เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีดีเอสไอ ส่งเรื่องต่อนายพนม ศรศิลป์ ผอ.พศ. พิจารณาดำเนินการกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และเจ้าคณะผู้ปกครองที่เกี่ยวข้อง ที่น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดอาญา จากกรณีถือครองที่ดินและทรัพย์สิน จนเป็นสาเหตุให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตให้ต้องอาบัติปาราชิก และยังโยงถึงคดีฟอกเงินที่รับทรัพย์จากนายศุกชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ว่า พศ.มีหน้าที่ตรวจสอบและชี้แจงตามที่ดีเอสไอส่งหนังสือมา 2 เรื่อง คือ เรื่องพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ที่ให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก และเรื่องลงนิคหกรรมให้พระธัมมชโย อาบัติปาราชิกตามพระลิขิต ส่วนเรื่องการฟอกเงินต้องเป็นหน้าที่ของดีเอสไอ ทั้งนี้พศ.ร่างคำชี้แจงในข้อสงสัยของดีเอสไอไว้แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนหารือมหาเถรสมาคม (มส.) และคณะทำงานให้ตรวจสอบข้อความอีกรอบเท่านั้น เมื่อมส.ตรวจเรียบร้อยแล้ว พศ.จะรีบนำคำตอบชี้แจงต่อดีเอสไอภายในวันที่ 10 ก.พ.นี้ ส่วนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม มส.ในวันที่ 10 ก.พ.หรือไม่ ขึ้นกับการพิจารณาของมส.
รายงานข่าวจากมส.แจ้งว่า กรณีดีเอสไอส่งหนังสือถึงผอ.พศ. ให้เสนอเรื่องเข้าสู่การ ประชุมมส.เพื่อใช้กฎนิคหกรรมปรับอาบัติปาราชิกพระธัมมชโย ถือว่าดีเอสไอใช้อำนาจอาณาจักรแทรกแซงศาสนจักรหรือไม่ เนื่องจากการลงนิคหกรรมเป็นกระบวนการทางพระธรรมวินัย เป็นอำนาจของคณะสงฆ์ กรณีการนำพระลิขิตมาอ้างในการลงโทษพระสงฆ์ทางพระธรรมวินัยนั้น มิอาจดำเนินการได้ตามกฎนิคหกรรม เนื่องจากกฎนิคหกรรม ข้อ 11 (4) ระบุว่า พระภิกษุที่จะตั้งโจทก์ต้องเป็นผู้มีสังวาสเสมอกัน จึงจะมีอำนาจในการโจทก์ได้ โดยคำว่า สังวาสเสมอกัน ตามกฎ 11 แห่งนิคหกรรม หมายความว่า พระภิกษุนั้นต้องเป็นนิกายเดียวกัน ทำสังฆกรรมอุโบสถร่วมกัน เช่น ลงปาติโมกข์ บวชนาค และรับกฐินร่วมกันได้ เป็นต้น ในกรณีพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ทรงเป็นธรรมยุติกนิกายไม่ลงปาติโมกข์ ไม่บวชนาค และไม่รับกฐินร่วมกับมหานิกาย มีพระลิขิตออกมาโจทก์มหานิกายว่า เป็นอาบัติปาราชิก เป็นการขัดต่อพระธรรมวินัย ว่าด้วย นานาสังวาส และนิคหกรรม กฎ 11 ใช่หรือไม่ ทั้งนี้ การที่มีผู้นำพระลิขิตมาใช้เป็นข้ออ้างในการปรับอาบัติปาราชิกพระสงฆ์ จึงควรระวังให้มาก จะทำให้เกิดความขัดแย้ง นำมาซึ่งความเสื่อมสลายแห่งคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา
ที่มา : ข่าวสดออนไลน์
http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01EVXdNVEEyTURJMU9RPT0=§ionid=TURNek5RPT0=&day=TWpBeE5pMHdNaTB3Tmc9PQ==
พศ. เตือน ผู้นำพระลิขิตที่ไม่ชอบด้วยธรรมวินัยมาเป็นข้ออ้าง จะทำให้เกิดความขัดแย้งและความเสื่อมสลายของพระพุทธศาสนา
รายงานข่าวจากมส.แจ้งว่า กรณีดีเอสไอส่งหนังสือถึงผอ.พศ. ให้เสนอเรื่องเข้าสู่การ ประชุมมส.เพื่อใช้กฎนิคหกรรมปรับอาบัติปาราชิกพระธัมมชโย ถือว่าดีเอสไอใช้อำนาจอาณาจักรแทรกแซงศาสนจักรหรือไม่ เนื่องจากการลงนิคหกรรมเป็นกระบวนการทางพระธรรมวินัย เป็นอำนาจของคณะสงฆ์ กรณีการนำพระลิขิตมาอ้างในการลงโทษพระสงฆ์ทางพระธรรมวินัยนั้น มิอาจดำเนินการได้ตามกฎนิคหกรรม เนื่องจากกฎนิคหกรรม ข้อ 11 (4) ระบุว่า พระภิกษุที่จะตั้งโจทก์ต้องเป็นผู้มีสังวาสเสมอกัน จึงจะมีอำนาจในการโจทก์ได้ โดยคำว่า สังวาสเสมอกัน ตามกฎ 11 แห่งนิคหกรรม หมายความว่า พระภิกษุนั้นต้องเป็นนิกายเดียวกัน ทำสังฆกรรมอุโบสถร่วมกัน เช่น ลงปาติโมกข์ บวชนาค และรับกฐินร่วมกันได้ เป็นต้น ในกรณีพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ทรงเป็นธรรมยุติกนิกายไม่ลงปาติโมกข์ ไม่บวชนาค และไม่รับกฐินร่วมกับมหานิกาย มีพระลิขิตออกมาโจทก์มหานิกายว่า เป็นอาบัติปาราชิก เป็นการขัดต่อพระธรรมวินัย ว่าด้วย นานาสังวาส และนิคหกรรม กฎ 11 ใช่หรือไม่ ทั้งนี้ การที่มีผู้นำพระลิขิตมาใช้เป็นข้ออ้างในการปรับอาบัติปาราชิกพระสงฆ์ จึงควรระวังให้มาก จะทำให้เกิดความขัดแย้ง นำมาซึ่งความเสื่อมสลายแห่งคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา
ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01EVXdNVEEyTURJMU9RPT0=§ionid=TURNek5RPT0=&day=TWpBeE5pMHdNaTB3Tmc9PQ==