เขาว่ากันว่า เรียนบัญชี ยังไงเสียก็ไม่ตกงาน
แอ้มเป็นเด็กสาวที่คิดเช่นนั้น เธอชอบเรียนคำนวณ ชอบตัวเลข ชอบค้าขาย นั่นคงเป็นเหตุผลมากพอที่จะทำให้เธอเลือกเรียนสายอาชีพทางด้านบัญชีจนสำเร็จ ปวส แต่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เธอจึงหยุดความฝันที่จะเรียนต่อสักปีหนึ่ง หางานทำเพื่อเก็บเงินก่อนจะลงเรียน มสธ เพื่อคว้าใบปริญญามานอนกอดให้ได้
ผลการเรียนที่ดีเยี่ยม ทำให้เธอได้รับข้อเสนองานในโรงงานย่านพระรามสองหลังเธอไปกรอกใบสมัครงานไม่นาน มีโทรศัพท์ตามเธอไปทำงานถึงสามโรงงานด้วยกัน แต่เธอเลือกที่จะทำที่โรงงานผลิตตุ๊กตาเด็กดูดจุกนมนี่ เพราะโรงงานอยู่ไม่ห่างจากบ้านเธอมากนัก มีรถโรงงานมารับหน้าปากซอย หรือวันไหนเธอตื่นสายก็แค่นั่งรถเมล์ต่อเดียวจากแสมดำไปถึงได้ในครึ่งชั่วโมง
แอ้มไม่ลืมว่าวันที่ไปสัมภาษณ์งาน เกษรหัวหน้างานฝ่ายบัญชีกระซิบบอก เถ้าแก่โรงงานนี้แม้จะหน้าดุแต่ก็ใจดีและหากแอ้มทำงานขยันขันแข็งในแบบที่เถ้าแก่ชอบ ก็จะสามารถเติบโตในสายงานนี้ไม่ยากเลย และที่สำคัญแอ้มจะเป็นคนที่รับผิดชอบทำงานต่อไปหลังจากที่พี่เกษรจะลาออกไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านนอกปลายปีนี้ คำนี้มันทำให้แอ้มได้คิดว่า บางทีที่โรงงานที่ดูไม่ทันสมัยนัก อาจจะเป็นงานที่ให้ความมั่นคงโดยที่เธอไม่ต้องเรียนต่อปริญญาตามความตั้งใจของเธอแต่แรกก็ได้ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แอ้มคิด
ความรักดีและตั้งใจทำงาน ของเธอทำให้เธอเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานในแผนกทุกคน เธอผ่านทดลองงานด้วยลายเซนต์ของเถ้าแก่หน้าตาดุคนนั้นจนได้ ในวันนั้นแอ้มเห็นเถ้าแก่ร่างใหญ่ มีใบหน้าอวบแดงตลอดเวลา เขายิ้มน้อยๆ ให้เธอ ขณะเดินมาแจกซองอังเปาตรุษจีน
วันนั้นทุกคนมีความสุขนอกจากได้รับอังเปากันมากอย่างไม่เคยได้มาก่อน เถ้าแก่แจ้งว่ามีออเดอร์หลังปีใหม่เข้ามาอีกหลายหมื่นตัว ขอให้ทุกคนขยันตั้งใจทำงานกันให้มากขึ้น แอ้มไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าเถ้าแก่พูดไปก็หันมามองเธออยู่เป็นระยะ ๆ
วันเสาร์ที่โรงงานไฟตก เพราะหม้อแปลงไฟตัวหนึ่งที่หน้าโรงงานระเบิด เนื่องจากเถ้าแก่สั่งเครื่องจักรมาติดตั้งเพิ่มโดยไม่ได้มีการประมาณการใช้ไฟในช่วงทำโอทีไว้ด้วย วานนี้และวันนี้จึงมีพวกช่างไฟฟ้าเข้ามาเปลี่ยนสายไฟเมนกันครึ่งค่อนวัน เสียงเถ้าแก่เดินสั่งงานโล้งเล้ง หนุ่มสาวโรงงานต่างมานั่งรออยู่ด้านข้างโรงงานเพื่อรอไฟฟ้ามา ดูทุกคนขยันขันแข็งตามคำขอร้องที่พูดไทยได้ไม่ชัดของเถ้าแก่กันอย่างน่าพิศวง พักใหญ่ ๆ ข่าวดีคือเฟสไฟที่โรงงานมาแล้วช่างแก้ไขได้สำเร็จ แต่ที่ออฟฟิศส่วนสำนักงานนั้นมาเป็นบางจุด ส่วนบุคลคลชั้นสองและฝ่ายช่างชั้นล่างไฟเสียหาสาเหตุไม่พบ ทุกคนจึงกลับบ้านกันไม่มีใครทำโอทีเลยสักคน
แอ้มอดยิ้มในความขี้เหนียวของเถ้าแก่ไม่ได้ ตึกที่เก่าที่สุดคือตึกสำนักงานที่ถือว่าเป็นที่ตั้งทำการแรกของโรงงานแห่งนี้ ภายนอกถึงจะทาสีใหม่แต่เมื่อมองใกล้มันเหมือนคนแก่ที่แต่งหน้าแต่งตาจัดจ้าน อย่างไรเสียก็มองเห็นถึงความร่วงโรยและร่อยรอยของกาลเวลาที่สั่งสมอยู่ดี ยิ่งยามย็นจวนค่ำ แสงไฟนีออนที่ขาดหายไปของตัวตึก ทำให้ตึกนี้ดูราวตึกร้างในหนังฝรั่งขาวดำก็ไม่ปาน
ใกล้ทุ่ม ฟ้าก็มืดกลบดาวยามเย็นไปจนหมด ฝนหลงฤดูเริ่มบรรเลงพร้อมลม ข่าวพยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนเพียงแค่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่แต่ตอนนี้ ดูมันจะตกหนักขึ้นเพราะลมหอบฝนมาเป็นสองแรงสองเท่าเสียแล้ว ไหนว่าเป็นหน้าร้อน ฝนนี่ตกไม่ดูฤดูกาลเอาเสียเลย แอ้มคิด
เสียงฝนซัดกันสาดผ้าใบตรงหน้าต่างครัวดัง ปึ่บปั่บแอ้มยังคงนั่งทำงานอยู่เพียงลำพัง งบดุลที่ต้องส่งสิ้นเดือนนี้ทำเอาเธอเหนื่อยไม่น้อย แต่อย่างไรก็ดีนี่จะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้เธอยืนได้อย่างมั่นคง ณ โรงงานแห่งนี้ เธอละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้นไปเกาะกระจกหน้าต่างมองดูสายฝน จุดนำสายตาเป็นไฟสว่างจากโรงงานที่อยู่ห่างไปราวร้อยเมตร
เสียงเหมือนคนเดินดังอยู่ข้างนอกที่บันไดทางขึ้น ใครกันจะมายามนี้ แอ้มอุ่นใจที่เธอล๊อกประตูเอาไว้แล้ว นอกจากคนในแผนกก็ไม่มีใครมีกุญแจไขเข้ามาได้อีก นอกจากเถ้าแก่ อะไรทำให้เธอคิดไปแบบนั้น เสียงเดินเร็ว ๆ พร้อมกับเสียงพวงกุญแจห้อยเข็มขัดพวงใหญ่มีแต่เถ้าแก่คนเดียวเท่านั้น เธอเงี่ยหูฟัง ตั้งใจฟังเสียงกุญแจนั่น สาวรุ่นยืนมองฝนได้ไม่นาน เสียงหน้าต่างจากห้องครัวเล็กที่อยู่ติดกัน ฟาดเข้าวงกบเสียงดัง ปัง ปัง ลมที่ผ่านเข้ามาก็ดังน่ากลัวกว่าน่าชื่นใจ ลมพัดกระแทกบางอย่างดังอยู่ไม่ขาดเสียง เธอกังวลว่าฝนจะสาดเข้ามาทำความเสียหายในครัว ถ้าเธอไม่ไปปิด เกิดอะไรขึ้นเธอก็คงไม่พ้นความรับผิดชอบไปได้
แล้วไฟฟ้าที่แผนกบัญชีก็ดับ แสงจากที่ไกลออกไปเพียงน้อยนิด ทำให้ความหวาดกลัวของเธอเพิ่มขึ้นอย่างที่สุด ตอนนี้เธออยากได้ยินเสียงพวงกุญแจ แทนเสียงลมและฝนที่ยั่วเย้าประสาทเธอ เถ้าแก่ไปไหน แอ้มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ตึกหรือเปล่า แต่เธออยากให้อยู่ ไม่อยากอยู่ลำพังในคืนนี้ เธอกลัวความมืดเหลือเกิน อยากกลับบ้าน สมองเธอบอกแต่สิ่งนี้
แอ้มเปิดหน้าจอมือถือปิดปลักคอมพิวเตอร์ เดินไปปิดสวิทซ์ไฟให้ปิดทั้งที่มันมืดมิด เธอล็อกประตูห้องทำงาน จะก้าวเท้าลงบันได แต่เสียงจากครัวยังดังอยู่ เธอเดินตามเสียงไปที่นั่น เธอมองเห็นสายฟ้าวาบแสงจากหน้าต่างครัวที่เปิดออก ในสองวินาทีจากนั้นเสียงฟ้าก็ดังครืน เธอหดแขนที่ยื่นมือถือต่างไฟฉายเข้าปิดหน้าตัวเอง พื้นเปียกสะท้อนแสงน้อยๆเห็นช้อน จาน มีดปอกผลไม้หล่นอยู่ที่พื้น เสียงลมพัดดังเหมือนพัดผ่านผ้าม่าน
แอ้มเอื้อมหยิบมีดมาถือกระชับมือ
เอาเท้ากวาดช้อนซ่อมไปกองรวมกัน เพื่อเปิดทางก้าวช้า ๆ ไปปิดหน้าต่าง เธอทำสำเร็จ เธอเป่าลมหายใจออกปากผ่อนคลายความวิตกและหวาดกลัว ยามนี้เสียงในห้องเงียบลง ที่ผนังตรงหน้ามีแผ่นกระดาษขาวเขียนด้วยสีดำ สีแดง และถูกวงไว้ด้วยปากกาสีแดง แอ้มอ่านจบแล้วทรุดตัวลงกับพื้น แอ้มจำได้สนิทใจ เธอปล่อยมีดไปกองรวมกับช้อน ในปฏิทินที่เปียกชื้นหน้าที่ 4 วงกลมนั้นวงหมายเลข 13 14 15 16
"ตายแล้วไปไหน (ดี) โรงงานหยุดตั้งหลายวัน"
ตายแล้วไปไหน
แอ้มเป็นเด็กสาวที่คิดเช่นนั้น เธอชอบเรียนคำนวณ ชอบตัวเลข ชอบค้าขาย นั่นคงเป็นเหตุผลมากพอที่จะทำให้เธอเลือกเรียนสายอาชีพทางด้านบัญชีจนสำเร็จ ปวส แต่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เธอจึงหยุดความฝันที่จะเรียนต่อสักปีหนึ่ง หางานทำเพื่อเก็บเงินก่อนจะลงเรียน มสธ เพื่อคว้าใบปริญญามานอนกอดให้ได้
ผลการเรียนที่ดีเยี่ยม ทำให้เธอได้รับข้อเสนองานในโรงงานย่านพระรามสองหลังเธอไปกรอกใบสมัครงานไม่นาน มีโทรศัพท์ตามเธอไปทำงานถึงสามโรงงานด้วยกัน แต่เธอเลือกที่จะทำที่โรงงานผลิตตุ๊กตาเด็กดูดจุกนมนี่ เพราะโรงงานอยู่ไม่ห่างจากบ้านเธอมากนัก มีรถโรงงานมารับหน้าปากซอย หรือวันไหนเธอตื่นสายก็แค่นั่งรถเมล์ต่อเดียวจากแสมดำไปถึงได้ในครึ่งชั่วโมง
แอ้มไม่ลืมว่าวันที่ไปสัมภาษณ์งาน เกษรหัวหน้างานฝ่ายบัญชีกระซิบบอก เถ้าแก่โรงงานนี้แม้จะหน้าดุแต่ก็ใจดีและหากแอ้มทำงานขยันขันแข็งในแบบที่เถ้าแก่ชอบ ก็จะสามารถเติบโตในสายงานนี้ไม่ยากเลย และที่สำคัญแอ้มจะเป็นคนที่รับผิดชอบทำงานต่อไปหลังจากที่พี่เกษรจะลาออกไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านนอกปลายปีนี้ คำนี้มันทำให้แอ้มได้คิดว่า บางทีที่โรงงานที่ดูไม่ทันสมัยนัก อาจจะเป็นงานที่ให้ความมั่นคงโดยที่เธอไม่ต้องเรียนต่อปริญญาตามความตั้งใจของเธอแต่แรกก็ได้ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แอ้มคิด
ความรักดีและตั้งใจทำงาน ของเธอทำให้เธอเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานในแผนกทุกคน เธอผ่านทดลองงานด้วยลายเซนต์ของเถ้าแก่หน้าตาดุคนนั้นจนได้ ในวันนั้นแอ้มเห็นเถ้าแก่ร่างใหญ่ มีใบหน้าอวบแดงตลอดเวลา เขายิ้มน้อยๆ ให้เธอ ขณะเดินมาแจกซองอังเปาตรุษจีน
วันนั้นทุกคนมีความสุขนอกจากได้รับอังเปากันมากอย่างไม่เคยได้มาก่อน เถ้าแก่แจ้งว่ามีออเดอร์หลังปีใหม่เข้ามาอีกหลายหมื่นตัว ขอให้ทุกคนขยันตั้งใจทำงานกันให้มากขึ้น แอ้มไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าเถ้าแก่พูดไปก็หันมามองเธออยู่เป็นระยะ ๆ
วันเสาร์ที่โรงงานไฟตก เพราะหม้อแปลงไฟตัวหนึ่งที่หน้าโรงงานระเบิด เนื่องจากเถ้าแก่สั่งเครื่องจักรมาติดตั้งเพิ่มโดยไม่ได้มีการประมาณการใช้ไฟในช่วงทำโอทีไว้ด้วย วานนี้และวันนี้จึงมีพวกช่างไฟฟ้าเข้ามาเปลี่ยนสายไฟเมนกันครึ่งค่อนวัน เสียงเถ้าแก่เดินสั่งงานโล้งเล้ง หนุ่มสาวโรงงานต่างมานั่งรออยู่ด้านข้างโรงงานเพื่อรอไฟฟ้ามา ดูทุกคนขยันขันแข็งตามคำขอร้องที่พูดไทยได้ไม่ชัดของเถ้าแก่กันอย่างน่าพิศวง พักใหญ่ ๆ ข่าวดีคือเฟสไฟที่โรงงานมาแล้วช่างแก้ไขได้สำเร็จ แต่ที่ออฟฟิศส่วนสำนักงานนั้นมาเป็นบางจุด ส่วนบุคลคลชั้นสองและฝ่ายช่างชั้นล่างไฟเสียหาสาเหตุไม่พบ ทุกคนจึงกลับบ้านกันไม่มีใครทำโอทีเลยสักคน
แอ้มอดยิ้มในความขี้เหนียวของเถ้าแก่ไม่ได้ ตึกที่เก่าที่สุดคือตึกสำนักงานที่ถือว่าเป็นที่ตั้งทำการแรกของโรงงานแห่งนี้ ภายนอกถึงจะทาสีใหม่แต่เมื่อมองใกล้มันเหมือนคนแก่ที่แต่งหน้าแต่งตาจัดจ้าน อย่างไรเสียก็มองเห็นถึงความร่วงโรยและร่อยรอยของกาลเวลาที่สั่งสมอยู่ดี ยิ่งยามย็นจวนค่ำ แสงไฟนีออนที่ขาดหายไปของตัวตึก ทำให้ตึกนี้ดูราวตึกร้างในหนังฝรั่งขาวดำก็ไม่ปาน
ใกล้ทุ่ม ฟ้าก็มืดกลบดาวยามเย็นไปจนหมด ฝนหลงฤดูเริ่มบรรเลงพร้อมลม ข่าวพยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนเพียงแค่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่แต่ตอนนี้ ดูมันจะตกหนักขึ้นเพราะลมหอบฝนมาเป็นสองแรงสองเท่าเสียแล้ว ไหนว่าเป็นหน้าร้อน ฝนนี่ตกไม่ดูฤดูกาลเอาเสียเลย แอ้มคิด
เสียงฝนซัดกันสาดผ้าใบตรงหน้าต่างครัวดัง ปึ่บปั่บแอ้มยังคงนั่งทำงานอยู่เพียงลำพัง งบดุลที่ต้องส่งสิ้นเดือนนี้ทำเอาเธอเหนื่อยไม่น้อย แต่อย่างไรก็ดีนี่จะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้เธอยืนได้อย่างมั่นคง ณ โรงงานแห่งนี้ เธอละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้นไปเกาะกระจกหน้าต่างมองดูสายฝน จุดนำสายตาเป็นไฟสว่างจากโรงงานที่อยู่ห่างไปราวร้อยเมตร
เสียงเหมือนคนเดินดังอยู่ข้างนอกที่บันไดทางขึ้น ใครกันจะมายามนี้ แอ้มอุ่นใจที่เธอล๊อกประตูเอาไว้แล้ว นอกจากคนในแผนกก็ไม่มีใครมีกุญแจไขเข้ามาได้อีก นอกจากเถ้าแก่ อะไรทำให้เธอคิดไปแบบนั้น เสียงเดินเร็ว ๆ พร้อมกับเสียงพวงกุญแจห้อยเข็มขัดพวงใหญ่มีแต่เถ้าแก่คนเดียวเท่านั้น เธอเงี่ยหูฟัง ตั้งใจฟังเสียงกุญแจนั่น สาวรุ่นยืนมองฝนได้ไม่นาน เสียงหน้าต่างจากห้องครัวเล็กที่อยู่ติดกัน ฟาดเข้าวงกบเสียงดัง ปัง ปัง ลมที่ผ่านเข้ามาก็ดังน่ากลัวกว่าน่าชื่นใจ ลมพัดกระแทกบางอย่างดังอยู่ไม่ขาดเสียง เธอกังวลว่าฝนจะสาดเข้ามาทำความเสียหายในครัว ถ้าเธอไม่ไปปิด เกิดอะไรขึ้นเธอก็คงไม่พ้นความรับผิดชอบไปได้
แล้วไฟฟ้าที่แผนกบัญชีก็ดับ แสงจากที่ไกลออกไปเพียงน้อยนิด ทำให้ความหวาดกลัวของเธอเพิ่มขึ้นอย่างที่สุด ตอนนี้เธออยากได้ยินเสียงพวงกุญแจ แทนเสียงลมและฝนที่ยั่วเย้าประสาทเธอ เถ้าแก่ไปไหน แอ้มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ตึกหรือเปล่า แต่เธออยากให้อยู่ ไม่อยากอยู่ลำพังในคืนนี้ เธอกลัวความมืดเหลือเกิน อยากกลับบ้าน สมองเธอบอกแต่สิ่งนี้
แอ้มเปิดหน้าจอมือถือปิดปลักคอมพิวเตอร์ เดินไปปิดสวิทซ์ไฟให้ปิดทั้งที่มันมืดมิด เธอล็อกประตูห้องทำงาน จะก้าวเท้าลงบันได แต่เสียงจากครัวยังดังอยู่ เธอเดินตามเสียงไปที่นั่น เธอมองเห็นสายฟ้าวาบแสงจากหน้าต่างครัวที่เปิดออก ในสองวินาทีจากนั้นเสียงฟ้าก็ดังครืน เธอหดแขนที่ยื่นมือถือต่างไฟฉายเข้าปิดหน้าตัวเอง พื้นเปียกสะท้อนแสงน้อยๆเห็นช้อน จาน มีดปอกผลไม้หล่นอยู่ที่พื้น เสียงลมพัดดังเหมือนพัดผ่านผ้าม่าน
แอ้มเอื้อมหยิบมีดมาถือกระชับมือ
เอาเท้ากวาดช้อนซ่อมไปกองรวมกัน เพื่อเปิดทางก้าวช้า ๆ ไปปิดหน้าต่าง เธอทำสำเร็จ เธอเป่าลมหายใจออกปากผ่อนคลายความวิตกและหวาดกลัว ยามนี้เสียงในห้องเงียบลง ที่ผนังตรงหน้ามีแผ่นกระดาษขาวเขียนด้วยสีดำ สีแดง และถูกวงไว้ด้วยปากกาสีแดง แอ้มอ่านจบแล้วทรุดตัวลงกับพื้น แอ้มจำได้สนิทใจ เธอปล่อยมีดไปกองรวมกับช้อน ในปฏิทินที่เปียกชื้นหน้าที่ 4 วงกลมนั้นวงหมายเลข 13 14 15 16
"ตายแล้วไปไหน (ดี) โรงงานหยุดตั้งหลายวัน"