.
ในครั้งอดีต เมื่อความแตกต่างของความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน นำมาซึ่งความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งในที่สุดก็ตัดสินด้วยการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน และฆ่าฟันกันด้วยเหตุผลไร้สาระยาวนานนับศตวรรษ นครเยรูซาเล็มในดินแดนปาเลสไตน์ คือเป้าหมายของพวกโง่งมงาย ที่ทำสงครามแย่งชิงกันเพราะความเชื่องมงายและกลายเป็นความคลั่งจนก่อสงครามเพื่อฆ่าฟันคนที่เห็นต่าง
ปกติ ผมไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับศาสนา เพราะอ่อนไหวต่อความรู้สึกและยากที่จะใช้เหตุผลในการนำเสนอให้เป็นที่ยอมรับ เพราะติดอุปสรรคที่ชื่อว่า “ความเชื่อ” อยู่ แต่วันนี้ขอเขียนสักครั้ง
เพราะผมกำลังเห็น “ความเชื่อ” ที่มากจน “งมงาย” และกลายเป็น “ความโง่” ที่กำลังทำลายราชดำเนินอยู่ในขณะนี้ จึงขอใช้เรื่องนี้ เปรียบเทียบใหเ้เห็นความเสียหายที่เกิดจากความเชื่อ
ทศวรรษที่ 14 (ค.ศ.1400) ชาวคริสต์ในยุโรปเชื่อว่า นครเยรูซาเล็มในดินแดนปาเลสไตน์อันเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนและเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ขณะที่ชาวมุสลิมก็ถือว่า เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้กลับสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้นนครแห่งนี้จึงมีความสำคัญต่อชาวมุสลิมเช่นกัน
ความเชื่อของชาวคริตส์มีมายาวนานแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นนับปี คริสต์ศักราช 33 ปี(ค.ศ.เริ่มนับตั้งแต่วันประสูติของพระเยซู) มีชาวคริสต์จำนวนมากเดินทางไปจาริกแสวงบุญยังนครแห่งนี้ จนถึง ทศวรรษที่ 7 (ค.ศ.700) ชาวมุสลิมได้ครอบครองพื้นที่แถบนี้ รวมทั้งมหานครเยรูซาเล็มด้วย แต่ชาวคริสต์ก็ยังได้รับอนุญาตให้เข้าไปแสวงบุญในดินแดนแห่งนี้ได้
แต่เมื่อถึงทศวรรษที่ 11 (ค.ศ.1100) ชาวเตริก์ซึ่งเป็นมุสลิมอีกพวกได้เป็นผู้ยึดครองกลุ่มใหม่ของดินแดนปาเลสไตน์และนครเยรูซาเล็ม การเข้าไปแสวงบุญของชาวคริสต์ก็จะถูกคุกคามจากเจ้าของพื้นที่รายใหม่ซึ่งมีความเชื่อทางศาสนาแตกต่างกัน
ความเข้มแข็งของพวกเติร์ก มิได้คุกคามแค่ผู้มาแสวงบุญชาวคริสต์เท่านั้น เพราะยังส่งผลคุกคามไปถึง อาณาจักรไบแซนไทน์ หรือที่รู้จักอีกชื่อ คือ จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมือง คอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล ประเทศตรุกีในปัจจุบัน) ด้วยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของฟวกโรมันกับฝ่ายคริสตจักรในสมัยนั้น เมื่อ จักรพรรดิอเล็กซิอุสที่1 แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ ส่งข่าวของการคุกคามชาวคริสต์ในดินแดนศักสิทธิ์ของพวกเติร์ก ทำให้พระสันตปะปาเออร์บันที่สองแห่งกรุงโรม ซึ่งรอคอยโอกาศที่จะขยายฐานอำนาจของคริสต์จักรไปครอบคลุมให้ถึงดินแดนปาเลสไตน์ จึงออกประกาศเรียกร้องให้อนาจักรทั้งหลายในยุโรปที่นับถือคริสต์ ส่งกองกำลังมาเข้าร่วมเพื่อทำสงครามแย่งชิงนครยูเรซาเล็มและดินแดนปาเลสไตน์กลับมาเป็นสมบัติของชาวคริสต์
