อีกไม่กี่วันก็เป็นวันวาเลนไทน์แล้วขอเสียงคนโสดหน่อย 555+ เราเป็นคนหนึ่งค่ะที่โสดทุกวัน ทุกเทศกาล ยิ่งเป็นเทศกาลแห่งความรักคนมีคู่เค้าก็จะไม่เจียดเวลามาให้เราหายเหงาหรอก ได้แต่ปล่อยให้วันนั้นมันผ่านไปอย่างช้าๆ อิจฉานะเฮ้ย!!
แต่ทุกวาเลนไทน์ที่เวียนผ่านมาเราก็จะนึกถึงวีรกรรมที่เที่ยวไปบอกความรู้สึกคนที่ชอบ (เจ็บตัวทุกครา) ไม่ว่าจะรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน ส่วนรุ่นน้องนี่ยังไม่เคยลองสักที แต่ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันคงจะต้องได้ลองสักครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ยังคิดถึงอยู่ทุกวาเลนไทน์แม้จะผ่านมาสิบกว่าปีก็ยังคงประทับใจอยู่ถึงแม้จะไม่สมหวังก็ตาม เข้าเรื่องละนะ...
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนประมาณปี 47-48 ตอนนั้นเรากำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 เป็นนักบาสฯ ของโรงเรียน (สถาปนากันขึ้นมาเอง) ตอนเย็นหลังเลิกเรียนจะต้องไปซ้อมบาสฯ ที่มหา’ลัยข้างๆ โรงเรียน ที่นั่นเราได้เจอพี่ ม พี่เค้าเป็นนักบาสฯ เหมือนกัน แรกๆ ก็ไม่ได้ชอบนะแต่พอได้คลุกวงในบ่อยๆ ชักเริ่มหวั่นไหว เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ เพราะพี่เค้าอัธยาศัยดี คุยสนุก ไอ้เราก็คนใจง่ายก็ตกหลุกรักเลย
ทุกครั้งหลังจากที่ซ้อมเสร็จเรากับพี่ ม จะนั่งรถกลับบ้านทางเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความโชคดีที่ไม่ ก ข ค มาขัดขวางความฟิน เริ่มด้วยเราเนียนๆ ชวนคุยถามเรื่องทั่วไป สักพักเรื่องส่วนตัว พอเริ่มสนิทกันถามทุกเรื่องจ้า พอได้เบอร์โทรศัพท์มาก็แกล้งโทร.ถามโน่นนี่นั่นคุยมันไปทุกวันนาทีละห้าสิบสตางค์ไม่มีอะไรต้องกังวล
จนกระทั่งวันหนึ่งเราทั้งสองพร้อมผองเพื่อนได้ไปเล่นบาสฯ ที่หมู่บ้านแถวๆ นนทบุรี พอขากลับแน่นอนว่าต้องมาด้วยกัน 2 คน ตอนนั้นเริ่มจะดึกคนบนรถก็ไม่มี รถที่เรานั่งเป็นรถมาสด้าเล็กๆ เราสองคนนั่งคนละเบาะต่างหันหน้าเข้าหากัน พี่ ม นั่งริมขวาสุด ส่วนตัวเรานั่งริมซ้ายสุด ต่างคนต่างมองออกนอกหน้าต่าง แต่อยู่ๆ พี่เค้าก็ลุกขึ้นมานั่งเบาะเดียวกัน เราอยู่อีกมุมเค้าอยู่อีกมุมห่างกันเพียงเอื้อมมือ ตอนนั้นหัวใจเต้นแรงมาก ความเงียบเข้าปกคลุมไม่มีการสนทนาระหว่างเราทั้งคู่พอถึงที่หมายต่างก็แยกย้ายจากกัน
