เมื่อถ่านไฟเก่าปะทุ….ณ ตึกผู้ป่วยนอกในเช้าวันศุกร์ ของเดือนกุมภา
ผมเพิ่งฉลองอายุครบรอบสามสิบไปเมื่อเดือนก่อน ปัจจุบันเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทใหญ่โตมีชื่อเสียง ไม่ใช่แค่หน้าที่การงานที่ดีอย่างเดียวหรอกนะคุณ รูปร่างหน้าตาของผมนั้น ก็หล่อเหลาพอๆกับ เจษฎาภรณ์ ผลดี ทีเดียวละ อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ แต่เห็นใครๆเขาว่ากัน
แต่หน้าตาผมจะดี การงานจะมั่นคงหรือไม่ ดูจะไม่สำคัญเท่ากับปัญหนักอกที่ผมกำลังประสพ กับยายของผม ในเวลานี้
ใช่แล้วครับ คุณฟังไม่ผิดหรอก ยาย ซึ่งเป็นแม่ของแม่ ที่ไม่ธรรมดา
คุณคงอยากรู้แล้วละซิว่า ที่ว่ายายผมไม่ธรรมดานั้นน่ะ มันเป็นอย่างไร ถ้าอยากรู้ จะรอช้าอยู่ทำไม ตามผมมาซิครับ มารับรู้เรื่องราวของยายผม ที่เหลือเชื่อเสียกว่านวนิยาย
ที่โต๊ะอาหารเช้าวันจันทร์….
สมาชิกของบ้านทั้งสี่มานั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ผมแต่งตัวสุภาพแบบผม เหมือนกับทุกวัน เสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงสีดำผ้าเนื้อดี
“วันนี้ วันจันทร์ ต้องใส่สีเหลืองซิ ใส่เสื้อเทา กางเกงดำ ไว้ทุกข์ให้ใคร ใครตายเหรอ ” ยายขมวดคิ้วถามผม เบ้ปากใส่
“แล้วถ้าเกิดผมทำงานวันอาทิตย์ ผมมิต้องใส่เสื้อแดง กับกางสีแดง หรอกหรือ ยาย”ผมท้วง ผมเรียกยายเฉยๆ
โดยไม่มีคำว่า คุณนำหน้า
สำหรับผม จะมีคำว่าคุณ หรือไม่ ก็ไม่ได้ทำให้ ความรัก และความเคารพในตัวยายของผมน้อยลง แม้จะรู้สึกรำคาญยายบ้าง บางวาระ และโอกาสก็ตาม
“สีแดง แล้วไง “ยายร้องถามกวนๆ ก่อนจะ ยกเหตุผลแบบยายๆ ขึ้นมาอ้าง “สีแดง ดูแล้วสดใส จะใส่วันไหน ก็ดีทั้งนั้นแหละ รู้ไว้ด้วยเว้ย“ จบประโยค เว้ย โว้ย นักเลงแค่ไหน ดูเอาแล้วกัน
“แต่ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ นะยาย เออ ถ้าว่าเป็นพระเอกละครลิง ก็ว่าไปอย่าง”
“ที่เรื่องปากน่ะทำเป็นเก่ง ทีกับเรื่องผู้หญิง กลับไม่เอาไหน “
“ผม ไม่เอาไหนอย่างไร ว่ามาซิยาย ผมอยากรู้ ” ผมถามเสียงเข้ม โกรธตงิดๆ ที่ยายมาสะกิดปมด้อยของผม ที่ยายนั่นแหละเป็นคนสร้างขึ้นมา ด้วยการพูดซ้ำๆ ทุกวี่ทุกวัน กล่อมประสาทจนผมชักจะเริ่มคล้อยตามยาย ว่าการที่อายุสามสิบ แล้วยังไม่มีคู่ชีวิต มันเป็นความผิดชนิดให้อภัยไม่ได้
“ยังจะมีหน้ามาถาม อีก อายุปูนนี้ ใครต่อใครเขามีลูกมีเมียไปหมด มีแต่เราเท่านั้นที่โสด หรือว่าที่ไม่มี เพระว่าเราเป็น… ”ยายเว้นวรรค พร้อมกับยิ้มเหยียดที่มุมปาก มองผมด้วยสายตาแปลกๆพิกล
“ผมเป็นอะไร เหรอ ยาย บอกมาซิ ผมอยากรู้ ” ” ผมถามยายอย่างร้อนใจ ด้วยคำพูดอันมีนัยของยาย เรื่องหมูๆอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องฉลาดล้ำอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ต่อให้เด็กอมมือก็รู้ ว่าที่ยายพูดมานั้นหมายถึงอะไร
“กะเทย “ ยายตอบดังๆอย่างมั่นใจ และเสียงของยาย ราวกับมีดแหลมคม กรีดลงกลางใจผม ผมอ้าปากค้างมองยายอย่างไม่เชื่อสายตา พ่อกับแม่เองก็ดูจะตกใจไม่แพ้ผม
