คือปัจจุบันผมเรียนวิศวกรรมสาขาหนึ่งในมหาลัยดังสามพระจอมครับ ด้วยที่ว่าการเรียนของผมนั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจที่จะร่ำเรียนวิศวกรรมสายนี้หรือสายอื่นเลยแต่แรกเพียงแต่มุ่งหวังว่า "เออ เรียนวิศวะนี้แหละอะไรก็ได้ จบไปมีงานค่อยไต่เต้าขึ้นไปเอา" ด้วยความคิดเช่นนี้ผมจึงไม่ได้ซีเรียสตั้งแต่แรกว่าจะเรียนอะไรยังไง
- พอเข้ามาเรียน ผมมีความคิดที่ "ผิด" ครับ ผมเรียนๆเล่นๆไปแต่ก็ไม่เคยติด F นะครับก็ผ่านมาโดยตลอด อ่านหนังสือก่อนสอบไม่กี่วันพอให้มันผ่านไปแต่ละวิชาๆ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมามันกลับค่อยๆสอนผมมาเรื่อยๆ ผมมีโอกาศไปช่วยพ่อที่เป็นช่างซ่อมบำรุงที่เก่งมาก คือท่านจบ ปวส นะครับแต่ประสบการณ์การทำงานดี ทำงานโรงน้ำมันในคูเวต 4 ปี ทำงานไทยออย 2 ปี เป็นช่างใหญ่ที่ดูไบบริษัทคาวที่ผลิตกระป๋องสแตนเลสส่งทั่วโลกอีก 7 ปี มีผลงานเป็นลิขสิทธิ์ของตัวเองในนามบริษัท คือเครื่องตัดกระป๋องเพื่อวัดไฟฟ้าสถิต และยังเป็นคนคิดค้นระบบปั้มใหม่ให้กับโรงงาน นอกจากนี้ยังพัฒนาปรับปรุงเครื่องกรีดน้ำมันท่อบำบัดน้ำเสียจนได้รางวัล คือพ่อผมอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กพอกลับมาบ้านด้วยท่านเห็นเรียนวิศวะเลยให้ไปช่วยงานที่โรงงานที่มาเปิดเล็กๆบั้นปลายชีวิตที่บ้าน เป็นโรงงาน ตัด พับ ม้วน และทำเครื่องจักรกลขายนะครับ เช่นพวก เครื่องสับมัน เครื่องคีบอ้อย เครื่องอัดกระดาษ รถเกี่ยวข้าวที่ติดหัวไถ ซึ่งพ่อผมจะออกแบบทั้งหมด แต่เมื่อทำงานผมกลับช่วยท่านทำอะไรไม่ได้เลยเนื่องจากสาขาวิชาที่เรียนไม่ได้สอนเกี่ยวกับกลไกเครื่องกล เพราะผมเรียน วัสดุที่ วิชาเอกจะเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมวัสดุและการนะไปใช้การคัดเลือกการปรับปรุงคุณสมบัติวัสดุ
- ด้วยเหตุนี้ละครับพอผมได้มาทำงานร่วมกันกับพ่อ ผมก็ได้สอนงานใหม่ ใช้เครื่อง กลึง ไส เชื่อ ตัด ได้ดีมากขึ้น อ่านแบบเครื่องกลได้ รวมถึงได้รับเทคนิคพิเศษที่พ่อไปสั่งสมมาในเวลาทำงาน มันทำให้สนุกและชอบขึ้นมา และด้วยที่เป็นคนเจน Y อยู่แล้วผมจึงมีความรู้นอกเรื่องเรียนซะมากกว่าที่เรียน เช่นพวกนวัตกรรมใหม่ๆและตลาดหุ้นการลงทุนและธุรกิจ ซึ่งผมศึกษา การลงทุนมาเรื่อยๆเป็นเวลากว่า 4 ปี รวมถึงชื่นชอบในธุรกิจ (คือผมอ่านหนังสือหุ้นและอ่านข่าวกับหนังสือพวกปรัชญา มากกว่าหนังสือเรียนหลายเท่าครับ ซึ่งผมก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไม โดยส่วนตัวชอบอ่านหนังสือมาก เช่นเพชรพระอุมา ผมอ่านจบทั้ง 48 เล่ม ในช่วงปิดเทอม 2 รอบ) พอความรู้รอบตัวที่สั่งสมมามาเจอกับประสบการณ์ที่ได้ทำงานแบบนี้มันก็เข้ากันอย่างดีเยี่ยม ผมเห็นเป้าหมาย ผมเห็นเส้นทางอนาคตตัวเอง และรู้ว่าผมต้องการอะไร เดินเส้นทางไหนและต้องการเป็นที่หนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน ต้องการไปสู่ระดับโลกในเรื่องไหนและความสุขของการทำงาน นิยามของความสำเร็จผมอยู่ที่ใด
