9 สัญญาณบอกเหตุโรคซึมเศร้า

1. อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ก้าวร้าว
2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง
3. สมาธิเสีย คือ ไม่ค่อยมีสมาธิเวลาทำสิ่งต่างๆ
4. รู้สึกอ่อนเพลีย
5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด
6. รับประทานอาหารมากขึ้น หรือรับประทานน้อยลง
7. นอนมากขึ้น หรือนอนน้อยลง
8. ตำหนิตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พบได้มากในคนเป็นโรคซึมเศร้า
9. ฆ่าตัวตาย หากมีการพยายามฆ่าตัวตาย ก็ตั้งข้อสันนิษฐานได้เช่นกันว่า คนนั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้า
ทั้งนี้อาการของโรคซึมเศร้า ต้องมี 5 ใน 9 อย่างนี้นาน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน
ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นจำนวนมาก ประมาณ 5-7% ของประชากรเลยทีเดียว แต่โรคนี้ก็รักษาได้ง่ายมากรักษา 2 สัปดาห์ก็เห็นผลชัด ซึ่งบางคน 2 สัปดาห์ก็กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติแล้ว แต่หากไม่รักษาอาจจะชีวิตพัง เช่น หย่าร้างกับคู่ ต้องออกจากงาน หรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย
การรักษาโรคซึมเศร้ามี 3 องค์ประกอบด้วยกัน อย่างแรกคือ ยา ที่จะช่วยปรับสารสื่อประสาทในสมองให้สมดุล แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ องค์ประกอบที่ 2 นั่นคือ การทำจิตบำบัดให้คนไข้ เช่นคนไข้มีปัญหาที่การควบคุมอารมณ์ ก็แก้ที่การควบคุมอารมณ์
นอกจากนี้องค์ประกอบที่ 3 คือ เรื่องของสังคม ก็มีส่วนช่วยบำบัดฟื้นฟูมาก เช่น คนไข้ที่เมื่อมารักษากับแพทย์ กลับบ้านไปแล้วมีกิจกรรมทำ กลับไปเรียนหนังสือตามปกติ ไปทำงานมีเพื่อนฝูงตรงนี้จะยิ่งทำให้คนไข้ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ไว เทียบกับคนที่กินยา แต่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร แม้จะกินยาเหมือนกันแต่ว่าผลในการบำบัดรักษาฟื้นฟูจะแตกต่างกัน คือ กลุ่มที่เก็บเนื้อเก็บตัว ผลการรักษาจะไม่ดีเท่าไหร่
โรคซึมเศร้าจะมีเกณฑ์ว่ามักเริ่มเป็นตอนอายุ 25 ปี แล้วก็จะเป็นไประยะยาวเลย แม้จะรักษาแล้วก็ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เหมือนโรคเบาหวาน ความดัน ที่ต่อให้ไม่มีอาการแล้วก็ต้องทานยาควบคุมไม่ให้อาการกำเริบ แต่โรคนี้ก็มีข้อดีตรงที่ เมื่อเข้ารับการรักษาแล้ว สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เป็นคนเก่ง เรียนถึงปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสังคมได้หมด