“ยาย”
“อะไร”
“ยายพูดอย่างนี้ ผมโกรธนะจะบอกให้ “ผมร้องออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะกล่าวต่อไปเร็วๆย่างขุ่นเคือง” เกิดใครไม่รู้มาได้ยินเข้า คิดว่าเรื่องที่ยายพูดเกี่ยวกับผมเป็นเรื่องจริง จะว่าไง”
“ก็ถ้าไม่เป็นก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไรนี่ หรือว่าที่เดือดเนื้อร้อนใจอยู่นี่ เป็นเพราะว่า …“ (ยายเว้นวรรคอีกแล้ว)
“ผมไม่ได้เป็นกระเทย จะให้ผมพูดกี่ร้อยครั้ง ว่าไม่ใช่ๆ” ผมโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะถามยาย
“ว่าแต่ยายเถอะ ถามจริงๆ ไปเอาความคิดนี้มากจากไหน “
“จะจากไหน ก็จากนี้นะซิ” กล่าวจบ ยายก็เอานิ้วชี้จิ้มแรงๆที่ศีรษะ “ ไม่ใช่ แก่ กระโหลก กะลา คิดเป็น จะบอกให้”
“คิดเป็น น่ะไม่ผิด แต่คิดในแง่ลบอย่างนี้ มันไม่เข้าท่า ยายพูดอย่างนี้กับผม ถามจริงๆ ไม่กลัวผมคิดมาก และเสียใจหรือไง ”
“ถ้ากลัว ก็คงไม่พูด “ยายตอบโดยไม่ยี่หระ ผมรู้แล้ว ว่ายายจะต้องตอบอย่างนี้ เพราะยายสนใจก็แต่ความคิดของตัวเอง คนอื่นไม่สนใจ
แม่เล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่ยายเป็นสาว ในบรรดาเพื่อนพ้องในกลุ่ม ยายเปรี้ยวกว่าใคร แถมโผงผาง ตรงไปตรงมา
อ้อมค้อมกับใครไม่เป็น ยกเว้นอยู่ก็แต่เรื่องนั้นเรื่องเดียว….
แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ขอผมอุบเรื่องความลับของยายไว้ก่อน รอให้ยายทำให้ผมโกรธมากๆ จนผมทนไม่ไหว เมื่อนั้นแหละ ผมจะเอาความลับของยายมาเผยแผร่ให้ทุกคนรู้ให้หมดเชียว
“หน่อย ศุกร์นี้ตอนเช้า ลางานสักวันได้ไหมลูก “ แม่ถามผมเรียบๆ
“ลาได้ครับแม่ ว่าแต่แม่ จะให้ผมลางานทำไม มีอะไรเหรอครับ”
“ศุกร์นี้ ยายมีนัดตรวจสุขภาพประจำปี พอดีแม่กับพ่อต้องไปงานเปิดร้านลุงชาญ เพื่อนพ่อ”
“แม่ก็เลยจะให้ผมพายายไปโรงพยาบาลแทนแม่ ใช่ไหมครับ “ ผมต่อให้ ก่อนที่แม่จะพูดจบ พร้อมกับทำหน้าเซ็ง แม่ยิ้มแห้งๆ ตอบไม่เต็มเสียง
“นะลูกนะ ไปเป็นเพื่อนยายให้แม่หน่อย “
“พูดไปเถอะจนปากจะฉีก ทำไมไม่ฟังฉันบ้าง ไปเองได้ ไม่ต้องให้ใครพาไป ”ยายที่นั่งฟังผมกับแม่ สนทนาขัดขึ้นมาดังๆ ทำเอาผมกับแม่มองหน้ากัน ส่วนพ่อ ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่พูดไม่จา เรื่องของเรื่องเพราะไม่อยากโดนลูกหลงนั่นเอง
“หนูรู้ ว่าแม่เก่ง แต่ถ้าเกิดไปเป็นลมเป็นแล้งกลางทางขึ้นมาใครจะดูแล ให้หน่อย ไปเป็นเพื่อนแม่นะดีแล้ว นึกว่าหนูขอร้องเถอะนะ “แม่พูดเท่านั้น ก็หันมาทางผม ” นะลูกนะ ลางานไปเป็นเพื่อนยายสักวัน แม่ขอร้อง”
“ได้ครับแม่ ไม่มีปัญหา” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก พร้อมกับมองยาย ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไว้ผมสั้นเพียงคอขาวโพลน สวมชุดลำลองสีส้มผ้าบาเต๊ะจุดขาว ที่กำลังตักข้าวต้มใส่ปากออย่างเอร็ดอร่อย ไปกับยายอีกแล้วเหรอเรา ผมถามตัวเองอย่างสับสน
เซ็งอ่ะ!