- ผมต้องการเก่งมากๆและชำนาญมากๆหรือเอาง่ายๆคือผมอยากรู้ทุกๆอย่างเกี่บวกับ ระบบเครื่องยนต์ ระบบกำลัง ระบบเทอร์โมไดนามิ ทรานสเฟอร์ทั้งหลายแหล่ (สาขาผม เรียน เทอร์โมและทรานสเฟอร์ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเลยนับว่าเป็นสิ่งที่ผมเสียใจมาก) ผมอยากศึกษามัน นอกจากนี้ผมอยากรู้เกี่ยวกับกลไกการสนดาปของพลังงานอื่นๆ ด้วยความรู้ วัสดุ ที่ผมเรียนมาแบบไม่ตั้งใจ มันก็จุดประกายอีกว่าผมอยากกลับไปศึกษา วิชา Physical metrology ซะใหม่ให้มันดีกว่าเดิมนอกจากนี้วิชา selection ก็เป็นวิชาที่ผมเสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียน พวก static dynamic ยิ่งแล้วใหญ่ผมไม่ได้ตั้งใจเต็มทีเลยเพียงแต่เรียนเพื่อผ่านมาเท่านั้น (โดยศักยภาพของตัวเองแล้วถนัดวิชาคำนวน และยังเคยเป็นตัวแทนคัดเลือกโอลิมปิค ฟิสิกส์ ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ครับ แต่ด้วยความไม่ใส่ใจและไร้เป้าหมาย Static/dynamic , strength จึงได้ C+ , D ตามลำดับ เดี่ยวจะเล่าครับว่ามันส่งผลยังไง) ด้วยเหตุนี้ผมจึงตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องกลเพื่อหาประสบการณ์สัก 3-5 ปีแล้วมาเรียนต่อเครื่องกล ในระดับ ป.โท และ ป.เอก แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังครับ
- ด้วยเหตุที่รู้ตัวช้า รู้ตัวตอนทำ final project นั้นก็คือ ปี 4 เกรดเฉลี่ยของผม อยู่ที่ 2.31เท่านั้นเอง เนื่องจากเป็นวิศวกรรม วัสดุ งานของผมจึงเป็นงาน heat treatment or metrology เป็นหลักในสายโลหะ และ งานเคมีวิศวกรรมปรับปรุงคุณสมบัติ ในงานสาย polymer และยาง แน่นอนว่าถ้าผมจะทำงานเหล่านี้ ประสบการณ์ที่ต้องการจะไม่ได้เต็มที่เลย
- เมื่อผมไปขอสอบถามเรื่องการเรียนต่อ อ. ท่านก็ถามถึงเกรด แน่นอนครับว่า 2.31 มันน้อยมาก รวมถึง Static/dynamic strength ผมก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่มาก ซึ่งผมแก้ตัวไม่ได้เลย หาก อ.พิจารณาจาก ประสบการณ์การทำงาน ผมก็ยังไม่มี บริษัทเกี่ยวกับรถยนต์ ก็รับ 2.75 ขึ้นไปแน่นอนว่าถ้าผมจะไปสมัครข้ามสายงาน คงอาจจะต้องเกรด 3.0 up ซึ่งผมก็ไม่มีโอกาศเช่นเดียวกัน หาdจะไปทำงานอื่นก่อน 2-3 ปี แล้วค่อยมาเรียน ประสบการณ์ก็ไม่ตรงสายและเสียเวลาจากเป้าหมายที่ใฝ่ไว้มากโขอยู่ พอถามถึง project ผมก็ทำ thermoplastic ที่ทำจากแป้ง ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับเครื่องกลเลย
