แนะนำตัวก่อนครับ ผมเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่มีงาน
จอยโปรเจคกับเพื่อนที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ รับงานด้านถ่ายภาพ 360 องศาลง Google Street View จู่ๆ เพื่อนก็ชวนให้มารีวิว
โฮสเทล Bed @ Town ซึ่งทางที่พักออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า
อยากได้อารมณ์จริงของคนต่างจังหวัดที่มาพักโฮสเทลแห่งนี้ จะได้เขียนทุกอย่างไปตามความจริง
แบบไม่เฟก เพื่อนำข้อคิดเห็นเหล่านั้นมาปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วย
บอกก่อนนะครับครั้งนี้ถือเป็น
ครั้งแรกที่ได้มากรุงเทพฯ เมื่อก่อนจะแค่ผ่านไปจังหวัดอื่น ดังนั้นก่อนมาก็เริ่มต้นทำการบ้านทันทีโดยเริ่มจากการหา
พิกัดจาก Google แล้วดูว่ารอบๆ นั้นมีอะไรน่าสนใจบ้างและถามจากเพื่อนประกอบด้วยจึงได้ข้อมูลว่า
โฮสเทล Bed @ Town อยู่เยื้องกับ
ห้างเซ็นทรัลเวิร์ด ระแวกนั้นมีห้างใหญ่เต็มไปหมดเช่น
สยามพาราก้อน, แพลตตินั่ม, สยามสแควร์ แต่สิ่งที่ผมตื่นเต้นก็คือจะได้มาเยือนแลนด์มาร์กทางการเมืองหลายๆ จุดย่าน
ราชประสงค์ และบริเวณ
ท้าวมหาพรหม
ผมเดินทางมาจากเชียงใหม่โดยเครื่องบินรอบ 8.30 น. มาถึงกทม.ประมาณ 9.35 ก็ต่อแท็กซี่ตรงมาเซ็นทรัลเวิร์ด ซึ่งตลอดทางพี่แท็กซี่ก็เล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังตลอดทาง ผมสังเกตพี่เค้าจะคอยชำเลืองมองผมเหมือนกลัวจะอัดคลิปหรืออะไรทำนองนั้น เพราะพี่แท็กซี่เล่าอะไรๆ ให้ฟังซะอย่างกับจะไปเปิดรายการทีวียังไงยังงั้น ( 555 )
มาถึงหน้าเซ็นทรัลเวิร์ดแท็กซี่ก็จอด ผมดินไปพร้อมกับ
เปิด GPS หาพิกัดของซอย ซึ่งโชว์ว่าใกล้จะถึงล่ะ ก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานลอยเห็น
พี่วินมอไซค์ผมก็ยื่นโทรศัพท์ให้ดูพร้อมกับถามว่าจุดในภาพคือตรงไหน? ...
วินมอไซค์ก็บอกขึ้นหลังรถเลยเดี๋ยวพาไปเองพร้อมกับสตาร์ทรถประมาณกดดันให้ผมขึ้นซ้อนท้าย แต่สุดท้ายก็พาผม
หลงซอยครับ เลยต้องโทรหาเพื่อนมารับ เดินหากันกว่าจะเจอแทบขาลากเหมือนกัน T T
หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จก็เข้าพักที่
ห้อง 205 ซึ่งเป็นห้องพัก
เตียงคู่ครับ แม้จะมาคนเดียวแต่เพราะมีสัมภาระเยอะเจ้าของเลยจัดห้องนี้ให้ ภายในห้องมีแอร์ และเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่างครับ ทั้งทีวี, ชั้นวางของ, ตู้เสื้อผ้า, ชั้นวางรองเท้า ส่วนห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ ซึ่งห้องน้ำในตัวจะมีแค่ห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นห้องน้ำรวม และห้องนี้มีอาหารเช้ารวมให้ด้วยแต่ต้องนำบัตรไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมบางกอกซิตี้อินน์ซึ่งอยู่ติดกัน
ชมภาพห้องทีละแบบกันเลยนะครับ เริ่มจากห้องที่ผมพักก่อน คือ
ห้อง 205 เตียงคู่
ถัดมาเป็น
ห้อง 202 เตียงเดี่ยว ราคาหัวละ
