
สัปดาห์นี้หนังดีๆ น่าดูมากๆ เลยนะครับ และมีสองเรื่องที่เข้าชิง OSCAR ในสาขานักแสดงนำชายเหมือนกัน คือ Leonardo Di Caprio จากเรื่อง The Revenant ที่ผมกำลังจะรีวิวให้อ่านกัน และ Eddie Redmayne จากเรื่อง The Danish Girl ผมเลือกดูทั้งสองเรื่องในวันเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบกันเลยว่า ใครจะเจ๋งกว่ากัน ในด้านการแสดงในบทบาทในแต่ละเรื่อง ซึ่งถ้าเทียบกันในด้านกระแสการบอกต่อ The Revenant ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างมากกว่า The Danish Girl อาจจะด้วยชื่อของผู้กำกับ ตัวค่ายหนังเอง และอีกหลายๆ เรื่อง จนถึงขั้นกระแสเรื่องการให้กำลังใจ Leonardo ในเรื่องของการลุ้นออสการ์อย่างจริงจังอีกครั้งด้วย

หนังเป็นเรื่องราวของนักสำรวจป่า ฮิวจ์ กลาส (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) และทีมที่ถูกจู่โจมจากชนเผ่าอันโหดเหี้ยมจนบาดเจ็บสาหัส และถูกเพื่อนร่วมทีมอย่าง จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ (ทอม ฮาร์ดี้) ฆ่าลูกชายของเขาและปล่อยทิ้งเขาไว้ให้ตายเพียงลำพัง เขามีเพียงกำลังใจเป็นอาวุธในการต่อสู้ กลาสต้องทนต่อสภาพที่เหน็บหนาวอย่างรุนแรง เขาต้องหาทางรอดชีวิตและแก้แค้นฟิตซ์เจอรัลด์ให้ได้

ผู้กำกับ Alejandro González Iñárritu เป็นผู้กำกับที่ได้ออสการ์มาแล้วจากหนังเรื่อง Birdman เมื่อปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นในเรื่องของการกำกับภาพและการดำเนินเรื่องคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก วิธีการเล่าเรื่องดำเนินเรื่องทำได้น่าสนใจดีทีเดียว แต่ละฉากค่อยๆ ลำดับออกมาได้ละเอียดและปราณีตมาก ทุกฉากทุกตอนมีความหมายต่อเนื่องกันหมด มุมกล้องแม้จะดูแรงแต่สวยทุกมุม แสงและสีของภาพสมกับที่ผู้กำกับยอมลงทุนไม่ใช้แสงปรับแต่ง ใช้แต่แสงจริงๆ จากธรรมชาติในการถ่ายทำอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งทำให้ภาพที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สวยนวลตา สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่เปล่งออกมาในแต่ละฉากได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

มาถึงจุดที่ถูกพูดถึงเยอะที่สุดของหนังเรื่องนี้กันบ้าง ใช่ละครับ ผมกำลังจะพูดถึง "Leonardo Di Caprio" ครับ ก่อนผมจะเข้าไปดูหนังผมกังขาอยู่เหมือนกันว่ามันจริงเหรอที่ลีโอเล่นดีมาก ทำไมหลายคนถึงพูดถึง พอเข้าไปดูจริงๆ ตัวบทมันไม่ได้ช่วยให้หนังเข้มข้นอะไรเท่าไหร่เลย บทออกจะอ่อนเกินไปด้วยซ้ำ แต่ด้วย Acting เทพๆ ของลีโอที่เล่นใหญ่จัดเต็มถึงขั้นว่า แทบทุกซีนต้องใช้อารมณ์อินจัดๆ ถึงจะแสดงอารมณ์ออกมาจนคนดูรู้สึกตามได้ว่าเจ็บจริง ใกล้ตายจริง หิวจริง หนาวจริง และแค้นจริงขนาดนี้ โดยเฉพาะตอนที่พยายามเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ เหมือนเราอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ เลยด้วยซ้ำ ถือว่างานนี้พี่แกไม่ได้มาเล่นๆ จริงๆ พลังทางการแสดงของลีโอมันออกมาจนล้นทะลักมาถึงฟีลลิ่งคนดูได้มากกว่า 4DX ซะอีก ส่วน Tom Hardy คนนี้ไม่ต้องพูดถึง ถูกลืมไปเลยครับ 555

จุดอ่อนของหนังที่ผมเกริ่นไปแล้วคือเรื่องของตัวบท บทหนังไม่ซับซ้อน ไม่มีท่ายาก ไม่มีหักมุม ออกจะเนือยเกินไปด้วยซ้ำ บางฉากถูกแช่อยู่จนอารมณ์เข้มข้นเลือนหายไป แล้วค่อยกลับมาพีคอีกที มันเลยดูยืดยาวเกินไปนิดโดยที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย

ยังไงก็ตามถึงบทมันจะอ่อนจนไม่ต้องเดาอะไรเลย เดินทางไหนก็ตามไปทางนั้นแบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่มีรูปแบบชัดเจน บวกกับงานภาพที่สวยงามสุดๆ และพลังทางการแสดงของลีโอ มันผลักดันให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังที่เยี่ยมเรื่องหนึ่งในปีนี้เลยทีเดียว และเท่าที่ดูรายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์สาขาดารานำชาย ผมว่าถ้าไม่ใช่ลีโอ ก็จะมีแค่เอ็ดดี้นี่แหละที่จะไม่ค้านสายตากรรมการเลยแม้แต่น้อย แต่....ให้เฮียแกไปเถอะ
พูดคุยเพิ่มเติมได้นะครับ >>>
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [Review] The Revenant ต้องรอด - ความสุดยอดของลีโอที่เปล่งพลังได้สุดยอดมาก ติดแค่บทมันธรรมดาไปนิด
สัปดาห์นี้หนังดีๆ น่าดูมากๆ เลยนะครับ และมีสองเรื่องที่เข้าชิง OSCAR ในสาขานักแสดงนำชายเหมือนกัน คือ Leonardo Di Caprio จากเรื่อง The Revenant ที่ผมกำลังจะรีวิวให้อ่านกัน และ Eddie Redmayne จากเรื่อง The Danish Girl ผมเลือกดูทั้งสองเรื่องในวันเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบกันเลยว่า ใครจะเจ๋งกว่ากัน ในด้านการแสดงในบทบาทในแต่ละเรื่อง ซึ่งถ้าเทียบกันในด้านกระแสการบอกต่อ The Revenant ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างมากกว่า The Danish Girl อาจจะด้วยชื่อของผู้กำกับ ตัวค่ายหนังเอง และอีกหลายๆ เรื่อง จนถึงขั้นกระแสเรื่องการให้กำลังใจ Leonardo ในเรื่องของการลุ้นออสการ์อย่างจริงจังอีกครั้งด้วย
หนังเป็นเรื่องราวของนักสำรวจป่า ฮิวจ์ กลาส (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) และทีมที่ถูกจู่โจมจากชนเผ่าอันโหดเหี้ยมจนบาดเจ็บสาหัส และถูกเพื่อนร่วมทีมอย่าง จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ (ทอม ฮาร์ดี้) ฆ่าลูกชายของเขาและปล่อยทิ้งเขาไว้ให้ตายเพียงลำพัง เขามีเพียงกำลังใจเป็นอาวุธในการต่อสู้ กลาสต้องทนต่อสภาพที่เหน็บหนาวอย่างรุนแรง เขาต้องหาทางรอดชีวิตและแก้แค้นฟิตซ์เจอรัลด์ให้ได้
ผู้กำกับ Alejandro González Iñárritu เป็นผู้กำกับที่ได้ออสการ์มาแล้วจากหนังเรื่อง Birdman เมื่อปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นในเรื่องของการกำกับภาพและการดำเนินเรื่องคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก วิธีการเล่าเรื่องดำเนินเรื่องทำได้น่าสนใจดีทีเดียว แต่ละฉากค่อยๆ ลำดับออกมาได้ละเอียดและปราณีตมาก ทุกฉากทุกตอนมีความหมายต่อเนื่องกันหมด มุมกล้องแม้จะดูแรงแต่สวยทุกมุม แสงและสีของภาพสมกับที่ผู้กำกับยอมลงทุนไม่ใช้แสงปรับแต่ง ใช้แต่แสงจริงๆ จากธรรมชาติในการถ่ายทำอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งทำให้ภาพที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สวยนวลตา สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่เปล่งออกมาในแต่ละฉากได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
มาถึงจุดที่ถูกพูดถึงเยอะที่สุดของหนังเรื่องนี้กันบ้าง ใช่ละครับ ผมกำลังจะพูดถึง "Leonardo Di Caprio" ครับ ก่อนผมจะเข้าไปดูหนังผมกังขาอยู่เหมือนกันว่ามันจริงเหรอที่ลีโอเล่นดีมาก ทำไมหลายคนถึงพูดถึง พอเข้าไปดูจริงๆ ตัวบทมันไม่ได้ช่วยให้หนังเข้มข้นอะไรเท่าไหร่เลย บทออกจะอ่อนเกินไปด้วยซ้ำ แต่ด้วย Acting เทพๆ ของลีโอที่เล่นใหญ่จัดเต็มถึงขั้นว่า แทบทุกซีนต้องใช้อารมณ์อินจัดๆ ถึงจะแสดงอารมณ์ออกมาจนคนดูรู้สึกตามได้ว่าเจ็บจริง ใกล้ตายจริง หิวจริง หนาวจริง และแค้นจริงขนาดนี้ โดยเฉพาะตอนที่พยายามเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ เหมือนเราอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ เลยด้วยซ้ำ ถือว่างานนี้พี่แกไม่ได้มาเล่นๆ จริงๆ พลังทางการแสดงของลีโอมันออกมาจนล้นทะลักมาถึงฟีลลิ่งคนดูได้มากกว่า 4DX ซะอีก ส่วน Tom Hardy คนนี้ไม่ต้องพูดถึง ถูกลืมไปเลยครับ 555
จุดอ่อนของหนังที่ผมเกริ่นไปแล้วคือเรื่องของตัวบท บทหนังไม่ซับซ้อน ไม่มีท่ายาก ไม่มีหักมุม ออกจะเนือยเกินไปด้วยซ้ำ บางฉากถูกแช่อยู่จนอารมณ์เข้มข้นเลือนหายไป แล้วค่อยกลับมาพีคอีกที มันเลยดูยืดยาวเกินไปนิดโดยที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย
ยังไงก็ตามถึงบทมันจะอ่อนจนไม่ต้องเดาอะไรเลย เดินทางไหนก็ตามไปทางนั้นแบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่มีรูปแบบชัดเจน บวกกับงานภาพที่สวยงามสุดๆ และพลังทางการแสดงของลีโอ มันผลักดันให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังที่เยี่ยมเรื่องหนึ่งในปีนี้เลยทีเดียว และเท่าที่ดูรายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์สาขาดารานำชาย ผมว่าถ้าไม่ใช่ลีโอ ก็จะมีแค่เอ็ดดี้นี่แหละที่จะไม่ค้านสายตากรรมการเลยแม้แต่น้อย แต่....ให้เฮียแกไปเถอะ
พูดคุยเพิ่มเติมได้นะครับ >>> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้