- เป้าหมายของผมมันชัดเจนครับ มันคือการไปถึงจุดสูงสุดของวิศวกรรมยานยนต์และผมใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้นำในเครื่องจักรกลที่จะใช้งานในพลังงานทดแทนใหม่ๆในอนาคต มันเป็นความทะเยอทะยานที่ อยากไปให้ถึงจุดๆที่เราสร้างสิ่งดีๆขึ้นสักอย่างมีนวัตกรรมอะไรสักอย่างที่มันสั่นสะเทือนโลกได้และมันมีปรโยชน์
- ตอนนี้ ผมก็ทำทุกวถีทาง ทั้งร่อนใบสมัครงาน เครื่องกล มองหาหนทางที่จะได้เรียนต่อแต่หนทางผมมันก็ดับลงไปเรื่อยๆ สุดท้าย รู้สึกเสียใจครับ ช่วงเวลาในมหาลัยของผมไม่ได้สูญปล่าวไปเลย ที่ผ่านมาผมคิดว่ามันสูญปล่าว แต่ไม่ใช่ มันได้อะไรหลายอย่างเยอะทีเดียว ผมมีสิทธิ์เรียน วิศกรรม เคมี ศิลปากรณ์ วิศวกรรมทั่วไป มข. วิศกรรมเครื่องกล นเรศวร แต่ผมกลับเลือกเรียนวัสดุ มี่ สามพระจอม เพียงเพราะตามเพื่อนมา เมื่อมาเรียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร กว่าจะรู้จะเห็นถึงความสำคัญ ผมก็พลาดโอกาศที่ดีที่ใฝ่ฝันไป ตอนจบ มัธยม ผมมีสิทธิ์เลือกอนาคตตัวเอง ตอนนี้จะจบมหาลัย ผมยังมีสิทธิ์เลือกอนาคตตัวเอง แต่มันก็คงอาจไม่เป็นดังฝันที่วาดไว้
- ยาวมากหน่อยนะครับ มันเป็นการตัดพ้อด้วยความรู้สึกเสียใจ และหวังว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีกับน้องๆที่เรียนอยู่นะครับ
เหมือนความฝันในการเรียนรู้ของผมล้มเหลว และเสียใจที่รู้ตัวเมื่อสายไป.
- พอเข้ามาเรียน ผมมีความคิดที่ "ผิด" ครับ ผมเรียนๆเล่นๆไปแต่ก็ไม่เคยติด F นะครับก็ผ่านมาโดยตลอด อ่านหนังสือก่อนสอบไม่กี่วันพอให้มันผ่านไปแต่ละวิชาๆ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมามันกลับค่อยๆสอนผมมาเรื่อยๆ ผมมีโอกาศไปช่วยพ่อที่เป็นช่างซ่อมบำรุงที่เก่งมาก คือท่านจบ ปวส นะครับแต่ประสบการณ์การทำงานดี ทำงานโรงน้ำมันในคูเวต 4 ปี ทำงานไทยออย 2 ปี เป็นช่างใหญ่ที่ดูไบบริษัทคาวที่ผลิตกระป๋องสแตนเลสส่งทั่วโลกอีก 7 ปี มีผลงานเป็นลิขสิทธิ์ของตัวเองในนามบริษัท คือเครื่องตัดกระป๋องเพื่อวัดไฟฟ้าสถิต และยังเป็นคนคิดค้นระบบปั้มใหม่ให้กับโรงงาน นอกจากนี้ยังพัฒนาปรับปรุงเครื่องกรีดน้ำมันท่อบำบัดน้ำเสียจนได้รางวัล คือพ่อผมอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กพอกลับมาบ้านด้วยท่านเห็นเรียนวิศวะเลยให้ไปช่วยงานที่โรงงานที่มาเปิดเล็กๆบั้นปลายชีวิตที่บ้าน เป็นโรงงาน ตัด พับ ม้วน และทำเครื่องจักรกลขายนะครับ เช่นพวก เครื่องสับมัน เครื่องคีบอ้อย เครื่องอัดกระดาษ รถเกี่ยวข้าวที่ติดหัวไถ ซึ่งพ่อผมจะออกแบบทั้งหมด แต่เมื่อทำงานผมกลับช่วยท่านทำอะไรไม่ได้เลยเนื่องจากสาขาวิชาที่เรียนไม่ได้สอนเกี่ยวกับกลไกเครื่องกล เพราะผมเรียน วัสดุที่ วิชาเอกจะเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมวัสดุและการนะไปใช้การคัดเลือกการปรับปรุงคุณสมบัติวัสดุ