นั้นเป็นจุดเริ่มของสงครามที่อาศัยความเชื่อเป็นที่ตั้งในครั้งนี้
แล้วก็เกิดสงคราม บลา...บลา...บลา กันต่อเนื่องยาวนาน
มีการทำสงครามกัน 7 ครั้ง(บางตำราว่ามีถึง 9 ครั้ง) กินระยะเวลานานกว่า 200 ปี มีผู้คนล้มตายกว่า 7,000,000 คน ไร้ที่อยู่อาศัยอีกนับสิบล้านคน ซึ่งผู้เขียนขอไม่ลงรายละเอียดในส่วนนี้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเสียเวลา และไร้สาระที่จะต้องไปจดจำชื่อและรายละเอียดยิบย่อยในสงครามของพวกโง่นี้ทั้งหมด แต่จะขอสรุปให้ฟังดังนี้
สงครามครูเสดครั้งที่ 1 ตั้งแต่ ค.ศ. 1092 ถึง ค.ศ. 1099 เป็นเพียงครั้งเดียวที่ฝ่ายคริสต์ได้รับชัยชนะ
สงครามครูเสดครั้งที่ 2 ตั้งแต่ ค.ศ. 1147 ถึง ค.ศ. 1149 กองทัพฝรั่งเศส กับ เยอรมัน ได้ไปในครั้งนี้ เพราะพวกเติร์กกลับมาชิงนครเยรูซาเล็มคืน แต่ฝ่ายคริสต์ต้องแพ้ย่อยยับกลับมา
สงครามครูเสดครั้งที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1189 ถึง ค.ศ. 1192 เยอรมัน ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ได้ไปเพื่อมุ่งหวังจะชิงเยรูซาเล็มกลับมา ในครั้งนี้ พากันแพ้กลับมา และพระเจ้าเฟรเดริกของเยอรมันจมน้ำตาย
สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ตั้งแต่ ค.ศ. 1202 ถึง ค.ศ. 1204 เยอรมัน ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ยกทัพไป แต่ไม่ได้ผลอะไรเลย และแทนที่กองทัพครูเสดจะไปรบพวก เติร์กกลับไปรบกันเองซะตั้งแต่กลางทาง
สงครามครูเสดครั้งที่ 5 ตั้งแต่ ค.ศ. 1217 ถึง ค.ศ. 1221 ย้ายสมรภูมิไปรบกับพวกเติร์กในประเทศอียิปต์ โดยกองทัพฟรั่งเศส กับฮังการี แต่ก็ไม่ได้รับชัยชนะ จนต้องถอนทัพกลับ
สงครามครูเสดครั้งที่ 6 ตั้งแต่ ค.ศ. 1228 ถึง ค.ศ. 1229 พระเจ้าเฟรเดริกที่ 2 (เยอรมัน) เป็นหัวหน้าไป แต่แทนที่จะไปรบ กลับไปทำไมตรีกับพวกอาหรับ(พวกเตริ์กเริ่มเสื่อมอำนาจลงพวกอาหรับมาแทนที่) ซึ่งมีผลดีกว่าไปรบ เพราะทำให้พวกอาหรับยอมให้พวกคริสเตียนเข้าเมืองเยรูซาเลมได้อีกครั้ง
สงครามครูเสดครั้งที่ 7 ตั้งแต่ ค.ศ. 1248 ถึง ค.ศ. 1249 ครั้งที่ 8 ใน ค.ศ. 1270 นั้น สงครามครูเสดได้ทำกันในประเทศอียิปต์ เพราะพวกหัวหน้าเติร์กมีถิ่นสำคัญตั้งอยู่ที่นั่น และแซงต์หลุยส์ (ฝรั่งเศส) เป็นตัวตั้งในสงครามครูเสดทั้งสองครั้งนี้ จนแซงหลุยส์สิ้นพระชนม์เมื่อ ค.ศ. 1270และ สงครามครูเสดก็สุดสิ้นลงในครั้งนี้
ยูรูซาเล็ม หลังจากสงครามครูเสด ก็เผชิญชะตากรรมของสงครามอันโหดร้ายอีกหลายครั้ง ทั้งจากพวกนาซี การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวก็เกิดขึ้นที่นี้ จนถึงปัจจุบัน ก็เป็นหนึ่งในนครที่อันตรายที่สุดในโลก จนผู้เขียนไม่แน่ใจ
ว่านี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ หรือนครต้องสาป กันแน่
คำถามคือ...