ปกติวันศุกร์ จะเป็นวันที่ผมรักที่สุด เพราะเป็นวันสุดสัปดาห์ รุ่งขึ้นก็เป็นวันหยุด แต่ศุกร์นี้ ผมไม่มีความสุข เพราะต้องพายอดคุณยายไปพบหมอ
พูดอย่างนี้ คุณอาจจะค่อน ว่าผมเป็นหลานประสาอะไร แค่ดูแลยายแค่นี้ ทำไม่ได้ แต่ผมอยากจะอธิบายให้คุณเข้าใจสักนิด
ถ้ายายผม เป็นอย่างยายคนอื่น อย่าว่าแต่แค่พายายไปโรงพยาบาล เลย ต่อให้โลกพระจันทร์ผมก็พาไปได้ แต่ที่ผมไม่อยากร่วมทางกับยาย ก็เพราะยายผม ไม่ธรรมดา อย่างที่บอก
นอกจากโผงผาง พูดจาไม่ไว้หน้าใครอย่างที่บอกมาแล้ว ยายยังชอบมากเลยครับ ชอบเอาเรื่องส่วนตัวของผมไปขยายให้ชาวบ้านชาวช่องรู้กัน
ถ้าเป็นเรื่องผมได้รับเกียรตินิยมอันดับสองของมหาลัยชื่อดัง หรือได้เหรียญทองว่ายน้ำเยาวชนของประเทศไทย ผมจะไปว่าทำไม แถมยังจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ยายเอาความดีผมไปตีแผ่ แต่นี่ตรงกันข้าม เรื่องของผมที่ยายเอาไปบอกใครต่อใคร มันทำให้ผมดูแย่ที่สุด
จะเรื่องอะไรละครับ ก็เรื่องตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมขี้เกียจอาบน้ำ เลยเป็นเกลื้อนที่หลัง น่าเกลียดน่ากลัว แล้วก็ยังเรื่องที่ผมชอบแคะขี้มูก เอาไปป้ายน้องชาย ทำให้น้องชายที่ ดิ้นพลาดๆ ร้องไห้ลั่นบ้าน เพราะขยะแขยง และกลัวสุดๆ
เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครเขาพูดกันหรอกครับ นอกจากยายเท่านั้นแหละ พูดกับคนรู้จักผมก็อายจะแย่ ยิ่งยายเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนแปลกหน้าผมก็อายแทบจะมุดดิน ซึ่งพอผมท้วง ยายก็ตอกกลับ
“ก็แล้วที่ฉันพูดมานั่น มันไม่จริงหรืออย่างไร “
ผมอับจน เถียงยายไม่ขึ้น ก็เลยหันไปหาเรื่องอื่น มาโจมตียาย
“แล้วเรื่องที่ยาย ชอบตัวเป็นแม่สื่อ ติดต่อคนโน้น คนนี้ ไม่ให้ผม ยายเคยถามผมสักคำ ว่าผมเต็มใจหรือเปล่า”
“ทำไมจะต้องถาม ในเมื่อฉันเป็นยายแก เออถ้าว่าฉันเป็นหลาน แก ก็ว่าไปอย่าง”
โอ๊ย ผมจะบ้าตาย เถียงก็แล้ว พูดก็แล้วแต่ไม่เคย เอาชนะนายได้สักที โดยเฉพาะเรื่องที่ยาย กลัวผมจะขึ้นคาน ทำตัวเป็นแม่สื่อ ขอให้เจอสาวๆ จะสวย หรือไม่ ไม่สน ยายเป็นต้องเอาผมประเคนให้กับพวกหล่อน ไม่เว้นแม้แต่คุณพยาบาล ที่กำลังวัดปรอท ในขณะที่ผมยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“คุณพยาบาลมีแฟนหรือยังจ้ะ “ ยายถามคุณพยาบาล ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มเขินๆ ตอบกลับมาอายๆ
“ยังเลยค่ะ “
“แล้วไม่คิด จะมีบ้างเหรอจ้ะ”
“คะ” พยาบาลสาวผู้เคราะห์ร้ายทำเสียงนั้นออกมา หันมามองผม อย่างจะขอความช่วยเหลือ ผมเองช่วยเหลืออะไรเธอไมได้ ตอนนี้ถ้าทำได้ ผมอยากจะได้ปี๊บสักใบจะได้เอามาคลุมหัวตัวเอง
“ยาย ไปถามอะไรคุณพยาบาลเขาอย่างนั้น เอ่อ ผมขอโทษนะครับ ยายผม เป็นอย่างนี้ประจำ” ตอนท้ายผมขอโทษคุณพยาบาล
“ติดต่อผู้หญิงให้หลานชาย ผิดกฎหมายข้อไหน มิทราบ ถามหน่อย ”
“เหอ” ไม่ใช่แต่ผมที่ร้องออกมาอย่างนั้น คุณพยาบาลเอง ก็ร้องออกมาอย่างผม ก่อนที่เราสองคนจะมองหน้ากันไปมาอย่างกระอักกระอ่วนใจยิ่ง
“ยาย นึกว่าผมขอร้องถอะนะ คราวหลังคราวหน้า อย่าไปพูดกับผู้หญิงเขาอย่างนั้น ตัวผมนะไม่เป็นไรหรอก แต่ผู้หญิงพวกนั้นเขาอาย ผมเห็นใจเขา” ผมบอกกับยายเมื่อเรามานั่งที่หน้าห้องตรวจ รอหมอเรียก
“ถ้าไม่อยากให้พูด ก็รีบๆหาแฟนเข้าซิ มีปัญหาหรือเปล่าละ“ ยายพูดจบ ก็สะบัดหน้าใส่ผม แล้วกวาดตาไปรอบๆ มองหาหลานสะใภ้คนต่อไป
ผมขัดใจยายสุดๆ แต่ ทำอะไรไม่ได้ จัดแจงล้วงไอโฟนรุ่นล่า ออกจากกระเป๋ากางเกง หาเกมต่อสู้มันๆมาเล่น ในโลกแห่งความจริง ผมพ่ายแพ้ให้กับยายตลอด แต่ในโลกแห่งความฝัน ที่ไม่มียายอยู่ด้วย ผมคือพระเอก ผู้ร้ายมาเป็นร้อย ผมฆ่าตายหมดเลย ยิงๆๆๆ ผมฆ่าคู่ต่อสู้ในเกม ศัตรูในจินตนาการของผม ร่วงผล็อยเป็นใบไม้ ตายเกลื่อน