- ด้วยเหตุนี้ละครับพอผมได้มาทำงานร่วมกันกับพ่อ ผมก็ได้สอนงานใหม่ ใช้เครื่อง กลึง ไส เชื่อ ตัด ได้ดีมากขึ้น อ่านแบบเครื่องกลได้ รวมถึงได้รับเทคนิคพิเศษที่พ่อไปสั่งสมมาในเวลาทำงาน มันทำให้สนุกและชอบขึ้นมา และด้วยที่เป็นคนเจน Y อยู่แล้วผมจึงมีความรู้นอกเรื่องเรียนซะมากกว่าที่เรียน เช่นพวกนวัตกรรมใหม่ๆและตลาดหุ้นการลงทุนและธุรกิจ ซึ่งผมศึกษา การลงทุนมาเรื่อยๆเป็นเวลากว่า 4 ปี รวมถึงชื่นชอบในธุรกิจ (คือผมอ่านหนังสือหุ้นและอ่านข่าวกับหนังสือพวกปรัชญา มากกว่าหนังสือเรียนหลายเท่าครับ ซึ่งผมก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไม โดยส่วนตัวชอบอ่านหนังสือมาก เช่นเพชรพระอุมา ผมอ่านจบทั้ง 48 เล่ม ในช่วงปิดเทอม 2 รอบ) พอความรู้รอบตัวที่สั่งสมมามาเจอกับประสบการณ์ที่ได้ทำงานแบบนี้มันก็เข้ากันอย่างดีเยี่ยม ผมเห็นเป้าหมาย ผมเห็นเส้นทางอนาคตตัวเอง และรู้ว่าผมต้องการอะไร เดินเส้นทางไหนและต้องการเป็นที่หนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน ต้องการไปสู่ระดับโลกในเรื่องไหนและความสุขของการทำงาน นิยามของความสำเร็จผมอยู่ที่ใด
- ผมต้องการเก่งมากๆและชำนาญมากๆหรือเอาง่ายๆคือผมอยากรู้ทุกๆอย่างเกี่บวกับ ระบบเครื่องยนต์ ระบบกำลัง ระบบเทอร์โมไดนามิ ทรานสเฟอร์ทั้งหลายแหล่ (สาขาผม เรียน เทอร์โมและทรานสเฟอร์ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเลยนับว่าเป็นสิ่งที่ผมเสียใจมาก) ผมอยากศึกษามัน นอกจากนี้ผมอยากรู้เกี่ยวกับกลไกการสนดาปของพลังงานอื่นๆ ด้วยความรู้ วัสดุ ที่ผมเรียนมาแบบไม่ตั้งใจ มันก็จุดประกายอีกว่าผมอยากกลับไปศึกษา วิชา Physical metrology ซะใหม่ให้มันดีกว่าเดิมนอกจากนี้วิชา selection ก็เป็นวิชาที่ผมเสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียน พวก static dynamic ยิ่งแล้วใหญ่ผมไม่ได้ตั้งใจเต็มทีเลยเพียงแต่เรียนเพื่อผ่านมาเท่านั้น (โดยศักยภาพของตัวเองแล้วถนัดวิชาคำนวน และยังเคยเป็นตัวแทนคัดเลือกโอลิมปิค ฟิสิกส์ ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ครับ แต่ด้วยความไม่ใส่ใจและไร้เป้าหมาย Static/dynamic , strength จึงได้ C+ , D ตามลำดับ เดี่ยวจะเล่าครับว่ามันส่งผลยังไง) ด้วยเหตุนี้ผมจึงตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องกลเพื่อหาประสบการณ์สัก 3-5 ปีแล้วมาเรียนต่อเครื่องกล ในระดับ ป.โท และ ป.เอก แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังครับ
- ด้วยเหตุที่รู้ตัวช้า รู้ตัวตอนทำ final project นั้นก็คือ ปี 4 เกรดเฉลี่ยของผม อยู่ที่ 2.31เท่านั้นเอง เนื่องจากเป็นวิศวกรรม วัสดุ งานของผมจึงเป็นงาน heat treatment or metrology เป็นหลักในสายโลหะ และ งานเคมีวิศวกรรมปรับปรุงคุณสมบัติ ในงานสาย polymer และยาง แน่นอนว่าถ้าผมจะทำงานเหล่านี้ ประสบการณ์ที่ต้องการจะไม่ได้เต็มที่เลย
- เมื่อผมไปขอสอบถามเรื่องการเรียนต่อ อ. ท่านก็ถามถึงเกรด แน่นอนครับว่า 2.31 มันน้อยมาก รวมถึง Static/dynamic strength ผมก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่มาก ซึ่งผมแก้ตัวไม่ได้เลย หาก อ.พิจารณาจาก ประสบการณ์การทำงาน ผมก็ยังไม่มี บริษัทเกี่ยวกับรถยนต์ ก็รับ 2.75 ขึ้นไปแน่นอนว่าถ้าผมจะไปสมัครข้ามสายงาน คงอาจจะต้องเกรด 3.0 up ซึ่งผมก็ไม่มีโอกาศเช่นเดียวกัน หาdจะไปทำงานอื่นก่อน 2-3 ปี แล้วค่อยมาเรียน ประสบการณ์ก็ไม่ตรงสายและเสียเวลาจากเป้าหมายที่ใฝ่ไว้มากโขอยู่ พอถามถึง project ผมก็ทำ thermoplastic ที่ทำจากแป้ง ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับเครื่องกลเลย
- เป้าหมายของผมมันชัดเจนครับ มันคือการไปถึงจุดสูงสุดของวิศวกรรมยานยนต์และผมใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้นำในเครื่องจักรกลที่จะใช้งานในพลังงานทดแทนใหม่ๆในอนาคต มันเป็นความทะเยอทะยานที่ อยากไปให้ถึงจุดๆที่เราสร้างสิ่งดีๆขึ้นสักอย่างมีนวัตกรรมอะไรสักอย่างที่มันสั่นสะเทือนโลกได้และมันมีปรโยชน์
- ตอนนี้ ผมก็ทำทุกวถีทาง ทั้งร่อนใบสมัครงาน เครื่องกล มองหาหนทางที่จะได้เรียนต่อแต่หนทางผมมันก็ดับลงไปเรื่อยๆ สุดท้าย รู้สึกเสียใจครับ ช่วงเวลาในมหาลัยของผมไม่ได้สูญปล่าวไปเลย ที่ผ่านมาผมคิดว่ามันสูญปล่าว แต่ไม่ใช่ มันได้อะไรหลายอย่างเยอะทีเดียว ผมมีสิทธิ์เรียน วิศกรรม เคมี ศิลปากรณ์ วิศวกรรมทั่วไป มข. วิศกรรมเครื่องกล นเรศวร แต่ผมกลับเลือกเรียนวัสดุ มี่ สามพระจอม เพียงเพราะตามเพื่อนมา เมื่อมาเรียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร กว่าจะรู้จะเห็นถึงความสำคัญ ผมก็พลาดโอกาศที่ดีที่ใฝ่ฝันไป ตอนจบ มัธยม ผมมีสิทธิ์เลือกอนาคตตัวเอง ตอนนี้จะจบมหาลัย ผมยังมีสิทธิ์เลือกอนาคตตัวเอง แต่มันก็คงอาจไม่เป็นดังฝันที่วาดไว้
- ยาวมากหน่อยนะครับ มันเป็นการตัดพ้อด้วยความรู้สึกเสียใจ และหวังว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีกับน้องๆที่เรียนอยู่นะครับ