[Let Me In Thailand Ep.4] สาวหน้ายาวผู้อาภัพ กับทัศนคติของผู้ชนะที่...อืม...

สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชมทางพันทิป(ทำเสียงฐาปนีย์)
กลับมาพบดิฉัน... ‘แม่พูดได้มั้ยลูก แม่พูดได้มั้ย’ กันอีกครั้ง

กับหัวข้อในสัปดาห์นี้... “สาวหน้ายาวผู้อาภัพ”



แม่ฯ: ผู้เข้าแข่งขันคนแรกคะ คุณมีปัญหาที่ต้องศัลยกรรมที่จุดไหนคะ?
ผู้เข้าแข่งขัน 1: ดิฉันหน้ายาวค่ะ!
แม่ฯ: (มองหน้า) อืม น่าเห็นใจจริงด้วยนะคะ...
ผู้เข้าแข่งขัน 2: ช้าก่อนค่ะ แม่ฯ ! ดิฉันก็มีปัญหาหน้ายาวเหมือนกันค่ะ!!
แม่ฯ: (หันไปมองหน้า) โอ๊ะ! จริงด้วย หน้ายาวเหมือนกันเลย! แล้วจะตัดสินใจอย่างไรดี...
ผู้เข้าแข่งขัน 1+2: ให้ดิฉันไป!!!
แม่ฯ: (ทาบอก) ใจเย็นๆ นะคะ...ไหนบอกแม่ฯ หน่อยสิคะ ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง...

(ตัดกล้องมาที่ ผู้เข้าแข่งขัน 1, สปอตไลท์ฉายวาบไปยังเธอคนนั้น)
ผู้เข้าแข่งขัน หมายเลข 1 –คุณแหม่ม กิตติยา




มองจากภายนอกเพียงอย่างเดียว คุณแหม่ม เธอมีปัญหาหน้ายาวอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
โดยมีคางยาวกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า
แต่นี่ก็เป็นปัญหาที่มองเห็นได้เฉพาะเวลาเธอหน้านิ่งเท่านั้น เพราะทันทีที่เธออ้าปาก ปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นของเธอก็คือออออ...



เธอไม่มีฟันบน!!
แถมจากการคาดการณ์ของคุณหมอ เธอน่าจะมีฟันกรามเหลือเพียง 3 ซี่ เท่านั้น ทั้งยังมีปัญหาฟันไม่สบกัน ซึ่งส่งผลให้เธอพูดไม่ชัด เคี้ยวอาหารลำบาก และถูกสังคมซุบซิบอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้จะเคยศัลยกรรมขากรรไกรมาแล้วครั้งนึง แต่คางของเธอก็ยื่นขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่า เธอศัลยกรรมตอนอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงอายุที่ร่างกายยังไม่หยุดการเจริญเติบโต การศัลยกรรมของเธอจึงแทบเรียกได้ว่า “สูญเปล่า”
(***หมายเหตุ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราควรทำศัลยกรรมตอนอายุ 18 ปีขึ้นไปไงจ๊ะ)

หน้ามะม่วง!...คือคำล้อเลียนที่ได้ยินแล้วก็อยากน้ำตาไหล แต่ด้วยฐานะความแม่ และยังเป็นเสาหลักเพียงคนเดียวของครอบครัว ที่ต้องดูแลทั้งพี่สาว ลูกชาย และลูกสาวเธอจึงต้องเข้มแข็ง และไม่ร้องไห้ออกมาให้ลูกๆ เห็น

ส่วนสามีของเธอที่เลิกรากันไปนั้นคุณแหม่มคิดว่าเป็นเพราะหน้าตาของเธอที่ทำให้เขาอับอาย สังเกตได้จากเวลาที่ไปสังสรรค์กับเพื่อน สามีของเธอก็จะไม่ค่อยชอบพาเธอไปไหนมาไหนด้วย

แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดกับความอับอายของสามี แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้คุณแหม่มเจ็บปวดมากกว่า ก็คือการที่
ลูกชายของเธอไม่กล้ายอมรับกับเพื่อนว่า เธอเป็นแม่!!!

