อ้างจาก กระทู้
คุณสมาชิกหมดเวลารัก กล้ารับสาบานแทน นักบวชคึกฤทธิ์ จริงไหม ? ของท่านยามฯ นะครับ
http://pantip.com/topic/34775794/
จริงๆ แล้ว ผมเข้าใจว่า ที่มาของกระทู้ดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากอาการสติแตก ของท่านยามฯ กับสหายร่วมบาปเอง นะครับ
กล่าวคือ ท่านยามฯ และสหายร่วมบาป พยายามจะบอกว่า โสดาบัน ไม่ดื่มเหล้าเลย ไม่ดื่มเหล้าแน่ๆ โดยอ้างถึง โสตาปัตติยังคะ
ผมก็แค่ถาม คำถามซื่อๆ ง่ายๆ ว่า อริยกันตศีล ซึ่งเป็นองค์คุณข้อหนึ่งในสี่ประการ(โสตาปัตติยังคะ) หมายถึงศีลชนิดใด ?
มีหลักฐานชั้นพุทธพจน์ยืนยันรับรอง หรือไม่ว่า ทรงหมายถึงศีลห้าของปุถุชน หรือ รวมไปถึงศีลข้อห้าของปุถุชนด้วย ?
ปรากฏว่า ท่านยามฯ และสหายร่วมบาป ไม่สามารถหาหลักฐานชั้นพุทธพจน์ มายืนยันได้ แม้จะผ่านมา สามกระทู้ สี่กระทู้ แล้วก็ตาม
.
.
และเพราะความสติแตก หรือ ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นนี่แหละ จึงเป็นที่มาของกระทู้ ท้าสาบาน
ซึ่งเรื่องนี้ กลับทำให้ผม พบข้อเท็จจริงบางประการว่า ที่แท้ ท่านยามฯ และสหายร่วมบาป อาศัย ยืมจมูกคนอื่นหายใจ
ไม่ได้มีสติปัญญาเป็นของตนเอง คือ ต้องอาศัย ความคิดอ่านของผู้อื่น จึงมักแสดงให้เห็นว่า ไม่สามารถตอบคำถามข้อข้องใจ กับใครได้เลย
โอเค ... เข้าใจแล้วครับท่าน
เรื่องท้าสาบาน นี่ก็เหมือนกัน
คือถ้าท่านยามฯ ไม่ได้เป็นเจ้าของข้อความในเฟสบุค ก็แปลว่า ไปลอกความคิดเขามา (และมึปัญหาด้านความถูกต้องเสียด้วย)
คือ เจ้าของข้อความดังกล่าวพยายามจะบอกเป็นนัยๆว่า การสาบานแบบที่เขาทำอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เป็นความจริง เลยครับ
โดยเขาบอกว่า การสาบาน คือ ปฏิญาณ + แช่งตน และอ้างถึง พระสูตร ที่ตรัสกับท่านพระราหุล (ซึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นสาบาน เลย)
https://m.facebook.com/groups/1618647971727797/permalink/1690840384508555/
ที่นี้ คำสาบานของเขา เป็นอย่างไร ผมไปแคปภาพมา ครับท่าน
https://www.facebook.com/groups/1618647971727797/permalink/1679651158960811/
.
.
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ
1 การสาบานอะไรที่ว่านั่นน่ะ แท้ที่จริง ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า การสบถสาบาน หรือ การด่าบริภาษ หรือ การด่าแช่ง
หรือ การสาปแช่ง นั่นเอง ซึ่งตัวของท่านเจ้าของข้อความ ก็ยอมรับเองนะครับว่า สาบาน = ปฏิญาณ + แช่ง
แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติห้ามเอาไว้ว่า ไม่ให้ภิกษุณี ด่าแช่งตนเองหรือผู้อื่น ด้วยประการต่างๆ ครับท่าน
.
.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้แช่งตน
และคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๗๔. ๙.