พอใกล้วันวาเลนไทน์เราได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่ฟิวเจอร์พารค์ รังสิต ไปเจอร้านขายกรอบรูปน่ารักๆ ก็อยากจะซื้อให้พี่ ม แต่ปัญหาคือตั้งแต่คุยมาไม่เคยถามเลยว่าชอบสีอะไร 555 เราก็เลยโทร.ไปหาแล้วถามว่าชอบสีอะไร แกก็ตอบมาว่า “ชอบสีม่วง จะซื้ออะไรให้ในวันวาเลนไทน์หรอ” โห...เรานี่ไปแทบไม่เป็นเลย ในที่สุดเราก็ตัดสินใจเลือกรอบรูปอันเล็กๆ สีม่วง ช็อกโกแลตไมโลที่อันเล็กๆ หนึ่งกล่อง และลูกอมฮาร์ทบีทสีแดงอีกหนึ่งถุง
ก่อนวาเลนไทน์หนึ่งวันเราไปเดินเลือกซื้อกระดาษห่อของขวัญซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายของเราตามมาด้วย ไล่ให้กลับก็ไม่ยอมกลับ เดินตามถามเซ้าซี้ตลอดว่าซื้ออะไรให้ พอเราไปเลือกซื้อกระดาษห่อของขวัญก็บอกว่าแน่ใจหรอพี่จะชอบสีนี้ โอ๊ย! เป็นครั้งแรกที่รำคาญอยากให้ไปพ้นๆ คืนนั้นก็จัดการเลยค่ะแกะห่อช็อกโกแลตไมโลออกแล้วใช้กระดาษที่ซื้อมาห่อเข้าไปใหม่แล้วบรรจุลูกอมฮาร์ทบีทไว้ด้านล่างตามด้วยช็อกโกแลตเรียงวางด้านบนปิดฝาเรียบร้อย
และแล้ววันวาเลนไทน์แห่งชาติก็มาถึง วันนั้นทั้งวันตื่นเต้นมาก หยิบของขวัญขึ้มมาดูเป็นระยะๆ พินิจพิจารณาตั้งแต่เช้ายันเลิกเรียน พอตกเย็นก่อนไปซ้อมก็เล่นบาสฯ กับเพื่อนๆ ที่สนามโรงเรียน ด้วยความกลัวของขวัญจะหายเลยมาวางไว้แถวๆ นั้น ในขณะเดียวกันความซวยก็มาเยือนได้มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เล่นวอลเลย์บอลอีกฝั่งสนามตบลูกมาด้วยความเร็วสูงเปรี้ยงเดียวกล่องหัวใจที่บรรจุของไว้+กรอบรูปแตกคาที่ต่อหน้าต่อตา นาทีนั้นร้องไห้เลย ตรูยังไม่ได้ให้เค้าเลยพังซะแล้ว อุส่าห์ทะนุถนอมมาทั้งวัน ฮือๆๆๆ สุดท้ายก็ยัดใส่กระเป๋านักเรียนกะว่าไม่ให้แล้ว ทีนี้ตอนไปซ้อมพี่ ม ก็มาถามหาของขวัญ ไอ้เราได้แต่ทำตาปริบๆ น้ำตาคลอเบ้า พูดไม่ออกเลยว่ามันเละไปแล้ว 555+