ผมเล่นเกมไป เงี่ยหูฟังยาย พูดคุยกับคนที่นั่งใกล้ๆไปด้วย ในเรื่องสัพเพเหระ ยายพูดของยายคนเดียว ส่วนผู้โชคร้ายก็ฟังไป คนเก่าไป คนใหม่มา ยายก็คงยังพูดซ้ำซากในเรื่องของผม
“สวัสดีหนู มาโรงพยาบาล ไม่สบาย เป็นอะไรเหรอจ้ะ”
“หนูสบายดีค่ะ แต่พาคุณปู่มาเช็คร่างกาย”
เสียงหวานๆ ฟังดูคุ้นๆ ทำให้ผมที่กำลังยิงข้าศึกหูดับตับไหม้ เงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นหล่อนก็ตกใจ หล่อนเองเห็นผมก็ตกใจไม่แพ้กัน
“อ้าวคุณ “ เราร้องขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือใส่กัน
“อ้าว นี่เราสองคน รู้จักกันแล้วเหรอ” ยายถามแทรกขึ้นมาดังๆ มองหล่อนสลับกับผมไปมา “ อย่าบอกนะ ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”
“เปล่าค่ะ “
“เปล่าครับ”
เราปฎิเสธ ออกมาดังๆราวกับนัดกัน อีกครั้งแล้วซินะ ที่ใจของเราตรงกัน
“ไม่ใช่แฟน ถ้างั้นก็คงเป็นเพื่อนกันใช่ไหม “ ยายที่นั่งตรงกลางซักไซ้ นี่ถ้าไปบอกใครว่า ยายเป็นนักข่าวCNN ทุกคนต้องเชื่อสนิท
“เขาไม่ใช่เพื่อนผมหรอกยาย แต่เป็นแม่ค้าขายกาแฟ ร้านเขาอยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนที่ทำงานผมอยู่ชั้นสามในอาคารเดียวกัน ว่างๆผมก็เลยไปกินกาแฟร้านเขาประจำ ” ผมตอบยายยืดยาว
“นี่คุณ ฉันบอกกี่ครั้ง ว่าอย่าเรียกอย่างนี้ ทำไมไม่เคยฟัง ” หล่อนท้วงเสร็จก็นิ่วหน้าใส่
“คนค้าขาย เรียกพ่อค้า แม่ค้าก็ถูกแล้วนี่” ผมร้องบอกหล่อนผ่านยาย ที่นั่งอยู่ตรงกลาง
“คนปากเสียอย่างคุณ ใครมาชอบคุณ มีหวังโชคร้ายไปสิบชาติ”
“มันต้องอย่างนี้ซิหนู หนูพูดถูกใจยายมากเลย มาเป็นหลานสะใภ้ยายเถอะ ยายชอบหนูจริงๆ” ยายร้องบอกอย่างตื่นเต้น
หล่อนได้ยินก็อ้าปากค้าง พูดไม่ออก แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรกับยาย ก็พรวดลุกขึ้นยืนเร็วๆ ยายเห็นเช่นนั้นก็ร้องถาม
“อ้าว จะไปไหนละหนู “ ยายถาม ลุกตาม คงจะประทับใจ ความจัดจ้านของปากหล่อน ไม่อย่างนั้น คงไม่เอ่ยปากชวนหล่อนมาเป็นหลานสะใภ้
“คุณปู่หนูมานั่นแล้ว หนูเลยลาคุณยายเลยนะคะ ” กล่าวจบยกมือไหว้ เดินไปหาชายชรารุ่นราวใกล้เคียงกับยาย ที่เดินตรงมา
ยายมองตามไป แต่ทันทีที่เห็นชายชราที่ก้าวกระย่องกระแย่งตรงมา ก็อ้าปากค้างพูดไม่ออก ส่วน ชายชราที่ก้าวมาหาหลานสาว เห็นยายก็หยุดอยู่กับที่ เอาแต่มองมา ด้วยสีหน้าแปลกใจสุดๆ หลานสาวที่เข้าไปคล้องแขนยื่นหน้าไปถามใกล้ๆ
“เป็นอะไรไปคะคุณ ปู่ หมอว่าไงบ้าง”
ชายชราไม่ตอบหลานสาว หากค่อยๆแกะมือหลานสาวที่กุมออกช้าๆ ก้าวยาวๆมาหายาย ท่ามกลางความงุนงงของผม กับหล่อน เราสองคนพูดไม่ออกได้แต่มองหน้ากันไปมา
“สวัสดี สมหญิง”
เมื่อถ่านไฟเก่าปะทุ….ณ ตึกผู้ป่วยนอกในเช้าวันศุกร์ ของเดือนกุมภา
ผมเพิ่งฉลองอายุครบรอบสามสิบไปเมื่อเดือนก่อน ปัจจุบันเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทใหญ่โตมีชื่อเสียง ไม่ใช่แค่หน้าที่การงานที่ดีอย่างเดียวหรอกนะคุณ รูปร่างหน้าตาของผมนั้น ก็หล่อเหลาพอๆกับ เจษฎาภรณ์ ผลดี ทีเดียวละ อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ แต่เห็นใครๆเขาว่ากัน
แต่หน้าตาผมจะดี การงานจะมั่นคงหรือไม่ ดูจะไม่สำคัญเท่ากับปัญหนักอกที่ผมกำลังประสพ กับยายของผม ในเวลานี้
ใช่แล้วครับ คุณฟังไม่ผิดหรอก ยาย ซึ่งเป็นแม่ของแม่ ที่ไม่ธรรมดา
คุณคงอยากรู้แล้วละซิว่า ที่ว่ายายผมไม่ธรรมดานั้นน่ะ มันเป็นอย่างไร ถ้าอยากรู้ จะรอช้าอยู่ทำไม ตามผมมาซิครับ มารับรู้เรื่องราวของยายผม ที่เหลือเชื่อเสียกว่านวนิยาย
ที่โต๊ะอาหารเช้าวันจันทร์….