อนึ่ง ภิกษุณีใด แช่งตนก็ดี ตนอื่นก็ดี ด้วยนรก หรือด้วยพรหมจรรย์
เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๑๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ตน คือ ตัวของตัวเอง.
บทว่า คนอื่น ได้แก่ อุปสัมบัน แช่ง ด้วยคำว่านรกก็ดี ด้วยคำว่า พรหมจรรย์ก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
[๒๑๕] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
ปัญจกะทุกกฏ
ภิกษุณีแช่งด้วยคำว่ากำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ด้วยคำว่าเปรตวิสัยก็ดี ด้วยคำว่าเป็นคน
โชคร้ายก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
แช่งอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๒๑๖] มุ่งอรรถ ๑ มุ่งธรรม ๑ มุ่งสั่งสอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=03&A=3085&Z=3135
2 ทีนี้ เมื่อไปดูคำอธิบายของอรรถกถา ก็พบว่า สิกขาบทนี้ เป็น สัญญาวิโมกข์ คือ หากทำไปโดยไม่รู้ตัว ถือว่า ไม่ผิด ไม่ต้องอาบัติ
แปลว่าอะไรครับ ?
ก็แปลว่า สิกขาบทนี้ ใช้กับ ชาวบ้านได้ด้วย
ซึ่งต่างจากสิกขาบทที่เป็น โนสัญญาวิโมกข์ ที่บังคับใช้กับนักบวชเท่านั้น ไม่ใช้กับฆราวาส (เช่น สิกขาบท ห้ามภิกษุ ดื่มเหล้า เป็นต้น)
.
.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์
อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙
อรรถกถาอันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า อภิสเปยฺย ได้แก่ พึงทำการสบถ.
อธิบายว่า ที่ชื่อว่าแช่งด้วยนรก ได้แก่ ด่าทอ ปริภาษ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด ขอให้ผู้ขโมย จงเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด.
ที่ชื่อว่า แช่งด้วยพรหมจรรย์ ได้แก่ ด่าทอ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราจงเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้นุ่งผ้าขาว เป็นปริพาชิกาเถิด. หรือภิกษุณีนอกนี้ จงเป็นเช่นนี้เถิด. เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด แต่เมื่อด่าโดยนัยเป็นต้นว่า ขอให้เราเป็นนางสุนัข เป็นนางสุกร เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อยเถิด. เว้นนรกและและพรหมจรรย์เสีย เป็นทุกกฏทุกๆ คำพูด.
บทว่า อตฺถปุเรกฺขาราย คือ ผู้กล่าวอรรถกถา.
บทว่า ธมฺมปุเรกฺขาราย คือ ผู้สอนบอกบาลี.
บทว่า อนุสาสนีปุเรกฺขาราย มีความว่า เมื่อตั้งอยู่ในอนุสาสนีกล่าวสอนอย่างนี้ว่า แม้บัดนี้ ท่านยังเป็นเช่นนี้ ดีละท่านจงงดเว้น ถ้าท่านไม่งดเว้น จักทำกรรมเห็นปานนี้อีก ก็จักเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานแน่นอน ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา
สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=3&i=213
3 สรุปก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเอาไว้ว่า ชาวพุทธ ไม่ว่าจะเป็นนักบวช หรือ ฆราวาส ไม่ควรด่าแช่งตนเอง หรือ ผู้อื่น นะครับท่าน
ดังนั้น ใครก็ตาม ที่กล่าวอ้างว่า ชาวพุทธสามารถ ด่าแช่งตนเอง หรือผู้อื่นได้ โดยไม่ผิดพระธรรมคำสอน จึงเป็นการกล่าวเท็จ
เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และบิดเบือน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ดีแล้ว นะครับท่าน
ในฐานะชาวพุทธ ผมไม่สนับสนุนการ สบถสาบาน
ด่าแช่ง ตนเอง หรือ ผู้อื่น นะครับท่าน
อนุโมทนา ครับ
การสบถ สาบาน เป็นสิ่งที่ชาวพุทธ ไม่ควรทำ ครับท่าน
http://pantip.com/topic/34775794/
จริงๆ แล้ว ผมเข้าใจว่า ที่มาของกระทู้ดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากอาการสติแตก ของท่านยามฯ กับสหายร่วมบาปเอง นะครับ
กล่าวคือ ท่านยามฯ และสหายร่วมบาป พยายามจะบอกว่า โสดาบัน ไม่ดื่มเหล้าเลย ไม่ดื่มเหล้าแน่ๆ โดยอ้างถึง โสตาปัตติยังคะ
ผมก็แค่ถาม คำถามซื่อๆ ง่ายๆ ว่า อริยกันตศีล ซึ่งเป็นองค์คุณข้อหนึ่งในสี่ประการ(โสตาปัตติยังคะ) หมายถึงศีลชนิดใด ?