ตัดกล้องมาที่อีกท่าน...
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 2 –น้องเจน ธัญวรัตน์



หน้าเสี้ยวพระจันทร์!...หน้าผี!...หน้าแหลม! และอีกสารพัดคำล้อเลียนเจ็บแสบ ทั้งหมดนี้ออกมาจากปากคนรอบข้างของเธอทั้งสิ้น
ที่โหดร้ายที่สุดก็คือ อาจารย์ของเธอเอง! ที่เอาเธอมาล้อเลียนให้ได้อายกลางชั้นเรียนท่ามกลางเสียงโห่ฮาของเพื่อนๆ ด้วยคำพูดที่ว่า
“เธอหน้าตาเหมือน ‘รูปปั้นโมไอ’”



แทรกจิ๊ดนุง...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



ความผิดปรกติของเธอคือ ใบหน้าที่ยื่นยาวกว่าคนปกติถึง 2 เท่า คางเบี้ยว ทั้งยังหายใจลำบากเวลานอน และยังเผลออ้าปากโดยไม่รู้ตัวเวลาหลับอีกด้วย



ส่วนพื้นฐานทางครอบครัวของน้องเจนนั้นพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็ก
แต่เนื่องจากคุณแม่ของน้องมีรายได้น้อย น้องเจนจึงย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ โดยอาศัยอยู่บ้านคุณป้า ซึ่งเป็นผู้ส่งเสียและเลี้ยงดูเธอ

แต่ถึงอย่างนั้น คุณป้าน้องเจนก็มักจะเอาปมด้อยของเธอมาล้อเป็นเรื่องสนุกอยู่เสมอ เช่น บอกให้เอาคางไปช่วยคนงานทำถนนข้างบ้านช่วยขุดดิน เป็นต้น ทำให้น้องเจนต้องแอบไปร้องไห้อยู่คนเดียวหลายต่อหลายครั้ง
และทำให้เธออดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “ทำไมคนในบ้านจึงต้องล้อเลียนเธอด้วย?”
...
ค่ะ! คุณผู้อ่านคะ ได้ฟังเรื่องราวของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 ท่านกันไปแล้ว
คุณคิดว่า ประตูปาฏิหาริย์...จะเปิดให้แก่ใคร???
..........................................................................
..................................................................
........................................................
..................................................
...........................................
..................................
.......................
...........
และผู้ชนะได้แก่...................
.
.
.
.
.
.
.
.
น้องเจน ธัญวรัตน์ ค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!
ไม่ต้องร้อง หา!!! ไม่ต้องอึ้ง!!! เพราะดิฉันทึ่งให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ!
เหยยยยย คืองง คือแบบ เหยยยยยยย ได้ยังไงอ่ะแกรรรรรร หันไปเกรี้ยวกับเพื่อนข้างๆ ไม่ทันไร
คุณหมอก็ออกมาอธิบายเหตุผลให้ฟัง...

อ่ะ ฟัง ฟัง ฟัง...
อันดับแรก เพราะอายุของน้องเจนนั้นยังน้อย ยังมีโอกาสที่จะสร้างชีวิตใหม่ได้ โดยเพิ่มต้นทุนให้เธอด้วยการศัลยกรรม ถ้าหากการผ่าตัดสำเร็จเป็นไปได้ด้วยดี ก็ไม่แน่ว่าน้องเจนอาจจะได้เป็นนางแบบที่ฝันไว้ เนื่องจากเธอเป็นคนตัวสูงอยู่แล้ว
สอง, เพราะความบกพร่องของคุณแหม่มนั้น ปัญหาหลักเกิดมาจากการที่ฟันหาย ไม่มีฟัน ซึ่งการศัลยกรรมไม่สามารถช่วยให้ฟันงอกขึ้นมาทดแทนได้ จึงถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหา ‘หลัก’ที่ไม่ตรงจุดนั่นเอง
อ่ะ ไขข้อสงสัยกันไปแล้ว มาดูกันต่อดีกว่าว่า เมื่อน้องเจนศัลยกรรมเสร็จแล้ว ใบหน้าของเธอจะเป็นอย่างไร...

แต่น แตน แต๊นนนน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


.
.
.
.
.
.
.
.
.
น่ารักเนาะ
และสิ่งที่น้องเจนศัลยกรรมไปก็มี 7 อย่าง ดังนี้



มาดูความสวยของว่าที่นางแบบคนต่อไปกัน (จากคำการันตีของพี่ม้า) อิอิ






อาววววววล่ะ! ได้สวยสมใจกันไปแล้ว
เรื่องต่อไปนี้จะไม่พูดก็เห็นจะไม่ได้ ตามแบบฉบับคนอยากจะพูด! แบบว่าแม่พูดได้มั้ยลูกกกก แม่พูดได้มั้ย!!
คือทัศนคติของน้องเจนอ่ะค่ะลูก หนูมองโลกในแง่ร้ายไปมั้ยยยย???
มีอยู่ตอนนึงน้องพูดออกมาว่า
"การหางานสมัยนี้หายากถ้าหน้าตาไม่สวยเขาก็จะไม่รับแม้ว่าคุณจะมีความสามารถมากแค่ไหนก็ตาม"
เหย เหย เหย เหยยยยยยยย....นี่เป็นความเชื่อที่ผิดอย่างรุนแรงจ้ะหนู