ดังนั้นสำหรับการรักษา หากกินยาจนครบ หมอจะให้หยุดยา แต่ก็ยังต้องเฝ้าสังเกตอาการ เพราะมันอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้ เหมือนอย่างโรคมะเร็ง พอเราฆ่าเชื้อมะเร็งหมดไป เราก็ต้องเฝ้าดูอาการว่ามะเร็งมันจะกลับมาเป็นซ้ำหรือเปล่า โรคซึมเศร้าก็เป็นลักษณะนั้น ดังนั้นการรับมือกับโรคนี้คือ หมั่นสังเกตอาการที่บอกไป 9 อย่าง อย่าละเลยจนให้ถึงกับว่าคนๆ หนึ่งต้องออกจากงาน หย่าร้างกับสามี ตีลูกโดยไม่มีเหตุผล เพราะแม่ที่เป็นลูกซึมเศร้า เลี้ยงลูก ลูกก็มีปัญหา ฉะนั้นหากเจอสัญญาณอันตราย การเป็นโรคนี้แต่เนิ่นๆ อย่ารอจนเขามีความคิดฆ่าตัวตาย ควรรีบเข้าสู่กระบวนการรักษาให้เร็วที่สุด
(ขออภัยครับจำที่มาของข้อมูลไม่ได้เลยไม่ได้ลงเครดิตไว้)
เนื่องจากผมเคยตั้งกระทู้ไว้เมื่อปี 2557 หลังจากนั้นก็ห่างหายหน้าไป
ช่วงนี้มีผู้ที่อ่านกระทู้เดิมของผมแล้วแอดไอดีผมเข้ามาเรื่อยๆ
ผมเลยคิดว่า คงยังมีผู้คนอีกมากมายที่ประสบปัญหานี้อยู่
และช่วงที่ผมตั้งกระทู้ก็อาจจะไม่ได้เข้ามาอ่านเจอ
ผมจึงขอนำข้อมูลเดิมบางส่วนมาลงใหม่
และจะอัพเดทตัวผมเองว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร ต่อจากกระทู้ที่แล้ว
ย้อนอ่านได้ที่
http://pantip.com/topic/32941697
( 5 ธ.ค. 2557)
หลังจากกลับมารักษาอีกครั้ง กับคุณหมอคนสวยที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง
ช่วงแรกรับยาเยอะมากมายหลายตัว ขึ้นกับอาการ ซึ่งช่วงแรกหมอสงสัยว่า ผมเป็นโรคอะไรกันแน่
ระหว่างโรคซึมเศร้าหรือโรคไบโพล่าร์ เพราะโรคไบโพล่าร์ก็มีช่วงมาเนีย(ไฮเปอร์,อารมณ์รุนแรง,...) กับภาวะซึมเศร้า สลับกัน แต่การเกิดแต่ละภาวะไม่แน่นอน อาจเกิดมาเนีย นิ่ง มาเนีย นิ่ง ซึมเศร้า นิ่ง มาเนีย นิ่ง ซึมเศร้า ไม่แน่นอนในแต่ละคน
ผมปกติจะกระตือลือร้นมาก ทำอะไรรวดเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว พูดเร็วและพูดเยอะ
หมอเลยสงสัยว่าผมเป็นมาเนียรึเปล่า แต่ช่วงแรกจ่ายยาต้านซึมเศร้าให้ รวมทั้งยานอนหลับ เพราะผมมีภาวะนอนไม่หลับ(เลย)
(อินซอมเนี่ย)
ผลการรักษาร่วมกับความพยายามสร้างกำลังใจด้วยตัวเองตลอดเวลา ก็สามารถใช้ชีวิตร่าเริงสดใสได้ตามปกติ แต่ทว่า บางครั้งก็ยังเกิดภาวะซึมเศร้าเข้ามาจู่โจมอีก จนหมอคนสวยตัดสินใจให้ยากลุ่มไบโพล่าร์ร่วมกับกลุ่มซึมเศร้า
ผลปรากฏว่าอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (รู้สึกได้ด้วยตัวผมเอง)
และก็มีการลองปรับยาเรื่อยๆ จนล่าสุดเหลือตัวเดียวเม็ดเดียว ก่อนนอน(สำหรับยาต้านไบโพล่าร์) ส่วนยานอนหลับยังคงใช้อยู่ แต่ปริมาณที่ใช้น้อยมากๆ
ผมอยากบอกผู้ที่ประสบปัญหาด้านนี้ จากประสบการณ์ตรงของผมว่า
1.อันดับแรกคุณไม่ได้ทำตัวเองหรือคิดไปเอง มันเป็นภาวะของโรคครับ

ผมเบื่อมากที่คนรอบข้างชอบบอกว่าที่เป็นเพราะ ผมทำตัวเอง คิดไปเอง ทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ เบื่อสุดๆขอบอก