หลังจากซ้อมเสร็จก็คิดว่าหรือเราก็ให้เค้าไปทั้งอย่างนั้นเลยดีมั้ย? ถึงแม้จะพังแต่มันก็คือความตั้งใจของเรา ทีนี้พอขึ้นรถเราต่างนั่งตรงข้ามกัน เราก็ค่อยๆ หยิบซากของขวัญที่แหลกกระจายอยู่ในถุงส่งให้พี่ ม แล้วก็เล่าให้แกฟังว่าเพราะอะไรมันถึงมีสภาพเยี่ยงนี้ แกตอบกลับมาว่า “รู้ว่าจะให้คนอื่นทำไมไม่รักษาไว้ให้ดี” เราก็ได้แต่ขอโทษๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกได้แต่นั่งหลับตาไม่อยากมองไปที่เค้าภาวนาให้ถึงที่หมายเร็วๆ ตอนถึงหัวมุมถนนตรงที่เราต้องแยกจากกันแกก็ยกถุงของขวัญขึ้นมาแล้วบอกว่า “ขอบคุณนะ” วินาทีนั้นมันแบบว่าเฮ้ย! เค้าโอเคกับเราใช่มั้ย? งานมโนผุดขึ้นอย่างกับงานอีเวนต์ พอกลับมาถึงบ้านก็ยังโทร.มาขอบคุณอีกที เราก็ถามว่าชอบมั้ย คำตอบคือ “ชอบ” แต่ถ้ามันไม่พังจะดีมาก
แฮ่ แฮ่ ฟังๆ แล้วเหมือนความพัฒนาจะเกิดขึ้นใช่มั้ยคะ? เปล่าเลย! หลังจากวันนั้นความสนิทเราก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเพิ่มเติมขึ้น เราเสียดายที่วันนั้นไม่กล้าพูดว่า “หนูชอบพี่” หากวันนั้นเรากล้าสักนิดจะมีโอกาสมั้ย? ที่ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนจากเดิม ถ้าย้อนเวลากับไปจะไม่ลังเลสักนิดถึงแม้จะถูกปฏิเสธก็จะไม่เสียใจที่ได้บอกความรู้สึกไป หลังจากนั้นตอนเราปิดเทอมใหญ่ก็เริ่มห่างกันเพราะพ่อเราเข้าโรงพยาบาล เราต้องอยู่เฝ้าพ่อหลายเดือนไม่มีเวลาที่ได้ไปเจอพี่ ม แต่ก็มีโทร.หาบ้างและก็ค่อยๆ หายไปๆ เปิดเทอมมาอีกทีพี่เค้าก็มีแฟนละ เราก็ต้องค่อยๆ กำจัดความรู้สึกไปให้เหลือแค่พี่น้องเพราะเรายังต้องเจอกันทุกวัน
ก็อยากจะบอกทุกคนถ้ารู้สึกดีๆ กับใครพูดออกไปเลย ถึงแม้ไม่สมหวังแต่เราก็ได้บอกความในใจให้เค้าได้ฟัง อย่างน้อยถ้าเรากล้าพูดออกไป...อย่างน้อย “เค้าก็อาจจะคิดตรงกับเรา” หรือถ้าไม่ “งานมโนก็จะน้อยลง”
ป.ล.ถ้าเราบอกวันนั้นคำตอบอาจคือ "ไม่" แต่เจ็บใจตัวเองที่ไม่กล้าพูดออกไปมากกว่า
วาเลนไทน์นั้น...ฉันชอบเธอ
แต่ทุกวาเลนไทน์ที่เวียนผ่านมาเราก็จะนึกถึงวีรกรรมที่เที่ยวไปบอกความรู้สึกคนที่ชอบ (เจ็บตัวทุกครา) ไม่ว่าจะรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน ส่วนรุ่นน้องนี่ยังไม่เคยลองสักที แต่ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันคงจะต้องได้ลองสักครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ยังคิดถึงอยู่ทุกวาเลนไทน์แม้จะผ่านมาสิบกว่าปีก็ยังคงประทับใจอยู่ถึงแม้จะไม่สมหวังก็ตาม เข้าเรื่องละนะ...