มีหลักฐานชั้นพุทธพจน์ยืนยันรับรอง หรือไม่ว่า ทรงหมายถึงศีลห้าของปุถุชน หรือ รวมไปถึงศีลข้อห้าของปุถุชนด้วย ?
ปรากฏว่า ท่านยามฯ และสหายร่วมบาป ไม่สามารถหาหลักฐานชั้นพุทธพจน์ มายืนยันได้ แม้จะผ่านมา สามกระทู้ สี่กระทู้ แล้วก็ตาม
.
.
และเพราะความสติแตก หรือ ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นนี่แหละ จึงเป็นที่มาของกระทู้ ท้าสาบาน
ซึ่งเรื่องนี้ กลับทำให้ผม พบข้อเท็จจริงบางประการว่า ที่แท้ ท่านยามฯ และสหายร่วมบาป อาศัย ยืมจมูกคนอื่นหายใจ
ไม่ได้มีสติปัญญาเป็นของตนเอง คือ ต้องอาศัย ความคิดอ่านของผู้อื่น จึงมักแสดงให้เห็นว่า ไม่สามารถตอบคำถามข้อข้องใจ กับใครได้เลย
โอเค ... เข้าใจแล้วครับท่าน
เรื่องท้าสาบาน นี่ก็เหมือนกัน
คือถ้าท่านยามฯ ไม่ได้เป็นเจ้าของข้อความในเฟสบุค ก็แปลว่า ไปลอกความคิดเขามา (และมึปัญหาด้านความถูกต้องเสียด้วย)
คือ เจ้าของข้อความดังกล่าวพยายามจะบอกเป็นนัยๆว่า การสาบานแบบที่เขาทำอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เป็นความจริง เลยครับ
โดยเขาบอกว่า การสาบาน คือ ปฏิญาณ + แช่งตน และอ้างถึง พระสูตร ที่ตรัสกับท่านพระราหุล (ซึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นสาบาน เลย)
https://m.facebook.com/groups/1618647971727797/permalink/1690840384508555/
ที่นี้ คำสาบานของเขา เป็นอย่างไร ผมไปแคปภาพมา ครับท่าน
https://www.facebook.com/groups/1618647971727797/permalink/1679651158960811/
.
.
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ
1 การสาบานอะไรที่ว่านั่นน่ะ แท้ที่จริง ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า การสบถสาบาน หรือ การด่าบริภาษ หรือ การด่าแช่ง
หรือ การสาปแช่ง นั่นเอง ซึ่งตัวของท่านเจ้าของข้อความ ก็ยอมรับเองนะครับว่า สาบาน = ปฏิญาณ + แช่ง
แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติห้ามเอาไว้ว่า ไม่ให้ภิกษุณี ด่าแช่งตนเองหรือผู้อื่น ด้วยประการต่างๆ ครับท่าน
.