รบกันไปทำไม..? เพราะคำบ่างช่างยุอย่าง อาณาจักรไบแซนไทน์ ที่สุดท้ายก็ล่มสลายสิ้นชาติให้พวกเติร์กในตรุกีงั้นหรือ..?
รบกันแล้วคุ้มหรือเปล่า..? เพื่อขยายคริสตจักร แต่กลับถูก อิสลามศาสนาที่เกิดขึ้นทีหลังอ้างเอาศาสดาของพวกตนเองไปเป็นหนึ่งในผู้นำสารของพระเจ้าของชาวมุสลิมงั้นหรือ..?
รบกันแล้วได้ชัยชนะหรือไม่..? ประวัติศาสตร์ได้บันทึกคำตอบไว้แล้ว
ผมได้อ่านเรื่องนี้มาตั้งหลายรอบตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว พยายามหาเหตุผลว่าเขารบกันเพราะอะไร แต่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในสมองของผมก็ยังเหมือนเดิมและตรงกันทุกครั้ง ไม่ว่าจะอ่านเมื่อครั้งยังเล็กหรือว่าอ่านตอนโต แต่ว่าไม่ค่อยอยากเอ่ยปากออกมา ว่าสิ่งที่สมองผมสรุปได้ คืออะไร..? เพราะว่ามันอาจเป็นความคิดที่เหมือนดูหมิ่นกับคนที่เห็นต่างศาสนากับตัวผมเอง เพราะโดยส่วนตัวผมเองแล้วเห็นว่านี้เป็น
สงครามคนโง่ อย่างแท้จริง ไม่ได้โง่ที่นับถือศาสนาต่างไปจากผม แต่โง่ที่ไม่รู้จักคิดกลับเลือกใช้ความเชื่อในการก่อสงคราม และไม่ต้องรู้สึกเดือดร้อนไปกับความคิดเห็นส่วนตัวของผม เพราะในหลายเหตุการณ์ คนพุทธเช่นตัวผมเองก็ก่อสงครามโง่ๆให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์
ประเด็นมันจึงไม่ใช่เรื่อง ศาสนา แต่ประเด็นมันอยู่ที่ ความเชื่อ
คนไม่ได้โง่เพราะศาสนา แต่โง่เพราะความเชื่อ จึงลงมือทำเรื่องโง่ๆ
ที่หยิบเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะปรากฏการณ์หลงคารม และยึดถือความเชื่อกันอย่างงมงายในราชดำเนิน จนทะเลาะเบาะแว้งกันลุกลามบานปลาย ไม่ว่าราชดำเนินจะมี “บ่าง” หรือไม่ จะ “งมงาย” กันหรือเปล่าผมไม่ทราบ และไม่คิดจะสนใจ แต่สิ่งที่ผมสนใจคือ
ที่เรามาแสดงความเห็นในราชดำเนินแห่งนี้ เรามาเพื่ออะไร มาเพื่ออุดมการณ์ เพื่อประชาธิปไตย หรือมาเพื่อก่อสงครามตัวอักษรโง่ๆ ตามความเชื่องมงายเช่นนั้นหรือ...?
ที่สุดแล้วใครได้ประโยชน์จากการทะเลาะเบาะแว้งกันเอง..?