สมาชิกของบ้านทั้งสี่มานั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะ ผมแต่งตัวสุภาพแบบผม เหมือนกับทุกวัน เสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงสีดำผ้าเนื้อดี
“วันนี้ วันจันทร์ ต้องใส่สีเหลืองซิ ใส่เสื้อเทา กางเกงดำ ไว้ทุกข์ให้ใคร ใครตายเหรอ ” ยายขมวดคิ้วถามผม เบ้ปากใส่
“แล้วถ้าเกิดผมทำงานวันอาทิตย์ ผมมิต้องใส่เสื้อแดง กับกางสีแดง หรอกหรือ ยาย”ผมท้วง ผมเรียกยายเฉยๆ
โดยไม่มีคำว่า คุณนำหน้า
สำหรับผม จะมีคำว่าคุณ หรือไม่ ก็ไม่ได้ทำให้ ความรัก และความเคารพในตัวยายของผมน้อยลง แม้จะรู้สึกรำคาญยายบ้าง บางวาระ และโอกาสก็ตาม
“สีแดง แล้วไง “ยายร้องถามกวนๆ ก่อนจะ ยกเหตุผลแบบยายๆ ขึ้นมาอ้าง “สีแดง ดูแล้วสดใส จะใส่วันไหน ก็ดีทั้งนั้นแหละ รู้ไว้ด้วยเว้ย“ จบประโยค เว้ย โว้ย นักเลงแค่ไหน ดูเอาแล้วกัน
“แต่ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ นะยาย เออ ถ้าว่าเป็นพระเอกละครลิง ก็ว่าไปอย่าง”
“ที่เรื่องปากน่ะทำเป็นเก่ง ทีกับเรื่องผู้หญิง กลับไม่เอาไหน “
“ผม ไม่เอาไหนอย่างไร ว่ามาซิยาย ผมอยากรู้ ” ผมถามเสียงเข้ม โกรธตงิดๆ ที่ยายมาสะกิดปมด้อยของผม ที่ยายนั่นแหละเป็นคนสร้างขึ้นมา ด้วยการพูดซ้ำๆ ทุกวี่ทุกวัน กล่อมประสาทจนผมชักจะเริ่มคล้อยตามยาย ว่าการที่อายุสามสิบ แล้วยังไม่มีคู่ชีวิต มันเป็นความผิดชนิดให้อภัยไม่ได้
“ยังจะมีหน้ามาถาม อีก อายุปูนนี้ ใครต่อใครเขามีลูกมีเมียไปหมด มีแต่เราเท่านั้นที่โสด หรือว่าที่ไม่มี เพระว่าเราเป็น… ”ยายเว้นวรรค พร้อมกับยิ้มเหยียดที่มุมปาก มองผมด้วยสายตาแปลกๆพิกล
“ผมเป็นอะไร เหรอ ยาย บอกมาซิ ผมอยากรู้ ” ” ผมถามยายอย่างร้อนใจ ด้วยคำพูดอันมีนัยของยาย เรื่องหมูๆอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องฉลาดล้ำอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ต่อให้เด็กอมมือก็รู้ ว่าที่ยายพูดมานั้นหมายถึงอะไร
“กะเทย “ ยายตอบดังๆอย่างมั่นใจ และเสียงของยาย ราวกับมีดแหลมคม กรีดลงกลางใจผม ผมอ้าปากค้างมองยายอย่างไม่เชื่อสายตา พ่อกับแม่เองก็ดูจะตกใจไม่แพ้ผม
“ยาย”
“อะไร”
“ยายพูดอย่างนี้ ผมโกรธนะจะบอกให้ “ผมร้องออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะกล่าวต่อไปเร็วๆย่างขุ่นเคือง” เกิดใครไม่รู้มาได้ยินเข้า คิดว่าเรื่องที่ยายพูดเกี่ยวกับผมเป็นเรื่องจริง จะว่าไง”
“ก็ถ้าไม่เป็นก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไรนี่ หรือว่าที่เดือดเนื้อร้อนใจอยู่นี่ เป็นเพราะว่า …“ (ยายเว้นวรรคอีกแล้ว)
