๑.บทเพ้อ รำพัน
หลังจากที่เริ่มเป็นชาวไร่ ในปีแรก ๒๐๑๕
เพื่อเตรียมหลักปักฐานในการเตรียมตัวก่อนเกษียณ
จึงจัดคุณผู้ชายของบ้านที่คิดว่า จะเป็นหน่วยกล้าตาย
ลาเมืองกรุงเป็นคนแรก โดยลูกและแม่ เลือกเป็นสาวชาวกรุง
เพราะลูกสาวกำลังเรียนอยู่ชั้นม.๕ จะออกกลางคันก็กะไร
ส่วนตัวแม่ ก็มีอาชีพอิสระที่พอมีรายได้
ก็เสียสละตัวเองผจญเวรที่ กทม.ไปก่อน
ที่หมายของเราอยู่ที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
โดยมีที่นาเก่าแก่ ที่ปล่อยให้ชาวบ้านแถวนั้นเช่าที่ทำนา
โดยเก็บค่าเช่าเป็นการแบ่งข้าวเอามากินกัน คนทำนาได้ไป ๒ส่วน
เจ้าของที่ได้ ๑ ส่วน ปลูกตามอำเภอใจ
อยากใส่เคมี ใส่ อยากเผานาหลังเก็บเกี่ยวเผา หญ้าขึ้นสาดยาฆ่าหญ้าเข้าไป
ทำแบบนี้มาหลายปี ก็เจ้าของที่ทำนาไม่เป็นนินา
“ไร่เพลินจันทร์เพ็ญ” คือชื่อที่ตั้งขึ้นมาอย่างตั้งใจ
โดยเอาชื่อของ คุณแม่เจ้าของที่ ผู้ล่วงลับ “จันทร์เพ็ญ”
มาเป็นชื่อหลัก ประเด็น เจ้าของชื่อคนปัจจุบันคือดิฉัน “ศศิธร”
จึงลงตัวสุดๆ อีกอย่าง ที่ของเราแม้จะอยู่ในเมืองนครไทย
แต่ด้วยความลึกเบาๆ และยังไม่มีใครมาปลูกบ้านใกล้เคียง
(มีแค่หลังเดียว) ทำให้มีความสงัดมาก กลางคืนงิ
ดาว เดือน สว่าง กระจ่างชัด มาก ไร่เราจึงชื่อ “ เพลินจันทร์เพ็ญ”
๒.บท ชาวนาจำเป็น
จากโจทย์พื้นที่ เป็นที่นา เกษตรมือใหม่อย่างเรา ก็ต้องปลูกข้าว
ข้าวของเราก็ต้องเป็นข้าวปลอดสาร แบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ตลอดทั้งกระบวนการผลิต
ซึ่งการปลูกในพื้นที่ที่อุดมด้วย เคมี จากนักปลูกข้าวคนเก่า
ผลผลิตของเรา จึงได้รับสิทธิ์ แค่ “ ข้าวปลอดภัย ”
การปลูกของชาวนาหน้าใหม่ ไฟแรงเฟร่อ
เริ่มขึ้นอย่างขัดหูขัดตาชาวนาเจ้าถิ่น
ทำให้การปลูกพบกับอุปสรรคต่างๆมากมาย
เป็นต้นว่า ถึงหน้าไถนา ไม่มีรถไถจร๊าาา
มีเงินก้อต้องรอ
การปรับระดับที่นา เป็นสิ่งสำคัญของการปลูกข้าว
เพราะต้องได้ระดับที่เท่ากันทั้งผืน เพราะปลูกแล้ว
ต้องปล่อยน้ำคลุมทั่วทั้งผืน
เพื่อไม่ให้ “ คุณสารพัดหญ้า ”ยื่นหน้าออกมาแย่งอาหารในดิน
เงิบซิค่ะ เพราะ การไถปรับหน้าดิน
คันที่๑ฟาดเงินไปก้อนนึง ก็ยังไม่ได้ระดับ
คันที่๒ ฟาดเงินไปอีกก้อน ก็ยังไม่ได้ระดับ