ดังนั้นคุณอย่าใส่ใจหรือสนใจกับคำพูดหรือท่าทีต่างๆเหล่านั้น มันเป็นการยัดความคิดด้านลบใส่สมองคุณ
เรามาคิดบวกดีกว่า คาดหวัวได้เลยว่า สักวันความร่าเริงสดใส การมีชีวิตชีวา ต้องกลับคืนมาแน่นอน
2.อันดับสอง เสิร์ชหารพ.ที่มีหมอด้านนี้โดยตรง (จิตแพทย์) แล้วโทรนัดล่วงหน้า

<== หมอผมแต่ไม่ใส่แว่นนะครับ
ที่กรุงเทพ ในกลุ่มเดิมที่ผมเคยอยู่ แนะนำที่รพ.รามา และหมอผมแนะนำ รพ.มนารมย์ มีอาจารย์หมอเก่งๆเยอะครับ
ดังนั้นสรุปว่า ต้องหาหมอก่อนเลยนะครับ
3.อันดับถ้ดมา เราต้องหาวิธีที่จะทำให้ใจเราสงบลง ฟุ้งซ่านน้อยลง

แต่ละคน อาจใช้วิธีไม่เหมือนกัน ลองๆดูครับ จะพบเจอเอง เช่น ศึกษาธรรมะ เข้าวัดสวดมนต์ ทำบุญทำทาน หางานอดิเรกทำ เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ร่วมกิจกรรมช่วยสังคม มีอีกมากมายครับ
ซึ่งจะช่วยเบนความสนใจของเราออกจากความซึมเศร้าฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดี อย่าคาดหวังมากเกินไป วิธีนี้ไม่เวิร์ค เราก็ลองวิธีอื่นครับ
ป.ล.1 ถ้าพิมพ์ผิด หรืออ่านยาก เว้นวรรคไม่ดี ต้องขออภัย เพราะพิมพ์จากมือถือครับ ยากมากมาย แก้แล้วแก้อีกบ่อยมาก อาจมีตกหล่นได้
ป.ล.2 แก้ไขข้อความให้ถูกต้องผ่านคอมแล้วครับ และอย่าส่งหลังไมค์นะครับ ส่วนใหญ่ไม่ได้ล็อกอิน จะไม่เห็นอินบ็อกซ์
9 สัญญาณบอกเหตุโรคซึมเศร้า กลับมาอัพเดทอีกครั้งครับ
1. อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ก้าวร้าว
2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง
3. สมาธิเสีย คือ ไม่ค่อยมีสมาธิเวลาทำสิ่งต่างๆ
4. รู้สึกอ่อนเพลีย
5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด
6. รับประทานอาหารมากขึ้น หรือรับประทานน้อยลง
7. นอนมากขึ้น หรือนอนน้อยลง
8. ตำหนิตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พบได้มากในคนเป็นโรคซึมเศร้า
9. ฆ่าตัวตาย หากมีการพยายามฆ่าตัวตาย ก็ตั้งข้อสันนิษฐานได้เช่นกันว่า คนนั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้า
ทั้งนี้อาการของโรคซึมเศร้า ต้องมี 5 ใน 9 อย่างนี้นาน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน
ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นจำนวนมาก ประมาณ 5-7% ของประชากรเลยทีเดียว แต่โรคนี้ก็รักษาได้ง่ายมากรักษา 2 สัปดาห์ก็เห็นผลชัด ซึ่งบางคน 2 สัปดาห์ก็กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติแล้ว แต่หากไม่รักษาอาจจะชีวิตพัง เช่น หย่าร้างกับคู่ ต้องออกจากงาน หรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย
การรักษาโรคซึมเศร้ามี 3 องค์ประกอบด้วยกัน อย่างแรกคือ ยา ที่จะช่วยปรับสารสื่อประสาทในสมองให้สมดุล แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ องค์ประกอบที่ 2 นั่นคือ การทำจิตบำบัดให้คนไข้ เช่นคนไข้มีปัญหาที่การควบคุมอารมณ์ ก็แก้ที่การควบคุมอารมณ์
นอกจากนี้องค์ประกอบที่ 3 คือ เรื่องของสังคม ก็มีส่วนช่วยบำบัดฟื้นฟูมาก เช่น คนไข้ที่เมื่อมารักษากับแพทย์ กลับบ้านไปแล้วมีกิจกรรมทำ กลับไปเรียนหนังสือตามปกติ ไปทำงานมีเพื่อนฝูงตรงนี้จะยิ่งทำให้คนไข้ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ไว เทียบกับคนที่กินยา แต่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร แม้จะกินยาเหมือนกันแต่ว่าผลในการบำบัดรักษาฟื้นฟูจะแตกต่างกัน คือ กลุ่มที่เก็บเนื้อเก็บตัว ผลการรักษาจะไม่ดีเท่าไหร่
โรคซึมเศร้าจะมีเกณฑ์ว่ามักเริ่มเป็นตอนอายุ 25 ปี แล้วก็จะเป็นไประยะยาวเลย แม้จะรักษาแล้วก็ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เหมือนโรคเบาหวาน ความดัน ที่ต่อให้ไม่มีอาการแล้วก็ต้องทานยาควบคุมไม่ให้อาการกำเริบ แต่โรคนี้ก็มีข้อดีตรงที่ เมื่อเข้ารับการรักษาแล้ว สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เป็นคนเก่ง เรียนถึงปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสังคมได้หมด
ดังนั้นสำหรับการรักษา หากกินยาจนครบ หมอจะให้หยุดยา แต่ก็ยังต้องเฝ้าสังเกตอาการ เพราะมันอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้ เหมือนอย่างโรคมะเร็ง พอเราฆ่าเชื้อมะเร็งหมดไป เราก็ต้องเฝ้าดูอาการว่ามะเร็งมันจะกลับมาเป็นซ้ำหรือเปล่า โรคซึมเศร้าก็เป็นลักษณะนั้น ดังนั้นการรับมือกับโรคนี้คือ หมั่นสังเกตอาการที่บอกไป 9 อย่าง อย่าละเลยจนให้ถึงกับว่าคนๆ หนึ่งต้องออกจากงาน หย่าร้างกับสามี ตีลูกโดยไม่มีเหตุผล เพราะแม่ที่เป็นลูกซึมเศร้า เลี้ยงลูก ลูกก็มีปัญหา ฉะนั้นหากเจอสัญญาณอันตราย การเป็นโรคนี้แต่เนิ่นๆ อย่ารอจนเขามีความคิดฆ่าตัวตาย ควรรีบเข้าสู่กระบวนการรักษาให้เร็วที่สุด
(ขออภัยครับจำที่มาของข้อมูลไม่ได้เลยไม่ได้ลงเครดิตไว้)
เนื่องจากผมเคยตั้งกระทู้ไว้เมื่อปี 2557 หลังจากนั้นก็ห่างหายหน้าไป
ช่วงนี้มีผู้ที่อ่านกระทู้เดิมของผมแล้วแอดไอดีผมเข้ามาเรื่อยๆ
ผมเลยคิดว่า คงยังมีผู้คนอีกมากมายที่ประสบปัญหานี้อยู่
และช่วงที่ผมตั้งกระทู้ก็อาจจะไม่ได้เข้ามาอ่านเจอ
ผมจึงขอนำข้อมูลเดิมบางส่วนมาลงใหม่
และจะอัพเดทตัวผมเองว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร ต่อจากกระทู้ที่แล้ว
ย้อนอ่านได้ที่
http://pantip.com/topic/32941697
( 5 ธ.ค. 2557)
หลังจากกลับมารักษาอีกครั้ง กับคุณหมอคนสวยที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง
ช่วงแรกรับยาเยอะมากมายหลายตัว ขึ้นกับอาการ ซึ่งช่วงแรกหมอสงสัยว่า ผมเป็นโรคอะไรกันแน่