“ผมไม่ได้เป็นกระเทย จะให้ผมพูดกี่ร้อยครั้ง ว่าไม่ใช่ๆ” ผมโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะถามยาย
“ว่าแต่ยายเถอะ ถามจริงๆ ไปเอาความคิดนี้มากจากไหน “
“จะจากไหน ก็จากนี้นะซิ” กล่าวจบ ยายก็เอานิ้วชี้จิ้มแรงๆที่ศีรษะ “ ไม่ใช่ แก่ กระโหลก กะลา คิดเป็น จะบอกให้”
“คิดเป็น น่ะไม่ผิด แต่คิดในแง่ลบอย่างนี้ มันไม่เข้าท่า ยายพูดอย่างนี้กับผม ถามจริงๆ ไม่กลัวผมคิดมาก และเสียใจหรือไง ”
“ถ้ากลัว ก็คงไม่พูด “ยายตอบโดยไม่ยี่หระ ผมรู้แล้ว ว่ายายจะต้องตอบอย่างนี้ เพราะยายสนใจก็แต่ความคิดของตัวเอง คนอื่นไม่สนใจ
แม่เล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่ยายเป็นสาว ในบรรดาเพื่อนพ้องในกลุ่ม ยายเปรี้ยวกว่าใคร แถมโผงผาง ตรงไปตรงมา
อ้อมค้อมกับใครไม่เป็น ยกเว้นอยู่ก็แต่เรื่องนั้นเรื่องเดียว….
แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ขอผมอุบเรื่องความลับของยายไว้ก่อน รอให้ยายทำให้ผมโกรธมากๆ จนผมทนไม่ไหว เมื่อนั้นแหละ ผมจะเอาความลับของยายมาเผยแผร่ให้ทุกคนรู้ให้หมดเชียว
“หน่อย ศุกร์นี้ตอนเช้า ลางานสักวันได้ไหมลูก “ แม่ถามผมเรียบๆ
“ลาได้ครับแม่ ว่าแต่แม่ จะให้ผมลางานทำไม มีอะไรเหรอครับ”
“ศุกร์นี้ ยายมีนัดตรวจสุขภาพประจำปี พอดีแม่กับพ่อต้องไปงานเปิดร้านลุงชาญ เพื่อนพ่อ”
“แม่ก็เลยจะให้ผมพายายไปโรงพยาบาลแทนแม่ ใช่ไหมครับ “ ผมต่อให้ ก่อนที่แม่จะพูดจบ พร้อมกับทำหน้าเซ็ง แม่ยิ้มแห้งๆ ตอบไม่เต็มเสียง
“นะลูกนะ ไปเป็นเพื่อนยายให้แม่หน่อย “
“พูดไปเถอะจนปากจะฉีก ทำไมไม่ฟังฉันบ้าง ไปเองได้ ไม่ต้องให้ใครพาไป ”ยายที่นั่งฟังผมกับแม่ สนทนาขัดขึ้นมาดังๆ ทำเอาผมกับแม่มองหน้ากัน ส่วนพ่อ ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่พูดไม่จา เรื่องของเรื่องเพราะไม่อยากโดนลูกหลงนั่นเอง
“หนูรู้ ว่าแม่เก่ง แต่ถ้าเกิดไปเป็นลมเป็นแล้งกลางทางขึ้นมาใครจะดูแล ให้หน่อย ไปเป็นเพื่อนแม่นะดีแล้ว นึกว่าหนูขอร้องเถอะนะ “แม่พูดเท่านั้น ก็หันมาทางผม ” นะลูกนะ ลางานไปเป็นเพื่อนยายสักวัน แม่ขอร้อง”
“ได้ครับแม่ ไม่มีปัญหา” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก พร้อมกับมองยาย ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไว้ผมสั้นเพียงคอขาวโพลน สวมชุดลำลองสีส้มผ้าบาเต๊ะจุดขาว ที่กำลังตักข้าวต้มใส่ปากออย่างเอร็ดอร่อย ไปกับยายอีกแล้วเหรอเรา ผมถามตัวเองอย่างสับสน
เซ็งอ่ะ!