ยังไม่ได้ระดับ คือ ด้านนึง สูง ด้านนึงต่ำ
ปล่อยน้ำเข้าไป ด้านนึงก็ท่วม ด้านนึงก็แห้ง
เวรละซิ การปล่อยน้ำเข้านาเพื่อคลุมหญ้า
“ เฟลล์ ทั้งระบบ” หรือ “ย่อยยับ อับโชคมากๆ”
สุดท้าย การจัดการกับหญ้าของเรามี ๒ วิธีคือ
๑.ขึ้นมาก็ถอนด้วยแรงงาน “กู”กับแรงงาน “”
กู คือ เราเอง
คือ จ้างชาวบ้านแถวนั้นมาถอน ซึ่งแรงงานหายากมาก
ง้อกันแล้วง้อกันอีก
เพราะตอนนี้เขากำจัดด้วย “ยาฆ่าหญ้า”
การถอนจึงหาคนยากยิ่งนัก(แต่ก็เหนื่อยจริง เราถอนเองเฉพาะช่วงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
กับถอนตอนเย็นที่พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขา ถอนวันละ ๔ชั่วโมง
วันรุ่งขึ้นบอกคำเดียว “ร่างแหลก”
สุดท้าย แพ้หญ้า ปล่อยให้มันขึ้นไปพร้อมๆกับข้าวซะงั้น
ความกังวลที่สุดในชีวิตก็คือ ข้าวของเราจะเป็นอย่างไร
ข้าวจะเต็มเมล็ดไหม เราจะได้ผลผลิตไหม
ที่สุดของที่สุดคือ “หน้าจะแหกไหม”
คืออาจจะไม่ได้ผลผลิตเลย
สุดท้าย การปลูกข้าวมันคือ อาชีพของชาวนาไทยโดยแท้
“ข้าว” เป็นพืชที่ปลูกง่ายที่สุด
ปลูกยังไงก็ได้ผลผลิต อยู่ที่ว่า
จะได้ผลผลิต ที่เราพอใจหรือเปล่า เท่านั้นเอง
เพราะสุดท้าย “ ข้าว” ของเราก็ได้ออกมาให้เราได้
“ชื่นชม” แบบสมใจ ซึ่งเราก็จะพูดปลอบใจกันไปมาว่า
มันสุดยอดแล้วสำหรับครั้งแรก
ตอนแรกคิดว่า จะไม่ได้ผลผลิตด้วยซ้ำไป
…ข้าวของเราจึงได้รับการตั้งชื่อว่า
“ ข้าวกล้องหอมเพลิน ” กับ "ข้าวไรซ์เบอรี่อิ่มเพลิน"


วันนี้ของเรา เป็นอีกหนึ่งวันสุข
กับการได้เริ่มต้น บทเรียนที่ ๑ ของการเริ่มต้นเป็นชาวไร่ ชาวนา
เรามั่นใจว่า บทเรียนที่ ๒ ในฤดูกาลหน้า ข้าวของเรา จะได้ผลผลิตที่มากขึ้น
ในระดับที่เราพอใจ เพราะเราไม่ได้ปลูกแบบให้ร่ำรวย
หรือเป็นเกษตรกรที่ยิ่งใหญ่
แต่เราอยากมีอะไรทำในยามที่เราควรจะหยุดพัก และละวาง ความเหน็ดเหนื่อย
จากการตรากตรำในเมืองกรุง ก็เท่านั้นเอง
เชื่อว่า การเริ่มต้นครั้งนี้ของเราจะไม่สูญเปล่า
ปล.หมดเงินทุนไปไม่น้อย ที่แน่ๆ ตอนนี้ มีออเดอร์จากเพื่อน ๆ
จำนวน ๓๐ กิโล ได้เงินมา ๑,๘๐๐บาท
๕๕๕ จุดคุ้มทุนอยู่ตรงความพึงพอใจ
ความพึงพอใจ อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง
ฤดูกาลหน้าค่อยว่ากัน