จะเป็นคนที่ก่อเหตุการณ์ คนที่หลงใส่อารมณ์ตามกระแสเหตุการณ์ คนที่สังเกตเหตุการณ์อยู่เงียบๆ หรือคนที่ใช้เหตุการณ์หาประโยชน์
"ตีกิน"อยู่ตลอดเวลา ผมว่าไม่เกินสติปัญญาที่จะคิดและหาคำตอบกันได้
ขอฝากไว้ให้คิดครับ ท่านผู้เจริญ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
*แก้ไขคำผิด
(บทความ...นายพระรอง) Crusade war สงครามครูเสด เชื่อกันงมงายจนกลายเป็นสงครามคนโง่
ในครั้งอดีต เมื่อความแตกต่างของความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน นำมาซึ่งความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งในที่สุดก็ตัดสินด้วยการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน และฆ่าฟันกันด้วยเหตุผลไร้สาระยาวนานนับศตวรรษ นครเยรูซาเล็มในดินแดนปาเลสไตน์ คือเป้าหมายของพวกโง่งมงาย ที่ทำสงครามแย่งชิงกันเพราะความเชื่องมงายและกลายเป็นความคลั่งจนก่อสงครามเพื่อฆ่าฟันคนที่เห็นต่าง
ปกติ ผมไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับศาสนา เพราะอ่อนไหวต่อความรู้สึกและยากที่จะใช้เหตุผลในการนำเสนอให้เป็นที่ยอมรับ เพราะติดอุปสรรคที่ชื่อว่า “ความเชื่อ” อยู่ แต่วันนี้ขอเขียนสักครั้ง เพราะผมกำลังเห็น “ความเชื่อ” ที่มากจน “งมงาย” และกลายเป็น “ความโง่” ที่กำลังทำลายราชดำเนินอยู่ในขณะนี้ จึงขอใช้เรื่องนี้ เปรียบเทียบใหเ้เห็นความเสียหายที่เกิดจากความเชื่อ
ทศวรรษที่ 14 (ค.ศ.1400) ชาวคริสต์ในยุโรปเชื่อว่า นครเยรูซาเล็มในดินแดนปาเลสไตน์อันเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนและเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ขณะที่ชาวมุสลิมก็ถือว่า เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้กลับสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้นนครแห่งนี้จึงมีความสำคัญต่อชาวมุสลิมเช่นกัน
ความเชื่อของชาวคริตส์มีมายาวนานแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นนับปี คริสต์ศักราช 33 ปี(ค.ศ.เริ่มนับตั้งแต่วันประสูติของพระเยซู) มีชาวคริสต์จำนวนมากเดินทางไปจาริกแสวงบุญยังนครแห่งนี้ จนถึง ทศวรรษที่ 7 (ค.ศ.700) ชาวมุสลิมได้ครอบครองพื้นที่แถบนี้ รวมทั้งมหานครเยรูซาเล็มด้วย แต่ชาวคริสต์ก็ยังได้รับอนุญาตให้เข้าไปแสวงบุญในดินแดนแห่งนี้ได้
แต่เมื่อถึงทศวรรษที่ 11 (ค.ศ.1100) ชาวเตริก์ซึ่งเป็นมุสลิมอีกพวกได้เป็นผู้ยึดครองกลุ่มใหม่ของดินแดนปาเลสไตน์และนครเยรูซาเล็ม การเข้าไปแสวงบุญของชาวคริสต์ก็จะถูกคุกคามจากเจ้าของพื้นที่รายใหม่ซึ่งมีความเชื่อทางศาสนาแตกต่างกัน
ความเข้มแข็งของพวกเติร์ก มิได้คุกคามแค่ผู้มาแสวงบุญชาวคริสต์เท่านั้น เพราะยังส่งผลคุกคามไปถึง อาณาจักรไบแซนไทน์ หรือที่รู้จักอีกชื่อ คือ จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมือง คอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล ประเทศตรุกีในปัจจุบัน) ด้วยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของฟวกโรมันกับฝ่ายคริสตจักรในสมัยนั้น เมื่อ จักรพรรดิอเล็กซิอุสที่1 แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ ส่งข่าวของการคุกคามชาวคริสต์ในดินแดนศักสิทธิ์ของพวกเติร์ก ทำให้พระสันตปะปาเออร์บันที่สองแห่งกรุงโรม ซึ่งรอคอยโอกาศที่จะขยายฐานอำนาจของคริสต์จักรไปครอบคลุมให้ถึงดินแดนปาเลสไตน์ จึงออกประกาศเรียกร้องให้อนาจักรทั้งหลายในยุโรปที่นับถือคริสต์ ส่งกองกำลังมาเข้าร่วมเพื่อทำสงครามแย่งชิงนครยูเรซาเล็มและดินแดนปาเลสไตน์กลับมาเป็นสมบัติของชาวคริสต์