ปกติวันศุกร์ จะเป็นวันที่ผมรักที่สุด เพราะเป็นวันสุดสัปดาห์ รุ่งขึ้นก็เป็นวันหยุด แต่ศุกร์นี้ ผมไม่มีความสุข เพราะต้องพายอดคุณยายไปพบหมอ
พูดอย่างนี้ คุณอาจจะค่อน ว่าผมเป็นหลานประสาอะไร แค่ดูแลยายแค่นี้ ทำไม่ได้ แต่ผมอยากจะอธิบายให้คุณเข้าใจสักนิด
ถ้ายายผม เป็นอย่างยายคนอื่น อย่าว่าแต่แค่พายายไปโรงพยาบาล เลย ต่อให้โลกพระจันทร์ผมก็พาไปได้ แต่ที่ผมไม่อยากร่วมทางกับยาย ก็เพราะยายผม ไม่ธรรมดา อย่างที่บอก
นอกจากโผงผาง พูดจาไม่ไว้หน้าใครอย่างที่บอกมาแล้ว ยายยังชอบมากเลยครับ ชอบเอาเรื่องส่วนตัวของผมไปขยายให้ชาวบ้านชาวช่องรู้กัน
ถ้าเป็นเรื่องผมได้รับเกียรตินิยมอันดับสองของมหาลัยชื่อดัง หรือได้เหรียญทองว่ายน้ำเยาวชนของประเทศไทย ผมจะไปว่าทำไม แถมยังจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ยายเอาความดีผมไปตีแผ่ แต่นี่ตรงกันข้าม เรื่องของผมที่ยายเอาไปบอกใครต่อใคร มันทำให้ผมดูแย่ที่สุด
จะเรื่องอะไรละครับ ก็เรื่องตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมขี้เกียจอาบน้ำ เลยเป็นเกลื้อนที่หลัง น่าเกลียดน่ากลัว แล้วก็ยังเรื่องที่ผมชอบแคะขี้มูก เอาไปป้ายน้องชาย ทำให้น้องชายที่ ดิ้นพลาดๆ ร้องไห้ลั่นบ้าน เพราะขยะแขยง และกลัวสุดๆ
เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครเขาพูดกันหรอกครับ นอกจากยายเท่านั้นแหละ พูดกับคนรู้จักผมก็อายจะแย่ ยิ่งยายเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนแปลกหน้าผมก็อายแทบจะมุดดิน ซึ่งพอผมท้วง ยายก็ตอกกลับ
“ก็แล้วที่ฉันพูดมานั่น มันไม่จริงหรืออย่างไร “
ผมอับจน เถียงยายไม่ขึ้น ก็เลยหันไปหาเรื่องอื่น มาโจมตียาย
“แล้วเรื่องที่ยาย ชอบตัวเป็นแม่สื่อ ติดต่อคนโน้น คนนี้ ไม่ให้ผม ยายเคยถามผมสักคำ ว่าผมเต็มใจหรือเปล่า”
“ทำไมจะต้องถาม ในเมื่อฉันเป็นยายแก เออถ้าว่าฉันเป็นหลาน แก ก็ว่าไปอย่าง”
โอ๊ย ผมจะบ้าตาย เถียงก็แล้ว พูดก็แล้วแต่ไม่เคย เอาชนะนายได้สักที โดยเฉพาะเรื่องที่ยาย กลัวผมจะขึ้นคาน ทำตัวเป็นแม่สื่อ ขอให้เจอสาวๆ จะสวย หรือไม่ ไม่สน ยายเป็นต้องเอาผมประเคนให้กับพวกหล่อน ไม่เว้นแม้แต่คุณพยาบาล ที่กำลังวัดปรอท ในขณะที่ผมยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“คุณพยาบาลมีแฟนหรือยังจ้ะ “ ยายถามคุณพยาบาล ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มเขินๆ ตอบกลับมาอายๆ
“ยังเลยค่ะ “
“แล้วไม่คิด จะมีบ้างเหรอจ้ะ”
“คะ” พยาบาลสาวผู้เคราะห์ร้ายทำเสียงนั้นออกมา หันมามองผม อย่างจะขอความช่วยเหลือ ผมเองช่วยเหลืออะไรเธอไมได้ ตอนนี้ถ้าทำได้ ผมอยากจะได้ปี๊บสักใบจะได้เอามาคลุมหัวตัวเอง
“ยาย ไปถามอะไรคุณพยาบาลเขาอย่างนั้น เอ่อ ผมขอโทษนะครับ ยายผม เป็นอย่างนี้ประจำ” ตอนท้ายผมขอโทษคุณพยาบาล
“ติดต่อผู้หญิงให้หลานชาย ผิดกฎหมายข้อไหน มิทราบ ถามหน่อย ”
“เหอ” ไม่ใช่แต่ผมที่ร้องออกมาอย่างนั้น คุณพยาบาลเอง ก็ร้องออกมาอย่างผม ก่อนที่เราสองคนจะมองหน้ากันไปมาอย่างกระอักกระอ่วนใจยิ่ง
“ยาย นึกว่าผมขอร้องถอะนะ คราวหลังคราวหน้า อย่าไปพูดกับผู้หญิงเขาอย่างนั้น ตัวผมนะไม่เป็นไรหรอก แต่ผู้หญิงพวกนั้นเขาอาย ผมเห็นใจเขา” ผมบอกกับยายเมื่อเรามานั่งที่หน้าห้องตรวจ รอหมอเรียก