เมื่อลุงป้า เตรียม "เมินกรุง" มุ่งสู่การทำไร่ ไร่เพลินจันทร์เพ็ญ
หลังจากที่เริ่มเป็นชาวไร่ ในปีแรก ๒๐๑๕
เพื่อเตรียมหลักปักฐานในการเตรียมตัวก่อนเกษียณ
จึงจัดคุณผู้ชายของบ้านที่คิดว่า จะเป็นหน่วยกล้าตาย
ลาเมืองกรุงเป็นคนแรก โดยลูกและแม่ เลือกเป็นสาวชาวกรุง
เพราะลูกสาวกำลังเรียนอยู่ชั้นม.๕ จะออกกลางคันก็กะไร
ส่วนตัวแม่ ก็มีอาชีพอิสระที่พอมีรายได้
ก็เสียสละตัวเองผจญเวรที่ กทม.ไปก่อน
ที่หมายของเราอยู่ที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
โดยมีที่นาเก่าแก่ ที่ปล่อยให้ชาวบ้านแถวนั้นเช่าที่ทำนา
โดยเก็บค่าเช่าเป็นการแบ่งข้าวเอามากินกัน คนทำนาได้ไป ๒ส่วน
เจ้าของที่ได้ ๑ ส่วน ปลูกตามอำเภอใจ
อยากใส่เคมี ใส่ อยากเผานาหลังเก็บเกี่ยวเผา หญ้าขึ้นสาดยาฆ่าหญ้าเข้าไป
ทำแบบนี้มาหลายปี ก็เจ้าของที่ทำนาไม่เป็นนินา
“ไร่เพลินจันทร์เพ็ญ” คือชื่อที่ตั้งขึ้นมาอย่างตั้งใจ
โดยเอาชื่อของ คุณแม่เจ้าของที่ ผู้ล่วงลับ “จันทร์เพ็ญ”
มาเป็นชื่อหลัก ประเด็น เจ้าของชื่อคนปัจจุบันคือดิฉัน “ศศิธร”
จึงลงตัวสุดๆ อีกอย่าง ที่ของเราแม้จะอยู่ในเมืองนครไทย
แต่ด้วยความลึกเบาๆ และยังไม่มีใครมาปลูกบ้านใกล้เคียง
(มีแค่หลังเดียว) ทำให้มีความสงัดมาก กลางคืนงิ
ดาว เดือน สว่าง กระจ่างชัด มาก ไร่เราจึงชื่อ “ เพลินจันทร์เพ็ญ”
๒.บท ชาวนาจำเป็น
จากโจทย์พื้นที่ เป็นที่นา เกษตรมือใหม่อย่างเรา ก็ต้องปลูกข้าว
ข้าวของเราก็ต้องเป็นข้าวปลอดสาร แบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ตลอดทั้งกระบวนการผลิต
ซึ่งการปลูกในพื้นที่ที่อุดมด้วย เคมี จากนักปลูกข้าวคนเก่า
ผลผลิตของเรา จึงได้รับสิทธิ์ แค่ “ ข้าวปลอดภัย ”
การปลูกของชาวนาหน้าใหม่ ไฟแรงเฟร่อ
เริ่มขึ้นอย่างขัดหูขัดตาชาวนาเจ้าถิ่น
ทำให้การปลูกพบกับอุปสรรคต่างๆมากมาย
เป็นต้นว่า ถึงหน้าไถนา ไม่มีรถไถจร๊าาา
มีเงินก้อต้องรอ
การปรับระดับที่นา เป็นสิ่งสำคัญของการปลูกข้าว
เพราะต้องได้ระดับที่เท่ากันทั้งผืน เพราะปลูกแล้ว
ต้องปล่อยน้ำคลุมทั่วทั้งผืน
เพื่อไม่ให้ “ คุณสารพัดหญ้า ”ยื่นหน้าออกมาแย่งอาหารในดิน
เงิบซิค่ะ เพราะ การไถปรับหน้าดิน
คันที่๑ฟาดเงินไปก้อนนึง ก็ยังไม่ได้ระดับ
คันที่๒ ฟาดเงินไปอีกก้อน ก็ยังไม่ได้ระดับ
