ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ได้มีการออกมาให้สัมภาษณ์ของพ่อมดแห่งการเงิน Josh Soros ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะกลายเป็นขาลงอย่างรุนแรง และเป็นต้นเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ คำเตือนนี้ไม่ได้เกิดผลดีอะไรขึ้นมา แต่พ่อมดกำลังเรียกเหล่าสมุน Hedge fund จากทั่วโลกมารุมทึ่งหยวนนั้นเอง ห่าธนูพุ่งไปยังจีนอย่างไม่ลดละ จนจีนต้องออกมาตรการมาตอบโต้ในหลายครั้งและออกมาเตือนพ่อมดและเหล่าสมุนทั้งหลายว่า อย่าคิดมาลองดีถ้าหากไม้กายาสิทธ์ไม่ใหญ่เท่าจีน (มีเงินไม่มากกว่าจีน) นี้เป็นการออกมาตอบโต้ครั้งแรกและช่วยยืนยันว่าสงครามค่าเงินกำลังดำเนินอยู่อย่างเข้มข้น โดยมีฝ่ายจีนเป็นฝ่ายตั้งรับ ที่จริงสงครามนี้ได้ดำเนินการมาสักระยะแล้วด้วยซ้ำ เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างต่อเนื่องจากภาคการส่งออก, การเปิดประเทศ, และตลาดทุนเติบโตขึ้นหลายเท่าจนกลายจากตลาดลงทุนเป็นตลาดเก็งกำไร ยืนยันได้จากค่า PE ที่สูงเกินไป ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดจากจีนเอง แต่จากวิกฤติอเมริกาในปี 2008 ลุกลามไปยังยุโรป ทำให้มีเงินทุนมหาศาลจากตะวันตกไหลบ่าเข้ามาในตะวันออก นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ GDP 2 หลักมาตลอดหลายปี แล้วทำไมต้องเป็นจีนที่โดนถล่ม? เรามาดูเหตุผลของประเทศที่จะตกเป็นเป้าหมาย
1. เป็นประเทศที่มีการเติบโตมาตลอดหลายปี
โดยประเทศส่วนใหญ่จะเกิดจากมีเงินทุนไหลเข้ามาตลอดหลายปี ทำให้ตลาดการเงินการลงทุนกลายเป็นตลาดเก็งกำไร ที่คนกู้เงินมาพนันไม่ใช่เก็บออมเพื่อลงทุน ตลาดพวกนี้เปราะบางเหมือนหุ้นปั่นเพราะไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับเหมาะสำหรับการโจมตี
2. เป็นประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกที่สูง
ประเทศที่มีการส่งออกที่สูง เศรษฐกิจส่วนใหญ่จะขึ้นกับการส่งออกเป็นหลักทำให้ถ้ามีอะไรมากระทบการส่งออกจะส่งผลร้ายแรงต่อตลาดอื่น ๆ เช่น ตลาดทุน, ตลาดแรงงาน เป็นต้น โดยปัจจัยสำคัญในการส่งออกคือค่าเงิน
3. เป็นประเทศที่มีนโยบายเศรษฐกิจการเงินเป็นของตัวเอง
ประเทศเอกราชทุกประเทศต้องการแบบนี้ ประเทศใหญ่ๆอย่างอเมริกา, ญี่ปุ่นหรือยุโรป เป็นต้น การกำหนดนโยบายเองจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาหรือออกนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจนั้นๆ คือถ้าเศรษฐกิจแย่ก็จะได้ออกนโยบายกระตุ้น หรืออยากส่งเสริมส่งออกก็ออกนโยบายให้ค่าเงินอ่อน แล้วถ้าเราเลียนแบบประเทศที่เศรษฐกิจดีมันจะไม่ดีกว่าเหรอ จะได้เจริญเหมือนเขาไง? คำตอบคือ อาเจนติน่าปี 1990 ที่ใช้นโยบายแบบอเมริกาทำให้ค่าเงินเปโซแข็งเกินไป จนธุรกิจภายในล้มสลายลงไป