800 บาท เป็นเตียงเดี่ยวนอนได้คนเดียว ดูจากพื้นที่ห้องแล้วเหมาะกับการมานอนเพียงอย่างเดียวครับ ถ้าเป็นคนตัวใหญ่อาจอึดอัดนิดนึง แต่ก็พอยืดเส้นยืดสายได้ ภายในห้องมีแอร์, ตู้ไว้เสื้อผ้า และชั้นวางรองเท้าเท่านั้น
ถัดมาเป็นห้อง
เตียงเดี่ยว 2 ชั้น นอนได้ 2 คน หัวละ
600 บาท เป็นเตียง 2 ชั้นครับ เครื่องอำนวยความสะดวกทุกห้องจะเหมือนกันทั้งหมด เตียงชั้นบนมีผ้าม่านเลื่อนมาปิดเพื่อความส่วนตัวได้ ผมลองขึ้นไปบนเตียงชั้นสองเพื่อทดสอบความยากง่ายและความแข็งแรงของบันได ผมคิดว่าขั้นบันไดอาจจะลื่นนิดนึงเพราะเป็นไม้อัดการขึ้นต้องระวังมาก ถ้าเป็นคนตัวเล็กอาจไม่มีปัญหา แต่ความชันของบันไดอาจมีปัญหาสำหรับคนอ้วนหรือรูปร่างใหญ่ ราวเหล็กและพื้นที่ชั้นบนทุกอย่างมั่นคงแน่นหนา หากไม่ใช่คนที่นอนดิ้นจนต้องห่วงเรื่องตกเตียงแล้วเรื่องอื่นก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงครับ
ถัดมาเป็นภาพห้อง
สำหรับ 4 คน ราคาหัวละ 600 บาท การดีไซน์จะเหมือนกันหมด จะมีเพียงตู้ไว้เสื้อผ้าและล็อกเกอร์ที่มากขึ้นตามจำนวนคนพัก
ภาพห้องสำหรับ 8 คนครับ
และยังมีเตียงแคปซูล เป็นเตียงเดี่ยว 2 ชั้นเรียงกันทั้งหมด 6 เตียง สามารถนอนรวมกันได้ถึง 12 คน ราคาหัวละ 600 บาท
ห้องพักที่นี่เป็นโซนแยกชายและหญิงออกจากกันดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องเพศ อีกทั้งมีพนักงานคอยตรวจตราความเรียบร้อยตามชั้นต่างๆ ทุกๆ 30 นาที อีกทั้งมีกล้องวงจรปิดภายนอกห้องทุกจุดทั่วทั้งตึก ดังนั้นจึงมั่นใจได้ในเรื่องของความปลอดภัยได้ ในแต่ละโซนจะมีโต๊ะอาหาร และโต๊ะรับแขกไว้นั่งรีแลกซ์ได้
ช่วงกลางวันผมเดินไปเที่ยว
เซ็นทรัลเวิร์ดจากนั้นขึ้นไปบน
สกายวอล์คเดินไปสยามพารากอน, สยามสแควร์, และสถานที่สำคัญอื่นๆ อีกหลายแห่ง ช่วงเย็นผมเดินไปลองกินอาหารแถวๆ สี่แยกห้างแพลตตินั่ม ซึ่งมีร้านอาหารหลากหลายให้เลือก ผมสังเกตเห็นคนจีนเยอะมาก
จากการมาพักที่นี่ 2 คืน 3 วัน นอกจากเดินเที่ยวห้างใหญ่ๆ ระแวกเซ็นทรัลเวิร์ลแล้วผมยังเดินทางไปหาเพื่อนที่บึงกุ่ม, รามคำแหง ไปเที่ยวห้างเมกะบางนา ได้ชมวิถีชีวิตคนกรุงเทพฯ ค่อนข้างใกล้ชิด ที่พักแห่งนี้อยู่ใจกลางเมืองหลวงน่าจะเหมาะกับคนที่มาธุระในตัวเมือง ไม่มีสัมภาระอะไรมาก ต้องการเพียงที่หลับนอน อีกทั้งราคาไม่แพงสามารถพักติดต่อกันได้หลายวัน ชาวต่างจังหวัดอย่างผมถ้าได้มากรุงเทพฯ อีก ก็คงไม่พลาดที่จะมานอนที่นี่ครับ เพราะเดินทางไปสถานที่สำคัญง่าย และ ราคาห้องไม่แพง
สุดท้ายก็อยากบอกว่าผมเป็นคน Slow Life ค่อนไปทาง Snail Life หรือเผลอๆ อาจเป็น Sloth Life ไปแล้ว (555) มาสัมผัสวิถีชีวิตคนเมืองกรุงแบบ Speed Life รู้สึกเหมือนมีแรงผลักดันให้ตัวเองต้องเร่งเข็มนาฬิกาชีวิตของตัวเองให้เร็วขึ้น เพราะทุกวันนี้โลกหมุนไปไวมาก แค่ชั่วพริบตาอะไรๆ ก็ผ่านไปแล้ว การได้มาสัมผัสเมืองกรุงฯ ครั้งนี้นอกจากได้มาสัมผัสบรรยากาศการพักที่โฮสเทล Bed @ Town แล้วยังได้อะไรดีๆ กลับไปอีก ก็หวังไว้ว่าจะมีโอกาสมา Slow Life in Bangkok อีก.