พูดถึงงานทั่วไป...เราขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่า “ความสามารถ” มีความสำคัญมากกว่าหน้าตาจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาว!
ต่อให้คุณสวยปานนางฟ้านางสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีฝีมือ ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลยสักอย่าง ขอบอกว่า “ปิ๋ว” นาจ๊าาา ยิ่งในสภาพเศรษฐกิจที่โคตรจะฝืดเคืองกว่ากินขนมถ้วยฟูโดยไม่มีน้ำเปล่าแบบนี้ หากบริษัทมีนโยบายเลย์ออฟพนักงาน คนที่ไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับบริษัท ก็ไม่รอดแน่นวลลลล

และถ้าจะพูดถึงวงการนางแบบที่ต้องใช้หน้าตาแล้วล่ะก็...
Madeline Stuartเป็นนางแบบคนแรกที่เป็นดาวน์ซินโดรมค่ะ แต่กว่าเธอจะได้เป็น เธอต้องลดน้ำหนักอย่างเคร่งครัด ทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ดังนั้น หน้าตาจึงไม่ใช่คำตอบแรกคำตอบเดียว



หรือจะเป็น Chantelle Brown-Young นางแบบสาวจากเวที America’s Next Top Model ที่เป็นโรคด่างขาว



เห็นไหมคะ? อาชีพบนโลกนี้ไม่ได้มองแต่หน้าตาอย่างเดียวนะคะ

แต่อย่างไรก็ตาม เราก็พอจะเข้าใจน้องเจนได้ว่า อาจจะเป็นเพราะครอบครัวแยกทางกันแถมยังต้องห่างจากอกแม่ไปอาศัยอยู่บ้านคุณป้าซึ่งคุณป้าเองก็มีลูกอีกคนอยู่แล้วอาจจะเป็นบาดแผลในจิตใจสร้างทัศนคติทางลบหรือมีปัญหาขาดความอบอุ่น ซึ่งเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกก็เป็นได้ (เราเดาเอานะ -.-)

นอกจากนี้ เรายังอยากจะฝาก “ความกังวล” ไปถึงคุณป้า ที่ชอบเอาปมด้อยของหลานมาล้อเล่น ถึงแม้ว่าคุณป้าจะบอกว่าต้องการให้น้องไม่เครียด แต่ในวันนี้คุณป้าได้ทราบแล้วว่า ภายใต้ความสดใสร่าเริงของน้องเจน น้องเก็บเอาไปร้องไห้คนเดียวตลอด

คนเราแม้จะอยู่ใกล้ชิดกัน สนิทสนมกัน หรือแม้แต่เห็นอีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์ดี ก็ไม่ควรพูดจากหักหาญน้ำใจ หรือเห็นปมด้อยของอีกฝ่ายเป็นเรื่องสนุก ยิ่งสนิทกันยิ่งต้องถนอมน้ำใจกันให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเวลาเรามีปัญหา คนใกล้ตัวเรานี่แหละที่เป็นคนคอยช่วยเหลือ ดูแลเรา ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้น้องเจนกับคุณป้าจูนเข้าใจกันมากขึ้นไวๆ นะคะ!

อ้อ! แล้วก็ประเด็นเรื่องที่น้องเจนไปโทษคุณแม่ ว่าเพราะกรรมพันธุ์จากคุณแม่จึงทำให้เธอไม่สวย
อันนี้เราขอฝากนะคะ T_T แอบสงสารคุณแม่อ่ะ เพราะดูท่านเป็นคนใจดีและรักลูกสาวมาก ถึงจะมีรายได้น้อยแต่ก็แอบหวังจะเก็บเงินให้ลูกสาวไปศัลยกรรม
ไม่ว่าน้องเจนจะมีปมปัญหาในใจหรือบาดแผลอะไรมาก็ตาม แต่วันนี้น้องสวยขึ้นแล้ว...ช่วยย้อนกลับไปทำให้จิตใจสวยขึ้นด้วยนะคะ สวยนอกแล้วก็อย่าลืมสวยใน ถึงจะเรียกว่าคนงามอย่างแท้จริง

สุดท้าย ขอแสดงความเสียใจกับคุณแหม่มด้วยที่ไม่ได้ไปศัลกรรมที่เกาหลี แต่เราก็เชื่อว่าคุณแหม่มเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากคนหนึ่งเลยทีเดียว ประกอบกับตอนหลังคุณแหม่มเล่าให้ฟังว่า ได้อธิบายให้ลูกชายเข้าใจแล้วว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับแม่นั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ ได้ยินเท่านี้ เราว่าคุณแหม่มก็คงชื่นใจขึ้นมากแน่ๆ เลย

ขอจบกระทู้ด้วยคำพูดของคุณคิมนะคะ


แทรกไว้เผื่อใครอยากดูย้อนหลังค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่