4. มีการใช้ค่าเงินแบบคงที่
การใช้ค่าเงินแบบคงที่จะทำให้เราสามารถยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนค่าเงินตามสถานการณ์ได้ โดยไม่อิงกับประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป แต่การทำแบบนี้จะต้องไม่ปล่อยให้เงินทุนไหลได้อย่างเสรี ไม่ฉะนั้นจะทำให้ค่าเงินไม่เป็นไปตามความเป็นจริง เช่นมีการเก็งกำไรมากไปจนค่าเงินแข็งหรืออ่อนไป
ซึ่งจีนก็ค่อนข้างที่จะเข้ากฎเกณฑ์ครบทุกข้อในการจะโจมตี คือจีนเศรษฐกิจดีมาหลายปีจนเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาและการเก็งกำไรในตลาดทุน และช่วงหลังจีนต้องการเปิดเสรีการเงินให้เยอะขึ้น เพื่อให้เงินหยวนเป็นที่นิยมในตลาดโลก โดยผลักดันเงินหยวนเข้าไปไว้ในตะกร้า IMF แล้วสร้างธนาคาร AIIB ขึ้นมา ตลาดการค้าในกลุ่ม BRIC และเส้นทางสายไหม โครงการทั้งหมดนี้จะทำให้เงินหยวนเข้าไปสู่ทุกประเทศคู่ค้าและกู้ยืมเงิน ปัญหาคือขณะที่ทำโครงการต่างๆ ฟองสบู่ก็ทำทีท่าว่าจะแตก จึงต้องปรับนโยบายใหม่โดยหันมามองเศรษฐกิจในประเทศให้มากขึ้น ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายใน ซึ่งการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่นี้ก็ย่อมทำให้เกิดการแปรปรวนของเงินทุน จึงเป็นช่องโหว่ให้เข้ามาโจมตีจีนได้ง่ายขึ้น แล้วใครที่โจมตี ก็น่าจะเป็นระเทศลูกหนี้อย่างอเมริกาที่พยายามจะล้มเจ้าหนี้ตัวเอง อเมริกามีหนี้ 18 ล้านล้านดอลล่าในปัจจุบัน ทำไมประเทศไม่ล้มสลายสักที? มันก็พอมีเหตุผลอยู่บ้างคือ
อเมริกาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก ประเทศอันดับ 2 คือจีน แต่มีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของอเมริกา ดังนั้นอเมริกาจึงมีความน่าเชื่อถือที่สูงในการเติบโต แม้ว่าจะมีหนี้เยอะก็ตาม และความน่าเชื่อถือนี้ก็มีอยู่ทุกประเทศในรูปแบบดอลล่า ดังนั้นถ้าทุกคนเชื่อว่าอเมริกาจะล่มก็คงไม่มีใครเก็บดอลล่าไว้หรอก สิ่งที่จีนต้อทำคือพยายามดันหยวนเข้ามาแข่งในตลาดเงิน เพื่อจะทำให้ความนิยมดอลล่าลดน้อยลง ดันเศรษฐกิจเข้ามาเทียบ เมื่อไหร่ที่คนเริ่มนิยมดอลล่าน้อยลงหรือมีความกังวลต่อเศรษฐกิจอเมริกา เมื่อนั้นหนี้ที่ก่อมานานหลายปีจึงจะเริ่มส่งผล แต่ก็คงไม่ใช่ในเร็วๆนี้