“ถ้าไม่อยากให้พูด ก็รีบๆหาแฟนเข้าซิ มีปัญหาหรือเปล่าละ“ ยายพูดจบ ก็สะบัดหน้าใส่ผม แล้วกวาดตาไปรอบๆ มองหาหลานสะใภ้คนต่อไป
ผมขัดใจยายสุดๆ แต่ ทำอะไรไม่ได้ จัดแจงล้วงไอโฟนรุ่นล่า ออกจากกระเป๋ากางเกง หาเกมต่อสู้มันๆมาเล่น ในโลกแห่งความจริง ผมพ่ายแพ้ให้กับยายตลอด แต่ในโลกแห่งความฝัน ที่ไม่มียายอยู่ด้วย ผมคือพระเอก ผู้ร้ายมาเป็นร้อย ผมฆ่าตายหมดเลย ยิงๆๆๆ ผมฆ่าคู่ต่อสู้ในเกม ศัตรูในจินตนาการของผม ร่วงผล็อยเป็นใบไม้ ตายเกลื่อน
ผมเล่นเกมไป เงี่ยหูฟังยาย พูดคุยกับคนที่นั่งใกล้ๆไปด้วย ในเรื่องสัพเพเหระ ยายพูดของยายคนเดียว ส่วนผู้โชคร้ายก็ฟังไป คนเก่าไป คนใหม่มา ยายก็คงยังพูดซ้ำซากในเรื่องของผม
“สวัสดีหนู มาโรงพยาบาล ไม่สบาย เป็นอะไรเหรอจ้ะ”
“หนูสบายดีค่ะ แต่พาคุณปู่มาเช็คร่างกาย”
เสียงหวานๆ ฟังดูคุ้นๆ ทำให้ผมที่กำลังยิงข้าศึกหูดับตับไหม้ เงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นหล่อนก็ตกใจ หล่อนเองเห็นผมก็ตกใจไม่แพ้กัน
“อ้าวคุณ “ เราร้องขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือใส่กัน
“อ้าว นี่เราสองคน รู้จักกันแล้วเหรอ” ยายถามแทรกขึ้นมาดังๆ มองหล่อนสลับกับผมไปมา “ อย่าบอกนะ ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”
“เปล่าค่ะ “
“เปล่าครับ”
เราปฎิเสธ ออกมาดังๆราวกับนัดกัน อีกครั้งแล้วซินะ ที่ใจของเราตรงกัน
“ไม่ใช่แฟน ถ้างั้นก็คงเป็นเพื่อนกันใช่ไหม “ ยายที่นั่งตรงกลางซักไซ้ นี่ถ้าไปบอกใครว่า ยายเป็นนักข่าวCNN ทุกคนต้องเชื่อสนิท
“เขาไม่ใช่เพื่อนผมหรอกยาย แต่เป็นแม่ค้าขายกาแฟ ร้านเขาอยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนที่ทำงานผมอยู่ชั้นสามในอาคารเดียวกัน ว่างๆผมก็เลยไปกินกาแฟร้านเขาประจำ ” ผมตอบยายยืดยาว
“นี่คุณ ฉันบอกกี่ครั้ง ว่าอย่าเรียกอย่างนี้ ทำไมไม่เคยฟัง ” หล่อนท้วงเสร็จก็นิ่วหน้าใส่
“คนค้าขาย เรียกพ่อค้า แม่ค้าก็ถูกแล้วนี่” ผมร้องบอกหล่อนผ่านยาย ที่นั่งอยู่ตรงกลาง
“คนปากเสียอย่างคุณ ใครมาชอบคุณ มีหวังโชคร้ายไปสิบชาติ”
“มันต้องอย่างนี้ซิหนู หนูพูดถูกใจยายมากเลย มาเป็นหลานสะใภ้ยายเถอะ ยายชอบหนูจริงๆ” ยายร้องบอกอย่างตื่นเต้น
หล่อนได้ยินก็อ้าปากค้าง พูดไม่ออก แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรกับยาย ก็พรวดลุกขึ้นยืนเร็วๆ ยายเห็นเช่นนั้นก็ร้องถาม
“อ้าว จะไปไหนละหนู “ ยายถาม ลุกตาม คงจะประทับใจ ความจัดจ้านของปากหล่อน ไม่อย่างนั้น คงไม่เอ่ยปากชวนหล่อนมาเป็นหลานสะใภ้
“คุณปู่หนูมานั่นแล้ว หนูเลยลาคุณยายเลยนะคะ ” กล่าวจบยกมือไหว้ เดินไปหาชายชรารุ่นราวใกล้เคียงกับยาย ที่เดินตรงมา
ยายมองตามไป แต่ทันทีที่เห็นชายชราที่ก้าวกระย่องกระแย่งตรงมา ก็อ้าปากค้างพูดไม่ออก ส่วน ชายชราที่ก้าวมาหาหลานสาว เห็นยายก็หยุดอยู่กับที่ เอาแต่มองมา ด้วยสีหน้าแปลกใจสุดๆ หลานสาวที่เข้าไปคล้องแขนยื่นหน้าไปถามใกล้ๆ
“เป็นอะไรไปคะคุณ ปู่ หมอว่าไงบ้าง”
ชายชราไม่ตอบหลานสาว หากค่อยๆแกะมือหลานสาวที่กุมออกช้าๆ ก้าวยาวๆมาหายาย ท่ามกลางความงุนงงของผม กับหล่อน เราสองคนพูดไม่ออกได้แต่มองหน้ากันไปมา
“สวัสดี สมหญิง”