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนประมาณปี 47-48 ตอนนั้นเรากำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 เป็นนักบาสฯ ของโรงเรียน (สถาปนากันขึ้นมาเอง) ตอนเย็นหลังเลิกเรียนจะต้องไปซ้อมบาสฯ ที่มหา’ลัยข้างๆ โรงเรียน ที่นั่นเราได้เจอพี่ ม พี่เค้าเป็นนักบาสฯ เหมือนกัน แรกๆ ก็ไม่ได้ชอบนะแต่พอได้คลุกวงในบ่อยๆ ชักเริ่มหวั่นไหว เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ เพราะพี่เค้าอัธยาศัยดี คุยสนุก ไอ้เราก็คนใจง่ายก็ตกหลุกรักเลย
ทุกครั้งหลังจากที่ซ้อมเสร็จเรากับพี่ ม จะนั่งรถกลับบ้านทางเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความโชคดีที่ไม่ ก ข ค มาขัดขวางความฟิน เริ่มด้วยเราเนียนๆ ชวนคุยถามเรื่องทั่วไป สักพักเรื่องส่วนตัว พอเริ่มสนิทกันถามทุกเรื่องจ้า พอได้เบอร์โทรศัพท์มาก็แกล้งโทร.ถามโน่นนี่นั่นคุยมันไปทุกวันนาทีละห้าสิบสตางค์ไม่มีอะไรต้องกังวล
จนกระทั่งวันหนึ่งเราทั้งสองพร้อมผองเพื่อนได้ไปเล่นบาสฯ ที่หมู่บ้านแถวๆ นนทบุรี พอขากลับแน่นอนว่าต้องมาด้วยกัน 2 คน ตอนนั้นเริ่มจะดึกคนบนรถก็ไม่มี รถที่เรานั่งเป็นรถมาสด้าเล็กๆ เราสองคนนั่งคนละเบาะต่างหันหน้าเข้าหากัน พี่ ม นั่งริมขวาสุด ส่วนตัวเรานั่งริมซ้ายสุด ต่างคนต่างมองออกนอกหน้าต่าง แต่อยู่ๆ พี่เค้าก็ลุกขึ้นมานั่งเบาะเดียวกัน เราอยู่อีกมุมเค้าอยู่อีกมุมห่างกันเพียงเอื้อมมือ ตอนนั้นหัวใจเต้นแรงมาก ความเงียบเข้าปกคลุมไม่มีการสนทนาระหว่างเราทั้งคู่พอถึงที่หมายต่างก็แยกย้ายจากกัน
พอใกล้วันวาเลนไทน์เราได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่ฟิวเจอร์พารค์ รังสิต ไปเจอร้านขายกรอบรูปน่ารักๆ ก็อยากจะซื้อให้พี่ ม แต่ปัญหาคือตั้งแต่คุยมาไม่เคยถามเลยว่าชอบสีอะไร 555 เราก็เลยโทร.ไปหาแล้วถามว่าชอบสีอะไร แกก็ตอบมาว่า “ชอบสีม่วง จะซื้ออะไรให้ในวันวาเลนไทน์หรอ” โห...เรานี่ไปแทบไม่เป็นเลย ในที่สุดเราก็ตัดสินใจเลือกรอบรูปอันเล็กๆ สีม่วง ช็อกโกแลตไมโลที่อันเล็กๆ หนึ่งกล่อง และลูกอมฮาร์ทบีทสีแดงอีกหนึ่งถุง
ก่อนวาเลนไทน์หนึ่งวันเราไปเดินเลือกซื้อกระดาษห่อของขวัญซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายของเราตามมาด้วย ไล่ให้กลับก็ไม่ยอมกลับ เดินตามถามเซ้าซี้ตลอดว่าซื้ออะไรให้ พอเราไปเลือกซื้อกระดาษห่อของขวัญก็บอกว่าแน่ใจหรอพี่จะชอบสีนี้ โอ๊ย! เป็นครั้งแรกที่รำคาญอยากให้ไปพ้นๆ คืนนั้นก็จัดการเลยค่ะแกะห่อช็อกโกแลตไมโลออกแล้วใช้กระดาษที่ซื้อมาห่อเข้าไปใหม่แล้วบรรจุลูกอมฮาร์ทบีทไว้ด้านล่างตามด้วยช็อกโกแลตเรียงวางด้านบนปิดฝาเรียบร้อย