ยังไม่ได้ระดับ คือ ด้านนึง สูง ด้านนึงต่ำ
ปล่อยน้ำเข้าไป ด้านนึงก็ท่วม ด้านนึงก็แห้ง
เวรละซิ การปล่อยน้ำเข้านาเพื่อคลุมหญ้า
“ เฟลล์ ทั้งระบบ” หรือ “ย่อยยับ อับโชคมากๆ”
สุดท้าย การจัดการกับหญ้าของเรามี ๒ วิธีคือ
๑.ขึ้นมาก็ถอนด้วยแรงงาน “กู”กับแรงงาน “”
กู คือ เราเอง
คือ จ้างชาวบ้านแถวนั้นมาถอน ซึ่งแรงงานหายากมาก
ง้อกันแล้วง้อกันอีก
เพราะตอนนี้เขากำจัดด้วย “ยาฆ่าหญ้า”
การถอนจึงหาคนยากยิ่งนัก(แต่ก็เหนื่อยจริง เราถอนเองเฉพาะช่วงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
กับถอนตอนเย็นที่พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขา ถอนวันละ ๔ชั่วโมง
วันรุ่งขึ้นบอกคำเดียว “ร่างแหลก”
สุดท้าย แพ้หญ้า ปล่อยให้มันขึ้นไปพร้อมๆกับข้าวซะงั้น
ความกังวลที่สุดในชีวิตก็คือ ข้าวของเราจะเป็นอย่างไร
ข้าวจะเต็มเมล็ดไหม เราจะได้ผลผลิตไหม
ที่สุดของที่สุดคือ “หน้าจะแหกไหม”
คืออาจจะไม่ได้ผลผลิตเลย
สุดท้าย การปลูกข้าวมันคือ อาชีพของชาวนาไทยโดยแท้
“ข้าว” เป็นพืชที่ปลูกง่ายที่สุด
ปลูกยังไงก็ได้ผลผลิต อยู่ที่ว่า
จะได้ผลผลิต ที่เราพอใจหรือเปล่า เท่านั้นเอง
เพราะสุดท้าย “ ข้าว” ของเราก็ได้ออกมาให้เราได้
“ชื่นชม” แบบสมใจ ซึ่งเราก็จะพูดปลอบใจกันไปมาว่า
มันสุดยอดแล้วสำหรับครั้งแรก
ตอนแรกคิดว่า จะไม่ได้ผลผลิตด้วยซ้ำไป
…ข้าวของเราจึงได้รับการตั้งชื่อว่า
“ ข้าวกล้องหอมเพลิน ” กับ "ข้าวไรซ์เบอรี่อิ่มเพลิน"
วันนี้ของเรา เป็นอีกหนึ่งวันสุข
กับการได้เริ่มต้น บทเรียนที่ ๑ ของการเริ่มต้นเป็นชาวไร่ ชาวนา
เรามั่นใจว่า บทเรียนที่ ๒ ในฤดูกาลหน้า ข้าวของเรา จะได้ผลผลิตที่มากขึ้น
ในระดับที่เราพอใจ เพราะเราไม่ได้ปลูกแบบให้ร่ำรวย
หรือเป็นเกษตรกรที่ยิ่งใหญ่
แต่เราอยากมีอะไรทำในยามที่เราควรจะหยุดพัก และละวาง ความเหน็ดเหนื่อย
จากการตรากตรำในเมืองกรุง ก็เท่านั้นเอง
เชื่อว่า การเริ่มต้นครั้งนี้ของเราจะไม่สูญเปล่า
ปล.หมดเงินทุนไปไม่น้อย ที่แน่ๆ ตอนนี้ มีออเดอร์จากเพื่อน ๆ
จำนวน ๓๐ กิโล ได้เงินมา ๑,๘๐๐บาท
๕๕๕ จุดคุ้มทุนอยู่ตรงความพึงพอใจ
ความพึงพอใจ อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง
ฤดูกาลหน้าค่อยว่ากัน