ครั้งล่าสุดที่อเมริกาเริ่มใช้ความได้เปรียบเรื่องเงินดอลล่าอย่างออกหน้าออกตา ก็ตอนที่อเมริกาเกิดวิกฤติ subprime 2008 ต้นเหตุก็เกิดจากคนภายในทั้งนั้น ไม่ได้มีใครมาโจมตีอะไรเลย พวกนายธนาคารที่โลภจนเกินไป ซึ่งวิธีแก้ก็คือพิมพ์เงินดอลล่าออกมาอุ้ม หรือเรียกว่า QE นั้นเอง รอบแรกหมดก็พิมพ์มาเพิ่ม เพิ่มเรื่อยๆจนกว่าจะอุ้มได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ เงินวิ่งไปหาพวกนายหน้าธนาคาร พวกค้าหุ้น เป็นต้น แต่ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ภาคอสังหาหรือประชาชนเลย ปรานาธิปดีสหรัฐที่ผมยกให้เป็นประธานาธิปดีวอลสตรีทคือ คลินตัน และผมเชื่อว่าถ้า ฮิลารีได้ขึ้น ก็จะมีนโยบาลเอาใจวอลสตรีทอีก อาจจะเป็นต้นเหตุของวิกฤติครั้งใหม่อีก 5-10 ปีข้างหน้า
แล้วจีนจะปกป้องตัวเองอย่างไร ทำ QE แบบอเมริกาก็ไม่ได้ ก็ลดค่าเงินทื่อๆเลย ปรากฎว่าอเมริกาออกมาโวยวายกันยกใหญ่ว่าไม่ทำให้หยวนเป็นไปตามกลไกค่าเงิน และวิธีนี้ทำให้ commodity ถูกลงฉับพลันเกินไป จึงต้องหาวิธีใหม่มาปกป้องตัวเอง จีนมีเงินทุนสำรองสูงที่สุดของโลก ดังนั้นเอาเงินนี้แหละมาป้องกันค่าเงินไม่ให้อ่อนค่าเกินไป เรียกว่า QT ซึ่งพวกเฮดฟันด์ต่างๆ ถ้าจะสู้กับจีนก็ต้องมีเงินมากกว่าเงินทุนสำรองของจีนถึงจะสู้ได้ เหมือนครั้งที่จอร์จ โซรอสถล่มไทยใช้เงินมากถึง 2 เท่าของเงินสำรองระหว่างประเทศที่เรามี อีกข้อสำคัญคือถ้าเงินไหลออกเร็วเกินไปก็จะเกิดวิกฤติ แต่จีนเป็นคอมมิวนิสจึงสามารถสั้งการได้ทันที ดังนโยบายในตลาดทุนที่ห้ามผู้ถือหุ้นเกิน 5 % ขายหุ้นออกไป ทำให้เงินทุนค่อยๆออก แต่ไม่ออกไปในครั้งเดียวหมดเลย
ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าจีนจะทนไปได้ถึงโครงการต่างๆ แล้วเสร็จหรือไม่ ถ้าจีนทำได้ก็จะทำให้โลกการเงินเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร หยวนจะสามารถขึ้นชกกับดอลล่าได้แล้ว ค่าเงินกอลล่าจะตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่เกินตัวและสงครามในต่างๆ
อบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบถ้าชอบบทความนี้ ขอให้ช่วยกดไลค์ กดแชร์เพจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนได้มีผลงานต่อไป
ติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน
เมื่อหยวนกับดอลล่ากำลังเล่นกับไฟ
1. เป็นประเทศที่มีการเติบโตมาตลอดหลายปี
โดยประเทศส่วนใหญ่จะเกิดจากมีเงินทุนไหลเข้ามาตลอดหลายปี ทำให้ตลาดการเงินการลงทุนกลายเป็นตลาดเก็งกำไร ที่คนกู้เงินมาพนันไม่ใช่เก็บออมเพื่อลงทุน ตลาดพวกนี้เปราะบางเหมือนหุ้นปั่นเพราะไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับเหมาะสำหรับการโจมตี
2. เป็นประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกที่สูง
ประเทศที่มีการส่งออกที่สูง เศรษฐกิจส่วนใหญ่จะขึ้นกับการส่งออกเป็นหลักทำให้ถ้ามีอะไรมากระทบการส่งออกจะส่งผลร้ายแรงต่อตลาดอื่น ๆ เช่น ตลาดทุน, ตลาดแรงงาน เป็นต้น โดยปัจจัยสำคัญในการส่งออกคือค่าเงิน