.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้แช่งตน
และคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๗๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด แช่งตนก็ดี ตนอื่นก็ดี ด้วยนรก หรือด้วยพรหมจรรย์
เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๑๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ตน คือ ตัวของตัวเอง.
บทว่า คนอื่น ได้แก่ อุปสัมบัน แช่ง ด้วยคำว่านรกก็ดี ด้วยคำว่า พรหมจรรย์ก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
[๒๑๕] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
ปัญจกะทุกกฏ
ภิกษุณีแช่งด้วยคำว่ากำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ด้วยคำว่าเปรตวิสัยก็ดี ด้วยคำว่าเป็นคน
โชคร้ายก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
แช่งอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๒๑๖] มุ่งอรรถ ๑ มุ่งธรรม ๑ มุ่งสั่งสอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=03&A=3085&Z=3135
2 ทีนี้ เมื่อไปดูคำอธิบายของอรรถกถา ก็พบว่า สิกขาบทนี้ เป็น สัญญาวิโมกข์ คือ หากทำไปโดยไม่รู้ตัว ถือว่า ไม่ผิด ไม่ต้องอาบัติ
แปลว่าอะไรครับ ?
ก็แปลว่า สิกขาบทนี้ ใช้กับ ชาวบ้านได้ด้วย
ซึ่งต่างจากสิกขาบทที่เป็น โนสัญญาวิโมกข์ ที่บังคับใช้กับนักบวชเท่านั้น ไม่ใช้กับฆราวาส (เช่น สิกขาบท ห้ามภิกษุ ดื่มเหล้า เป็นต้น)
.
.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์
อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙
อรรถกถาอันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า อภิสเปยฺย ได้แก่ พึงทำการสบถ.
อธิบายว่า ที่ชื่อว่าแช่งด้วยนรก ได้แก่ ด่าทอ ปริภาษ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด ขอให้ผู้ขโมย จงเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด.
ที่ชื่อว่า แช่งด้วยพรหมจรรย์ ได้แก่ ด่าทอ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราจงเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้นุ่งผ้าขาว เป็นปริพาชิกาเถิด. หรือภิกษุณีนอกนี้ จงเป็นเช่นนี้เถิด. เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด แต่เมื่อด่าโดยนัยเป็นต้นว่า ขอให้เราเป็นนางสุนัข เป็นนางสุกร เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อยเถิด. เว้นนรกและและพรหมจรรย์เสีย เป็นทุกกฏทุกๆ คำพูด.
บทว่า อตฺถปุเรกฺขาราย คือ ผู้กล่าวอรรถกถา.
บทว่า ธมฺมปุเรกฺขาราย คือ ผู้สอนบอกบาลี.
บทว่า อนุสาสนีปุเรกฺขาราย มีความว่า เมื่อตั้งอยู่ในอนุสาสนีกล่าวสอนอย่างนี้ว่า แม้บัดนี้ ท่านยังเป็นเช่นนี้ ดีละท่านจงงดเว้น ถ้าท่านไม่งดเว้น จักทำกรรมเห็นปานนี้อีก ก็จักเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานแน่นอน ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=3&i=213
3 สรุปก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเอาไว้ว่า ชาวพุทธ ไม่ว่าจะเป็นนักบวช หรือ ฆราวาส ไม่ควรด่าแช่งตนเอง หรือ ผู้อื่น นะครับท่าน
ดังนั้น ใครก็ตาม ที่กล่าวอ้างว่า ชาวพุทธสามารถ ด่าแช่งตนเอง หรือผู้อื่นได้ โดยไม่ผิดพระธรรมคำสอน จึงเป็นการกล่าวเท็จ
เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และบิดเบือน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ดีแล้ว นะครับท่าน
ในฐานะชาวพุทธ ผมไม่สนับสนุนการ สบถสาบาน
ด่าแช่ง ตนเอง หรือ ผู้อื่น นะครับท่าน
อนุโมทนา ครับ