สำหรับใครที่อ่านกระทู้นี้จบแล้วอยากตามต่อ ฝาก "Ep.3 ชีวิตติด Train" ไว้ในลิ้งค์ข้างล่างนี้ด้วยค่ะ
ตามที่นี่เลย --> http://pantip.com/topic/34774570
ส่วนใครยังไม่ได้อ่าน Ep.1 Checklists & Ep.2 ห้องเชือด ตามอ่านได้ข้างล่างเลยค่ะ
กระทู้ที่สองที่เจ้าของกระทู้ขอฝากวันนี้ยังคงเกี่ยวกับเรื่องราวท่องเที่ยวเช่นเคย
แต่ครั้งนี้ขอพาทุกคนไปเที่ยวย้อนเวลากลับไปในความทรงจำเกือบสามปีที่ผ่านมา
ก่อนจะตัดสินใจถอดปีกว่าครั้งหนึ่งในเส้นทางชีวิตนั้นเคยเดินบนฟ้าสวมใส่ชุดเคบาย่า
สายการบินห้าดาว หนึ่งในอาชีพที่สาวไทยค่อนประเทศปักหมุดเทใจให้ว่าเป็นอาชีพในฝัน
ว่าแต่
แอร์ที่ว่าได้เที่ยวเยอะ งานสบาย ได้เที่ยวเยอะจริงไหมแล้วงานมันสบายจริงหรือเปล่า?
เดี๋ยวได้รู้กันแน่นอน…
** ป.ล. เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ที่เจ้าของกระทู้ตั้งใจนำมาแชร์เผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องๆหรือผู้ที่สนใจอาชีพลูกเรือ
ตีแผ่อีกมุมหนึ่งจากคนที่เคยอยู่ข้างในแบบละเอียดยิบ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นความเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่ตัวเองพบเจอล้วนๆ
ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามหรือองค์กรใดๆทั้งสิ้น หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ

**
ส่วนใครที่อยากไปเที่ยวจังหวัดเลยหรืออยากชมภาพเพิ่มเติมใน IG ขอฝากกระทู้เก่าของนักเขียนมือใหม่ด้วยนะคะ
ตามได้ที่นี่เลย -->
http://pantip.com/topic/34672374
Ep.1 - Checklists สำรวจตัวเอง
สายการบินประจำชาติสิงโตพ่นน้ำนี้มักจะเปิดรับสมัครเกือบทุกปีไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ
หรือ Walk-in ที่ประเทศเขาและด้วยพื้นฐานคนไทยที่มี Service Mind กับสถิติวัดจากที่
สายการบินเริ่มต้นคัดลูกเรือตั้งแต่เมื่อปี 2010 เป็นรุ่นแรกนั้นจวบจนถึงตอนนี้ก็มีสาวไทย
ทำงานติดปิกอยู่ที่สิงค์โปร์แล้วมากถึง 300-400 ชีวิตแถมแนวโน้มการรับพนักงานก็เป็นกราฟที่สูงขึ้นเรื่อยๆด้วยสิ
แต่ว่าหลังจากที่กรอกใบสมัคร ถ่ายรูปติดบัตร เขียน CV แนบส่งแล้ว แถมได้รับอีเมลล์ตอบกลับเรียกสัมภาษณ์
ชี้แจงสถานที่แล้ว ฝันที่เลือนลางก็เริ่มจะเป็นจริงแล้วสิว่าแต่ตายแล้ว…
แล้วขั้นตอนการเตรียมตัวการไปสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างไรละ
งั้นเรามาทำ Checklists กันดีกว่าว่าเราพร้อมจริงๆแล้วหรือยัง ?
1. ภาษา
2. Grooming และบุคลิกภาพ
“ภาษา”
เรียนกันมาตั้งแต่อนุบาลแต่ไหงภาษาเรากลับไม่กระเตื้องเลย พูดกันตรงๆว่าด้วยเรื่องของ Toeic ที่ต้องนำไปยื่น
ว่าจำเป็นไหมว่าต้องได้คะแนนสูง เช็คเลยค่ะ ทุกสายการบินนี้มีขั้นต่ำกำหนดไว้อยู่แล้วแต่เราว่ายิ่งได้สูงก็ยิ่งดี
แต่เดี๋ยวก่อน!! จริงๆแล้วเรารู้สึกว่าไม่มีความหมายเท่าไหร่เพราะว่าในวันสอบสัมภาษณ์จริงๆหากคุณผ่านรอบแนะนำตัวกลุ่ม
และจับคู่ทำกิจกรรมสั้นๆแล้ว เพื่อนๆน้องๆก็จะเจอกับห้อง
“English test” นั่นเอง
สามปีที่แล้วที่เราสอบมีให้เติม Preposition ในประโยคให้ถูกต้องจำนวน 10 ข้อในหน้าแรกถัดไปจะมี Passage ให้อ่านสามหน้า
พร้อมคำถามช้อยส์ให้เลือก 5 ข้อซึ่งคำถามโค-ตะ-ระ ยาวมากและที่สำคัญ
อย่าลืม!!! พลิกหน้าสุดท้าย ดูด้วยนะ
เพราะปีเรามีคนพลาดไม่ได้ทำเยอะเพราะมีให้ตอบ Short essay เอามาจากบทความข้างต้นนั่นเองและทั้งหมดนี้
อย่าคิดว่ามีเวลานั่งแช่ชิลๆทำ 3 ชั่วโมงเหมือนในมหาลัยเหรอ โอ้โนวว… 15 นาทีเท่านั้นค่ะ
เอ้า จับเวลา!