ระหว่างโรคซึมเศร้าหรือโรคไบโพล่าร์ เพราะโรคไบโพล่าร์ก็มีช่วงมาเนีย(ไฮเปอร์,อารมณ์รุนแรง,...) กับภาวะซึมเศร้า สลับกัน แต่การเกิดแต่ละภาวะไม่แน่นอน อาจเกิดมาเนีย นิ่ง มาเนีย นิ่ง ซึมเศร้า นิ่ง มาเนีย นิ่ง ซึมเศร้า ไม่แน่นอนในแต่ละคน
ผมปกติจะกระตือลือร้นมาก ทำอะไรรวดเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว พูดเร็วและพูดเยอะ
หมอเลยสงสัยว่าผมเป็นมาเนียรึเปล่า แต่ช่วงแรกจ่ายยาต้านซึมเศร้าให้ รวมทั้งยานอนหลับ เพราะผมมีภาวะนอนไม่หลับ(เลย)
(อินซอมเนี่ย)
ผลการรักษาร่วมกับความพยายามสร้างกำลังใจด้วยตัวเองตลอดเวลา ก็สามารถใช้ชีวิตร่าเริงสดใสได้ตามปกติ แต่ทว่า บางครั้งก็ยังเกิดภาวะซึมเศร้าเข้ามาจู่โจมอีก จนหมอคนสวยตัดสินใจให้ยากลุ่มไบโพล่าร์ร่วมกับกลุ่มซึมเศร้า
ผลปรากฏว่าอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (รู้สึกได้ด้วยตัวผมเอง)
และก็มีการลองปรับยาเรื่อยๆ จนล่าสุดเหลือตัวเดียวเม็ดเดียว ก่อนนอน(สำหรับยาต้านไบโพล่าร์) ส่วนยานอนหลับยังคงใช้อยู่ แต่ปริมาณที่ใช้น้อยมากๆ
ผมอยากบอกผู้ที่ประสบปัญหาด้านนี้ จากประสบการณ์ตรงของผมว่า
1.อันดับแรกคุณไม่ได้ทำตัวเองหรือคิดไปเอง มันเป็นภาวะของโรคครับ
ผมเบื่อมากที่คนรอบข้างชอบบอกว่าที่เป็นเพราะ ผมทำตัวเอง คิดไปเอง ทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ เบื่อสุดๆขอบอก
ดังนั้นคุณอย่าใส่ใจหรือสนใจกับคำพูดหรือท่าทีต่างๆเหล่านั้น มันเป็นการยัดความคิดด้านลบใส่สมองคุณ
เรามาคิดบวกดีกว่า คาดหวัวได้เลยว่า สักวันความร่าเริงสดใส การมีชีวิตชีวา ต้องกลับคืนมาแน่นอน
2.อันดับสอง เสิร์ชหารพ.ที่มีหมอด้านนี้โดยตรง (จิตแพทย์) แล้วโทรนัดล่วงหน้า
ที่กรุงเทพ ในกลุ่มเดิมที่ผมเคยอยู่ แนะนำที่รพ.รามา และหมอผมแนะนำ รพ.มนารมย์ มีอาจารย์หมอเก่งๆเยอะครับ
ดังนั้นสรุปว่า ต้องหาหมอก่อนเลยนะครับ
3.อันดับถ้ดมา เราต้องหาวิธีที่จะทำให้ใจเราสงบลง ฟุ้งซ่านน้อยลง
แต่ละคน อาจใช้วิธีไม่เหมือนกัน ลองๆดูครับ จะพบเจอเอง เช่น ศึกษาธรรมะ เข้าวัดสวดมนต์ ทำบุญทำทาน หางานอดิเรกทำ เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ร่วมกิจกรรมช่วยสังคม มีอีกมากมายครับ
ซึ่งจะช่วยเบนความสนใจของเราออกจากความซึมเศร้าฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดี อย่าคาดหวังมากเกินไป วิธีนี้ไม่เวิร์ค เราก็ลองวิธีอื่นครับ
ป.ล.1 ถ้าพิมพ์ผิด หรืออ่านยาก เว้นวรรคไม่ดี ต้องขออภัย เพราะพิมพ์จากมือถือครับ ยากมากมาย แก้แล้วแก้อีกบ่อยมาก อาจมีตกหล่นได้
ป.ล.2 แก้ไขข้อความให้ถูกต้องผ่านคอมแล้วครับ และอย่าส่งหลังไมค์นะครับ ส่วนใหญ่ไม่ได้ล็อกอิน จะไม่เห็นอินบ็อกซ์