[SR] [SR] รีวิวโฮสเทล Bed @ Town
บอกก่อนนะครับครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มากรุงเทพฯ เมื่อก่อนจะแค่ผ่านไปจังหวัดอื่น ดังนั้นก่อนมาก็เริ่มต้นทำการบ้านทันทีโดยเริ่มจากการหาพิกัดจาก Google แล้วดูว่ารอบๆ นั้นมีอะไรน่าสนใจบ้างและถามจากเพื่อนประกอบด้วยจึงได้ข้อมูลว่าโฮสเทล Bed @ Town อยู่เยื้องกับห้างเซ็นทรัลเวิร์ด ระแวกนั้นมีห้างใหญ่เต็มไปหมดเช่นสยามพาราก้อน, แพลตตินั่ม, สยามสแควร์ แต่สิ่งที่ผมตื่นเต้นก็คือจะได้มาเยือนแลนด์มาร์กทางการเมืองหลายๆ จุดย่านราชประสงค์ และบริเวณท้าวมหาพรหม
ผมเดินทางมาจากเชียงใหม่โดยเครื่องบินรอบ 8.30 น. มาถึงกทม.ประมาณ 9.35 ก็ต่อแท็กซี่ตรงมาเซ็นทรัลเวิร์ด ซึ่งตลอดทางพี่แท็กซี่ก็เล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังตลอดทาง ผมสังเกตพี่เค้าจะคอยชำเลืองมองผมเหมือนกลัวจะอัดคลิปหรืออะไรทำนองนั้น เพราะพี่แท็กซี่เล่าอะไรๆ ให้ฟังซะอย่างกับจะไปเปิดรายการทีวียังไงยังงั้น ( 555 )
มาถึงหน้าเซ็นทรัลเวิร์ดแท็กซี่ก็จอด ผมดินไปพร้อมกับเปิด GPS หาพิกัดของซอย ซึ่งโชว์ว่าใกล้จะถึงล่ะ ก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานลอยเห็นพี่วินมอไซค์ผมก็ยื่นโทรศัพท์ให้ดูพร้อมกับถามว่าจุดในภาพคือตรงไหน? ... วินมอไซค์ก็บอกขึ้นหลังรถเลยเดี๋ยวพาไปเองพร้อมกับสตาร์ทรถประมาณกดดันให้ผมขึ้นซ้อนท้าย แต่สุดท้ายก็พาผมหลงซอยครับ เลยต้องโทรหาเพื่อนมารับ เดินหากันกว่าจะเจอแทบขาลากเหมือนกัน T T
หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จก็เข้าพักที่ห้อง 205 ซึ่งเป็นห้องพักเตียงคู่ครับ แม้จะมาคนเดียวแต่เพราะมีสัมภาระเยอะเจ้าของเลยจัดห้องนี้ให้ ภายในห้องมีแอร์ และเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่างครับ ทั้งทีวี, ชั้นวางของ, ตู้เสื้อผ้า, ชั้นวางรองเท้า ส่วนห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ ซึ่งห้องน้ำในตัวจะมีแค่ห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นห้องน้ำรวม และห้องนี้มีอาหารเช้ารวมให้ด้วยแต่ต้องนำบัตรไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมบางกอกซิตี้อินน์ซึ่งอยู่ติดกัน
ชมภาพห้องทีละแบบกันเลยนะครับ เริ่มจากห้องที่ผมพักก่อน คือห้อง 205 เตียงคู่
ถัดมาเป็นห้อง 202 เตียงเดี่ยว ราคาหัวละ 800 บาท เป็นเตียงเดี่ยวนอนได้คนเดียว ดูจากพื้นที่ห้องแล้วเหมาะกับการมานอนเพียงอย่างเดียวครับ ถ้าเป็นคนตัวใหญ่อาจอึดอัดนิดนึง แต่ก็พอยืดเส้นยืดสายได้ ภายในห้องมีแอร์, ตู้ไว้เสื้อผ้า และชั้นวางรองเท้าเท่านั้น
