นขนาดนั้นยังมีรถสลับ 2 ตู้ กับ 8 ตู้ แทนที่จะจัดขบวนละ 20 ตู้ ถ้าเป็นเอกชนจัดการคงรวยไม่รู้เรื่องไปแล้ว
ตอนยืนรอก็เบียดกัน ลูกเล็กเด็กแดงก็ถูกผู้ใหญ่ยืนเบียด ต่างหูป้าหลุดไปหนึ่งข้างโดยไม่รู้ตัว เราได้ขึ้นขบวนที่ 16 เวลา 10.10 น. ยืนเข้าคิวอยู่ 2 ชั่วโมงเต็มๆ ตอนขึ้นก็ไม่ต้องเดินเองถูกเขาเบียดจนเข้าไปได้เองเพราะเราอยู่เป็นคนที่ 2 ของแถวตอนลึกจาก 4 เป็น 6 แถว พอเด็กเข้าไปอยู่ในตู้ที่ปิด มองอะไรไม่เห็นก็ร้องกันกระจองอแง มีดีอยู่ก็ตรงให้เด็กเล็ก คนพิการและผู้อาวุโสได้ขึ้นตู้หน้าสุด เราจึงได้ยืนอยู่ข้างหลังคนขับ
เวลากระชั้นชิด ตอนลงจาก MRT ยังไปเจอเจ้าหน้าที่พูดไม่รู้เรื่อง ขอออกก็ไม่ให้ออก เอาตั๋วของเราไปให้คนขายตั๋วต่อราคาให้ พอดีคนขายตั๋วพูดรู้เรื่อง จึงได้ออก ทางออกก็หายากอีก พอออกจากสถานีได้ก็ลิ่วไปหามอเตอร์ไซด์สามล้อ มีเด็กมาทำท่าหาแท็กซี่ให้ นาทีนั้นไม่รอช้าแล้ว เดินไปเจอมอเตอร์ไซด์สามล้อจอดอยู่ แต่ไม่มีคนขับ วิ่งต่อไปข้างหน้า มีแท็กซี่มา ถามว่าไปสนามบินเท่าไร เขาบอกว่าเป็นแท็กซี่มิเตอร์ เราจึงสบายใจว่าไม่ต้องมีการต่อรองและโก่งราคา
เราจะไปเทอร์มินอล 3 แท็กซี่ต้องไปกลับรถ พอไปถึงก็วิ่งไปเช็คอิน เวลายังพอมีสำหรับ่การหาที่ชาร์จแบ็ต ได้ชาร์จแบ็ตต่อชีวิตแล้วสบายใจ เดินไปหาเกต เรารีบแทบตาย เครื่องบินดีเลย์อีก จาก 12.40 น. กว่าจะได้ออกเวลา13.25 น. ทำให้ไปถึงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเปลี่ยนเครื่องช้า
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น