ความรู้สึกถ้าให้เทียบก็จะประมาณว่ากำลังลอกรายงานเพื่อนอยู่แล้วไฟลนก้นเพราะไม่ได้ทำมา
แถมอาจารย์ก็กำลังเรียกชื่อเก็บรายงานรายคนอะ ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ฟีลนั้นเลยยยย นั่งไม่ติด มือไม้สั่น เหมือนผีเข้า
ความเห็นเพิ่มเติมจากเราเรื่องภาษาอังกฤษก็คือเน้น Conversation ล้วนๆ สื่อสารให้รู้เรื่อง อย่าท่องเป็นนกแก้วไปมันไม่เป็นธรรมชาติ
ส่วนแกรมม่าไม่ต้องเป๊ะแค่ให้ไม่ขี้เหร่ก็พอ เพราะเราจะไปเป็นแอร์สายการบินนานาชาติ เราต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษา Universal
แต่เราไม่ได้จะไปแข่งโอลิมปิกอังกฤษเหรียญทองและผู้โดยสารก็ไม่ได้เป็นครูตรวจแกรมม่าให้สติ๊กเกอร์ดาวเรา จะไม่มีการโดนตี
ไม่ติด F อะไรทั้งนั้นมีแต่พูดไม่ได้เราก็สอบไม่ผ่าน เขาไม่จ้างเรา ภาพตัด ไม่ต้องคิดถึงจะไปเทรนเลยเพราะฉะนั้นใครรู้ตัวว่าอ่อนตรงไหน แก้ให้ถูกจุดนะจ๊ะ
“Grooming”
ดั่งสุภาษิตที่ว่าถ้าปล่อยตัวคงสวยชาติหน้าแต่ถ้าดูแลหน้าจะสวยชาตินี้ หากใครมีคนรู้จักที่เป็นแอร์ย่อมรู้ดีว่าสาวไทยเรา
ไม่แพ้ชาติใดในโลกเวลาตั้งใจทำอะไร เวลาไปสัมภาษณ์แอร์เนี่ยเป๊ะเวอร์ ผมแน่น หน้าปัง บางคนไม่เคยแต่งหน้าก็ไปจ้างช่างแต่งหน้า
บางคนไม่เคยใส่สูทถึงขนาดต้องไปเช่าสูทตัดสูทกันเลยทีเดียว คือเรียกได้ว่า passion แรงจริงๆแต่สังเกตดีๆว่าถ้าให้หันหลัง
แล้วส่วนสูงทุกคนเท่ากันหมดกรรมการอาจจะแยกไม่ออกเลยก็ว่าได้
ว่าแต่จริงๆแล้วมันจำเป็นต้องตามคนอื่นขนาดนั้นหรือเปล่า? บางทีบางอย่างมันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุหรือเปล่า?
ก่อนอื่นสิ่งแรกที่เราอยากให้ผู้หญิงสวมใส่ก่อนเดินออกจากบ้านคือ “ความมั่นใจและคิดบวก” เพราะความมั่นใจและการคิดบวก
จะทำให้เรารู้สึกสวยขึ้นจากภายในเปล่งแสงมาถึงภายนอก ดูได้จากติช่า The face เรารู้สึกว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้หญิงคิดบวก
คิดดีและไม่ให้ความตื่นเต้นหรือเสียงวิจารณ์ในแง่ลบมาบั่นทอนตัวเอง อ่ะๆแต่อย่าสับสนความมั่นใจกับ Overconfident นะ
ไม่งั้นเราจะกลายเป็นก้าวร้าวแบบฉบับนางร้ายในละครโดยทันที ท่องไว้เราจะไปเป็นนางฟ้าไม่ได้ไปตบลูกค้า ท่องไว้…
แล้วยังไงต่อละ?
นอกจากความมั่นใจแล้วเราต้องรู้ตัวเองว่าสายการบินที่เราจะไปสมัครส่วนใหญ่แล้วเขาชอบหน้าตาโซนไหน โทนไหน
ติ๊ต่างว่าสายการบินแขกก็จะชอบแนวคมๆ สายการบินสิงโตพ่นน้ำอาจจะชอบความเป็นธรรมชาติ ความอ่อนช้อยของผู้หญิง
ส่วนสายการบินเกาหลีหรือญี่ปุ่นอาจจะชอบสไตล์น่ารัก คือก่อนอื่นเราต้องทำการบ้านและลองดูว่าหน้าเราเหมาะไปโซนไหน
สมมติเราหมวยเลยแต่อยากไปตะวันออกกลาง เราจะแต่งหน้าแก้จุดด้อยให้เป็นจุดเด่นแต่ยังคงความเป็นเราโดยที่ไม่ดูเหมือนไปเล่นงิ้วอย่างไร
สุดท้ายแล้วก็กลับมาที่ Grooming แหละค่ะ
“ความมั่นใจ + คิดบวก + รู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง = ดูดี”
เพราะเราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วมันไม่มีกