วงจรในคลิปนี้ทำงานอย่างไรครับ

กระทู้คำถาม
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
จากวงจรในคลิปนะครับผมมีข้อสงสัยอยู่ 2 เรื่อง ครับ คือ
1. ขดลวดกลุ่ม 30 รอบ ที่ต่อในวงจรทรานซิสเตอร์  ทำไมจึงแบ่งครึ่งขดลวดเป็นขดละ 15 รอบ
ให้ขดที่1ไหลไปเข้าขา B (สมมติเป็น L1 ครับ) และอีกขดหนึ่งไปเข้าขา C (สมมติเป็น L2 ครับ) ของทรานซิสเตอร์ ?
แล้วกระแสในกลุ่ม 30 รอบ ที่ไหลสวนทางกัน (IL1 สวนทางกับ IL2) มีผลอย่างไร?
2. กระแสของทานซิสเตอร์เป็นกระแสอะไร (รูปกราฟของกระแสครับ) จึงไปทำให้ขดลวดกลุ่ม 30 รอบ ไปเหนี่ยวนำ ขดลวดที่ต่อกับ LED (สมมติเป็น L3)ให้สว่างได้ ?
3. ขดลวดที่จะไปเหนี่ยวนำขด L3 เป็น L1 หรือ L2 ?

// ผมต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่คนที่เรียนมาทางสายนี้โดยตรง แต่มีความสนใจด้านนี้ครับ เคยเห็นแต่ทฤษฎี
......ขอท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ.....//
............// ขอบคุณครับ // ..............
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
1. ขดลวดกลุ่ม 30 รอบ ที่ต่อในวงจรทรานซิสเตอร์  ทำไมจึงแบ่งครึ่งขดลวดเป็นขดละ 15 รอบ
ให้ขดที่1ไหลไปเข้าขา B (สมมติเป็น L1 ครับ) และอีกขดหนึ่งไปเข้าขา C (สมมติเป็น L2 ครับ) ของทรานซิสเตอร์ ?
แล้วกระแสในกลุ่ม 30 รอบ ที่ไหลสวนทางกัน (IL1 สวนทางกับ IL2) มีผลอย่างไร?

ที่แบ่งครึ่ง 15 รอบ เพราะว่าจะให้มีการ ป้อนกลับทางบวก (Positive feedback) ไปยังขา B
ทำให้วงจรเกิดการ Oscillation กำเนิดความถี่สูงครับ

2. กระแสของทานซิสเตอร์เป็นกระแสอะไร (รูปกราฟของกระแสครับ) จึงไปทำให้ขดลวดกลุ่ม 30 รอบ
ไปเหนี่ยวนำ ขดลวดที่ต่อกับ LED (สมมติเป็น L3)ให้สว่างได้ ?

รูปกราฟของรูปคลื่น  จะเป็น pulse DC (กระแสตรง) ที่มีค่า duty cycle น้อย ๆ ครับ
แต่ก็มีความถี่สูงมากพอที่จะเหนี่ยวนำที่ L3 ให้ LED สว่างได้

3. ขดลวดที่จะไปเหนี่ยวนำขด L3 เป็น L1 หรือ L2 ?
L2 ครับ  พลังงานความถี่สูงจะกำเนิดจากขดลวด L2 (ที่ต่อกับขา C ของ Transistor)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
เริ่มจาก ในอดีต เมื่อ สองร้อยปีก่อน
เรื่องราวของไฟฟ้า และสนามแม่เหล็กนั้น ถูกแยกออกจากกันอย่างชิ้นเชิง
จนในปี 1873 เจมส์ คราค แมกซ์เวลล์ ได้นำเอาสนามแม่เหล้ก และไฟฟ้า มาเชื่อมโยงกันได้สำเร็จ
และจากนั้นมา เราจึงสามารถ เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า มาเป็นแรงสนามแม่เหล็ก
และเปลี่ยนแรงสนามแม่เหล็กมาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้

ในวงจรข้างต้นนั้น  LED สว่างได้เพราะว่า ขดลวดที่ต่อกับแบตเตอร์รี่นั้นมีไฟฟ้าไหลผ่าน และสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมา
จากนั้นเส้นแรงแม่เหล็กนี้ ก็จะไปเหนี่ยวนำ ขดลวดที่ต่อกับหลอด LED เมื่อขดลวดมีแรงสนามแม่เหล็กมากระทำ
แรงนี้จะเหนี่ยวนำให้อิเล็กตรอนในขดลวดเกิดการเคลื่อนที่ และเป็นกระแสไฟฟ้า วิ่งในขดลวด เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหล
LED จึงได้รับพลังงานไฟฟ้า และ LED ก็จะติด

แล้วทำไมต้องมี Transistor กับ Capacitor ?
เนื่องมาจากสมการ ที่เรียกว่า กฏของฟาราเดย์ ที่ระบุว่า แรงดันไฟฟ้า จะเพิ่มขึ้นนั้น ก็ต่อเมื่อ ตัวนำนั้นต้องอยู่ภายใต้
การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก ดังนั้นแล้ว ถ้าหากเราจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงผ่านขดลวด แม้จะมีสนามแม่เหล็กบนขดลวด
แต่จะไม่ก่อให้เกิดแรงดันไฟฟ้า บนขดลวดอีกขดหนึ่ง
เช่น ถ้าหากเราต่อแบตเตอร์รี่โดยตรงเข้ากับขดลวด มันจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น เราสามารถดูดตะปูเล็กๆ หรือคลิปหนีบกระดาษได้
แต่เมื่อเราเอาขดลวดที่ต่อกับ LED เข้ามาใกล้จะพบว่า หลอดไฟไม่ติด... แต่มันอาจจะทำให้ติดได้โดยการ ขยับ ขดลวดที่ต่อกับ LED
เคลื่อนที่ผ่านขดลวดของแบตเตอร์รี่อย่างรวดเร็ว (หรือไม่ก็ต้องลดขนาด LED ลง เพราะขดลวดมันจ่ายไฟฟ้าน้อย ในวิธีนี้)
เพราะการที่เราทำให้ขดลวดในฝั่งที่ต่อกับ LED เคลื่อนที่นั้น ทำให้สนามแม่เหล็กในขดลวดของ LED มีการเปลี่ยนแปลง มันจึงเกิดแรงดันไฟฟ้า

ในเมื่อ การที่จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าบนขดลวดของ LED ได้ จะต้องใช้การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก
เขาจึงนำ Capacitor กับ Transistor มาต่อเพิ่ม โดยให้ Capacitor เป็นตัวหน่วงเวลา ในการเปิด-ปิด Transistor
และนำ Transistor ไปเปิด-ปิด ให้กระแสไหล หรือไม่ไหลผ่าน ขดลวดอีกทีหนึ่ง
เมื่อมีกระแสไหลผ่านขดลวดที่ต่อกับแบตเตอร์รี่เป็นระยะๆ ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กบนขดลวดที่ต่อกับแบตเตอร์รี่เป็นระยะๆเช่นกัน
ดังนั้นมันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก ที่ไปเหนี่ยวนำขดลวดของ LED
ก็เลยเกิดแรงดันไฟฟ้าขึ้นบนขดลวดของ LED และ LED ก็จะติด... (ที่จริงมันติด-ดับอย่างรวดเร็วมาก)

มันก็เป็นเช่นนี้แลครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่