ถัดมาเป็นห้องเตียงเดี่ยว 2 ชั้น นอนได้ 2 คน หัวละ 600 บาท เป็นเตียง 2 ชั้นครับ เครื่องอำนวยความสะดวกทุกห้องจะเหมือนกันทั้งหมด เตียงชั้นบนมีผ้าม่านเลื่อนมาปิดเพื่อความส่วนตัวได้ ผมลองขึ้นไปบนเตียงชั้นสองเพื่อทดสอบความยากง่ายและความแข็งแรงของบันได ผมคิดว่าขั้นบันไดอาจจะลื่นนิดนึงเพราะเป็นไม้อัดการขึ้นต้องระวังมาก ถ้าเป็นคนตัวเล็กอาจไม่มีปัญหา แต่ความชันของบันไดอาจมีปัญหาสำหรับคนอ้วนหรือรูปร่างใหญ่ ราวเหล็กและพื้นที่ชั้นบนทุกอย่างมั่นคงแน่นหนา หากไม่ใช่คนที่นอนดิ้นจนต้องห่วงเรื่องตกเตียงแล้วเรื่องอื่นก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงครับ
ถัดมาเป็นภาพห้องสำหรับ 4 คน ราคาหัวละ 600 บาท การดีไซน์จะเหมือนกันหมด จะมีเพียงตู้ไว้เสื้อผ้าและล็อกเกอร์ที่มากขึ้นตามจำนวนคนพัก
ภาพห้องสำหรับ 8 คนครับ
และยังมีเตียงแคปซูล เป็นเตียงเดี่ยว 2 ชั้นเรียงกันทั้งหมด 6 เตียง สามารถนอนรวมกันได้ถึง 12 คน ราคาหัวละ 600 บาท
ห้องพักที่นี่เป็นโซนแยกชายและหญิงออกจากกันดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องเพศ อีกทั้งมีพนักงานคอยตรวจตราความเรียบร้อยตามชั้นต่างๆ ทุกๆ 30 นาที อีกทั้งมีกล้องวงจรปิดภายนอกห้องทุกจุดทั่วทั้งตึก ดังนั้นจึงมั่นใจได้ในเรื่องของความปลอดภัยได้ ในแต่ละโซนจะมีโต๊ะอาหาร และโต๊ะรับแขกไว้นั่งรีแลกซ์ได้
ช่วงกลางวันผมเดินไปเที่ยวเซ็นทรัลเวิร์ดจากนั้นขึ้นไปบนสกายวอล์คเดินไปสยามพารากอน, สยามสแควร์, และสถานที่สำคัญอื่นๆ อีกหลายแห่ง ช่วงเย็นผมเดินไปลองกินอาหารแถวๆ สี่แยกห้างแพลตตินั่ม ซึ่งมีร้านอาหารหลากหลายให้เลือก ผมสังเกตเห็นคนจีนเยอะมาก
จากการมาพักที่นี่ 2 คืน 3 วัน นอกจากเดินเที่ยวห้างใหญ่ๆ ระแวกเซ็นทรัลเวิร์ลแล้วผมยังเดินทางไปหาเพื่อนที่บึงกุ่ม, รามคำแหง ไปเที่ยวห้างเมกะบางนา ได้ชมวิถีชีวิตคนกรุงเทพฯ ค่อนข้างใกล้ชิด ที่พักแห่งนี้อยู่ใจกลางเมืองหลวงน่าจะเหมาะกับคนที่มาธุระในตัวเมือง ไม่มีสัมภาระอะไรมาก ต้องการเพียงที่หลับนอน อีกทั้งราคาไม่แพงสามารถพักติดต่อกันได้หลายวัน ชาวต่างจังหวัดอย่างผมถ้าได้มากรุงเทพฯ อีก ก็คงไม่พลาดที่จะมานอนที่นี่ครับ เพราะเดินทางไปสถานที่สำคัญง่าย และ ราคาห้องไม่แพง
สุดท้ายก็อยากบอกว่าผมเป็นคน Slow Life ค่อนไปทาง Snail Life หรือเผลอๆ อาจเป็น Sloth Life ไปแล้ว (555) มาสัมผัสวิถีชีวิตคนเมืองกรุงแบบ Speed Life รู้สึกเหมือนมีแรงผลักดันให้ตัวเองต้องเร่งเข็มนาฬิกาชีวิตของตัวเองให้เร็วขึ้น เพราะทุกวันนี้โลกหมุนไปไวมาก แค่ชั่วพริบตาอะไรๆ ก็ผ่านไปแล้ว การได้มาสัมผัสเมืองกรุงฯ ครั้งนี้นอกจากได้มาสัมผัสบรรยากาศการพักที่โฮสเทล Bed @ Town แล้วยังได้อะไรดีๆ กลับไปอีก ก็หวังไว้ว่าจะมีโอกาสมา Slow Life in Bangkok อีก.
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น