และแล้ววันวาเลนไทน์แห่งชาติก็มาถึง วันนั้นทั้งวันตื่นเต้นมาก หยิบของขวัญขึ้มมาดูเป็นระยะๆ พินิจพิจารณาตั้งแต่เช้ายันเลิกเรียน พอตกเย็นก่อนไปซ้อมก็เล่นบาสฯ กับเพื่อนๆ ที่สนามโรงเรียน ด้วยความกลัวของขวัญจะหายเลยมาวางไว้แถวๆ นั้น ในขณะเดียวกันความซวยก็มาเยือนได้มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เล่นวอลเลย์บอลอีกฝั่งสนามตบลูกมาด้วยความเร็วสูงเปรี้ยงเดียวกล่องหัวใจที่บรรจุของไว้+กรอบรูปแตกคาที่ต่อหน้าต่อตา นาทีนั้นร้องไห้เลย ตรูยังไม่ได้ให้เค้าเลยพังซะแล้ว อุส่าห์ทะนุถนอมมาทั้งวัน ฮือๆๆๆ สุดท้ายก็ยัดใส่กระเป๋านักเรียนกะว่าไม่ให้แล้ว ทีนี้ตอนไปซ้อมพี่ ม ก็มาถามหาของขวัญ ไอ้เราได้แต่ทำตาปริบๆ น้ำตาคลอเบ้า พูดไม่ออกเลยว่ามันเละไปแล้ว 555+
หลังจากซ้อมเสร็จก็คิดว่าหรือเราก็ให้เค้าไปทั้งอย่างนั้นเลยดีมั้ย? ถึงแม้จะพังแต่มันก็คือความตั้งใจของเรา ทีนี้พอขึ้นรถเราต่างนั่งตรงข้ามกัน เราก็ค่อยๆ หยิบซากของขวัญที่แหลกกระจายอยู่ในถุงส่งให้พี่ ม แล้วก็เล่าให้แกฟังว่าเพราะอะไรมันถึงมีสภาพเยี่ยงนี้ แกตอบกลับมาว่า “รู้ว่าจะให้คนอื่นทำไมไม่รักษาไว้ให้ดี” เราก็ได้แต่ขอโทษๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกได้แต่นั่งหลับตาไม่อยากมองไปที่เค้าภาวนาให้ถึงที่หมายเร็วๆ ตอนถึงหัวมุมถนนตรงที่เราต้องแยกจากกันแกก็ยกถุงของขวัญขึ้นมาแล้วบอกว่า “ขอบคุณนะ” วินาทีนั้นมันแบบว่าเฮ้ย! เค้าโอเคกับเราใช่มั้ย? งานมโนผุดขึ้นอย่างกับงานอีเวนต์ พอกลับมาถึงบ้านก็ยังโทร.มาขอบคุณอีกที เราก็ถามว่าชอบมั้ย คำตอบคือ “ชอบ” แต่ถ้ามันไม่พังจะดีมาก
แฮ่ แฮ่ ฟังๆ แล้วเหมือนความพัฒนาจะเกิดขึ้นใช่มั้ยคะ? เปล่าเลย! หลังจากวันนั้นความสนิทเราก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเพิ่มเติมขึ้น เราเสียดายที่วันนั้นไม่กล้าพูดว่า “หนูชอบพี่” หากวันนั้นเรากล้าสักนิดจะมีโอกาสมั้ย? ที่ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนจากเดิม ถ้าย้อนเวลากับไปจะไม่ลังเลสักนิดถึงแม้จะถูกปฏิเสธก็จะไม่เสียใจที่ได้บอกความรู้สึกไป หลังจากนั้นตอนเราปิดเทอมใหญ่ก็เริ่มห่างกันเพราะพ่อเราเข้าโรงพยาบาล เราต้องอยู่เฝ้าพ่อหลายเดือนไม่มีเวลาที่ได้ไปเจอพี่ ม แต่ก็มีโทร.หาบ้างและก็ค่อยๆ หายไปๆ เปิดเทอมมาอีกทีพี่เค้าก็มีแฟนละ เราก็ต้องค่อยๆ กำจัดความรู้สึกไปให้เหลือแค่พี่น้องเพราะเรายังต้องเจอกันทุกวัน
ก็อยากจะบอกทุกคนถ้ารู้สึกดีๆ กับใครพูดออกไปเลย ถึงแม้ไม่สมหวังแต่เราก็ได้บอกความในใจให้เค้าได้ฟัง อย่างน้อยถ้าเรากล้าพูดออกไป...อย่างน้อย “เค้าก็อาจจะคิดตรงกับเรา” หรือถ้าไม่ “งานมโนก็จะน้อยลง”
ป.ล.ถ้าเราบอกวันนั้นคำตอบอาจคือ "ไม่" แต่เจ็บใจตัวเองที่ไม่กล้าพูดออกไปมากกว่า