นั้นเป็นจุดเริ่มของสงครามที่อาศัยความเชื่อเป็นที่ตั้งในครั้งนี้
แล้วก็เกิดสงคราม บลา...บลา...บลา กันต่อเนื่องยาวนาน มีการทำสงครามกัน 7 ครั้ง(บางตำราว่ามีถึง 9 ครั้ง) กินระยะเวลานานกว่า 200 ปี มีผู้คนล้มตายกว่า 7,000,000 คน ไร้ที่อยู่อาศัยอีกนับสิบล้านคน ซึ่งผู้เขียนขอไม่ลงรายละเอียดในส่วนนี้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเสียเวลา และไร้สาระที่จะต้องไปจดจำชื่อและรายละเอียดยิบย่อยในสงครามของพวกโง่นี้ทั้งหมด แต่จะขอสรุปให้ฟังดังนี้
สงครามครูเสดครั้งที่ 1 ตั้งแต่ ค.ศ. 1092 ถึง ค.ศ. 1099 เป็นเพียงครั้งเดียวที่ฝ่ายคริสต์ได้รับชัยชนะ
สงครามครูเสดครั้งที่ 2 ตั้งแต่ ค.ศ. 1147 ถึง ค.ศ. 1149 กองทัพฝรั่งเศส กับ เยอรมัน ได้ไปในครั้งนี้ เพราะพวกเติร์กกลับมาชิงนครเยรูซาเล็มคืน แต่ฝ่ายคริสต์ต้องแพ้ย่อยยับกลับมา
สงครามครูเสดครั้งที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1189 ถึง ค.ศ. 1192 เยอรมัน ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ได้ไปเพื่อมุ่งหวังจะชิงเยรูซาเล็มกลับมา ในครั้งนี้ พากันแพ้กลับมา และพระเจ้าเฟรเดริกของเยอรมันจมน้ำตาย
สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ตั้งแต่ ค.ศ. 1202 ถึง ค.ศ. 1204 เยอรมัน ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ยกทัพไป แต่ไม่ได้ผลอะไรเลย และแทนที่กองทัพครูเสดจะไปรบพวก เติร์กกลับไปรบกันเองซะตั้งแต่กลางทาง
สงครามครูเสดครั้งที่ 5 ตั้งแต่ ค.ศ. 1217 ถึง ค.ศ. 1221 ย้ายสมรภูมิไปรบกับพวกเติร์กในประเทศอียิปต์ โดยกองทัพฟรั่งเศส กับฮังการี แต่ก็ไม่ได้รับชัยชนะ จนต้องถอนทัพกลับ
สงครามครูเสดครั้งที่ 6 ตั้งแต่ ค.ศ. 1228 ถึง ค.ศ. 1229 พระเจ้าเฟรเดริกที่ 2 (เยอรมัน) เป็นหัวหน้าไป แต่แทนที่จะไปรบ กลับไปทำไมตรีกับพวกอาหรับ(พวกเตริ์กเริ่มเสื่อมอำนาจลงพวกอาหรับมาแทนที่) ซึ่งมีผลดีกว่าไปรบ เพราะทำให้พวกอาหรับยอมให้พวกคริสเตียนเข้าเมืองเยรูซาเลมได้อีกครั้ง
สงครามครูเสดครั้งที่ 7 ตั้งแต่ ค.ศ. 1248 ถึง ค.ศ. 1249 ครั้งที่ 8 ใน ค.ศ. 1270 นั้น สงครามครูเสดได้ทำกันในประเทศอียิปต์ เพราะพวกหัวหน้าเติร์กมีถิ่นสำคัญตั้งอยู่ที่นั่น และแซงต์หลุยส์ (ฝรั่งเศส) เป็นตัวตั้งในสงครามครูเสดทั้งสองครั้งนี้ จนแซงหลุยส์สิ้นพระชนม์เมื่อ ค.ศ. 1270และ สงครามครูเสดก็สุดสิ้นลงในครั้งนี้
ยูรูซาเล็ม หลังจากสงครามครูเสด ก็เผชิญชะตากรรมของสงครามอันโหดร้ายอีกหลายครั้ง ทั้งจากพวกนาซี การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวก็เกิดขึ้นที่นี้ จนถึงปัจจุบัน ก็เป็นหนึ่งในนครที่อันตรายที่สุดในโลก จนผู้เขียนไม่แน่ใจ ว่านี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ หรือนครต้องสาป กันแน่
คำถามคือ...
รบกันไปทำไม..? เพราะคำบ่างช่างยุอย่าง อาณาจักรไบแซนไทน์ ที่สุดท้ายก็ล่มสลายสิ้นชาติให้พวกเติร์กในตรุกีงั้นหรือ..?
รบกันแล้วคุ้มหรือเปล่า..? เพื่อขยายคริสตจักร แต่กลับถูก อิสลามศาสนาที่เกิดขึ้นทีหลังอ้างเอาศาสดาของพวกตนเองไปเป็นหนึ่งในผู้นำสารของพระเจ้าของชาวมุสลิมงั้นหรือ..?
รบกันแล้วได้ชัยชนะหรือไม่..? ประวัติศาสตร์ได้บันทึกคำตอบไว้แล้ว
ผมได้อ่านเรื่องนี้มาตั้งหลายรอบตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว พยายามหาเหตุผลว่าเขารบกันเพราะอะไร แต่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในสมองของผมก็ยังเหมือนเดิมและตรงกันทุกครั้ง ไม่ว่าจะอ่านเมื่อครั้งยังเล็กหรือว่าอ่านตอนโต แต่ว่าไม่ค่อยอยากเอ่ยปากออกมา ว่าสิ่งที่สมองผมสรุปได้ คืออะไร..? เพราะว่ามันอาจเป็นความคิดที่เหมือนดูหมิ่นกับคนที่เห็นต่างศาสนากับตัวผมเอง เพราะโดยส่วนตัวผมเองแล้วเห็นว่านี้เป็น สงครามคนโง่ อย่างแท้จริง ไม่ได้โง่ที่นับถือศาสนาต่างไปจากผม แต่โง่ที่ไม่รู้จักคิดกลับเลือกใช้ความเชื่อในการก่อสงคราม และไม่ต้องรู้สึกเดือดร้อนไปกับความคิดเห็นส่วนตัวของผม เพราะในหลายเหตุการณ์ คนพุทธเช่นตัวผมเองก็ก่อสงครามโง่ๆให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์
ประเด็นมันจึงไม่ใช่เรื่อง ศาสนา แต่ประเด็นมันอยู่ที่ ความเชื่อ
คนไม่ได้โง่เพราะศาสนา แต่โง่เพราะความเชื่อ จึงลงมือทำเรื่องโง่ๆ
ที่หยิบเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะปรากฏการณ์หลงคารม และยึดถือความเชื่อกันอย่างงมงายในราชดำเนิน จนทะเลาะเบาะแว้งกันลุกลามบานปลาย ไม่ว่าราชดำเนินจะมี “บ่าง” หรือไม่ จะ “งมงาย” กันหรือเปล่าผมไม่ทราบ และไม่คิดจะสนใจ แต่สิ่งที่ผมสนใจคือ ที่เรามาแสดงความเห็นในราชดำเนินแห่งนี้ เรามาเพื่ออะไร มาเพื่ออุดมการณ์ เพื่อประชาธิปไตย หรือมาเพื่อก่อสงครามตัวอักษรโง่ๆ ตามความเชื่องมงายเช่นนั้นหรือ...?
ที่สุดแล้วใครได้ประโยชน์จากการทะเลาะเบาะแว้งกันเอง..?
จะเป็นคนที่ก่อเหตุการณ์ คนที่หลงใส่อารมณ์ตามกระแสเหตุการณ์ คนที่สังเกตเหตุการณ์อยู่เงียบๆ หรือคนที่ใช้เหตุการณ์หาประโยชน์"ตีกิน"อยู่ตลอดเวลา ผมว่าไม่เกินสติปัญญาที่จะคิดและหาคำตอบกันได้
ขอฝากไว้ให้คิดครับ ท่านผู้เจริญ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
*แก้ไขคำผิด