3. เป็นประเทศที่มีนโยบายเศรษฐกิจการเงินเป็นของตัวเอง
ประเทศเอกราชทุกประเทศต้องการแบบนี้ ประเทศใหญ่ๆอย่างอเมริกา, ญี่ปุ่นหรือยุโรป เป็นต้น การกำหนดนโยบายเองจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาหรือออกนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจนั้นๆ คือถ้าเศรษฐกิจแย่ก็จะได้ออกนโยบายกระตุ้น หรืออยากส่งเสริมส่งออกก็ออกนโยบายให้ค่าเงินอ่อน แล้วถ้าเราเลียนแบบประเทศที่เศรษฐกิจดีมันจะไม่ดีกว่าเหรอ จะได้เจริญเหมือนเขาไง? คำตอบคือ อาเจนติน่าปี 1990 ที่ใช้นโยบายแบบอเมริกาทำให้ค่าเงินเปโซแข็งเกินไป จนธุรกิจภายในล้มสลายลงไป
4. มีการใช้ค่าเงินแบบคงที่
การใช้ค่าเงินแบบคงที่จะทำให้เราสามารถยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนค่าเงินตามสถานการณ์ได้ โดยไม่อิงกับประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป แต่การทำแบบนี้จะต้องไม่ปล่อยให้เงินทุนไหลได้อย่างเสรี ไม่ฉะนั้นจะทำให้ค่าเงินไม่เป็นไปตามความเป็นจริง เช่นมีการเก็งกำไรมากไปจนค่าเงินแข็งหรืออ่อนไป
ซึ่งจีนก็ค่อนข้างที่จะเข้ากฎเกณฑ์ครบทุกข้อในการจะโจมตี คือจีนเศรษฐกิจดีมาหลายปีจนเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาและการเก็งกำไรในตลาดทุน และช่วงหลังจีนต้องการเปิดเสรีการเงินให้เยอะขึ้น เพื่อให้เงินหยวนเป็นที่นิยมในตลาดโลก โดยผลักดันเงินหยวนเข้าไปไว้ในตะกร้า IMF แล้วสร้างธนาคาร AIIB ขึ้นมา ตลาดการค้าในกลุ่ม BRIC และเส้นทางสายไหม โครงการทั้งหมดนี้จะทำให้เงินหยวนเข้าไปสู่ทุกประเทศคู่ค้าและกู้ยืมเงิน ปัญหาคือขณะที่ทำโครงการต่างๆ ฟองสบู่ก็ทำทีท่าว่าจะแตก จึงต้องปรับนโยบายใหม่โดยหันมามองเศรษฐกิจในประเทศให้มากขึ้น ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายใน ซึ่งการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่นี้ก็ย่อมทำให้เกิดการแปรปรวนของเงินทุน จึงเป็นช่องโหว่ให้เข้ามาโจมตีจีนได้ง่ายขึ้น แล้วใครที่โจมตี ก็น่าจะเป็นระเทศลูกหนี้อย่างอเมริกาที่พยายามจะล้มเจ้าหนี้ตัวเอง อเมริกามีหนี้ 18 ล้านล้านดอลล่าในปัจจุบัน ทำไมประเทศไม่ล้มสลายสักที? มันก็พอมีเหตุผลอยู่บ้างคือ
อเมริกาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก ประเทศอันดับ 2 คือจีน แต่มีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของอเมริกา ดังนั้นอเมริกาจึงมีความน่าเชื่อถือที่สูงในการเติบโต แม้ว่าจะมีหนี้เยอะก็ตาม และความน่าเชื่อถือนี้ก็มีอยู่ทุกประเทศในรูปแบบดอลล่า ดังนั้นถ้าทุกคนเชื่อว่าอเมริกาจะล่มก็คงไม่มีใครเก็บดอลล่าไว้หรอก สิ่งที่จีนต้อทำคือพยายามดันหยวนเข้ามาแข่งในตลาดเงิน เพื่อจะทำให้ความนิยมดอลล่าลดน้อยลง ดันเศรษฐกิจเข้ามาเทียบ เมื่อไหร่ที่คนเริ่มนิยมดอลล่าน้อยลงหรือมีความกังวลต่อเศรษฐกิจอเมริกา เมื่อนั้นหนี้ที่ก่อมานานหลายปีจึงจะเริ่มส่งผล แต่ก็คงไม่ใช่ในเร็วๆนี้
ครั้งล่าสุดที่อเมริกาเริ่มใช้ความได้เปรียบเรื่องเงินดอลล่าอย่างออกหน้าออกตา ก็ตอนที่อเมริกาเกิดวิกฤติ subprime 2008 ต้นเหตุก็เกิดจากคนภายในทั้งนั้น ไม่ได้มีใครมาโจมตีอะไรเลย พวกนายธนาคารที่โลภจนเกินไป ซึ่งวิธีแก้ก็คือพิมพ์เงินดอลล่าออกมาอุ้ม หรือเรียกว่า QE นั้นเอง รอบแรกหมดก็พิมพ์มาเพิ่ม เพิ่มเรื่อยๆจนกว่าจะอุ้มได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ เงินวิ่งไปหาพวกนายหน้าธนาคาร พวกค้าหุ้น เป็นต้น แต่ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ภาคอสังหาหรือประชาชนเลย ปรานาธิปดีสหรัฐที่ผมยกให้เป็นประธานาธิปดีวอลสตรีทคือ คลินตัน และผมเชื่อว่าถ้า ฮิลารีได้ขึ้น ก็จะมีนโยบาลเอาใจวอลสตรีทอีก อาจจะเป็นต้นเหตุของวิกฤติครั้งใหม่อีก 5-10 ปีข้างหน้า
แล้วจีนจะปกป้องตัวเองอย่างไร ทำ QE แบบอเมริกาก็ไม่ได้ ก็ลดค่าเงินทื่อๆเลย ปรากฎว่าอเมริกาออกมาโวยวายกันยกใหญ่ว่าไม่ทำให้หยวนเป็นไปตามกลไกค่าเงิน และวิธีนี้ทำให้ commodity ถูกลงฉับพลันเกินไป จึงต้องหาวิธีใหม่มาปกป้องตัวเอง จีนมีเงินทุนสำรองสูงที่สุดของโลก ดังนั้นเอาเงินนี้แหละมาป้องกันค่าเงินไม่ให้อ่อนค่าเกินไป เรียกว่า QT ซึ่งพวกเฮดฟันด์ต่างๆ ถ้าจะสู้กับจีนก็ต้องมีเงินมากกว่าเงินทุนสำรองของจีนถึงจะสู้ได้ เหมือนครั้งที่จอร์จ โซรอสถล่มไทยใช้เงินมากถึง 2 เท่าของเงินสำรองระหว่างประเทศที่เรามี อีกข้อสำคัญคือถ้าเงินไหลออกเร็วเกินไปก็จะเกิดวิกฤติ แต่จีนเป็นคอมมิวนิสจึงสามารถสั้งการได้ทันที ดังนโยบายในตลาดทุนที่ห้ามผู้ถือหุ้นเกิน 5 % ขายหุ้นออกไป ทำให้เงินทุนค่อยๆออก แต่ไม่ออกไปในครั้งเดียวหมดเลย
ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าจีนจะทนไปได้ถึงโครงการต่างๆ แล้วเสร็จหรือไม่ ถ้าจีนทำได้ก็จะทำให้โลกการเงินเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร หยวนจะสามารถขึ้นชกกับดอลล่าได้แล้ว ค่าเงินกอลล่าจะตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่เกินตัวและสงครามในต่างๆ
อบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบถ้าชอบบทความนี้ ขอให้ช่วยกดไลค์ กดแชร์เพจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนได้มีผลงานต่อไป
ติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน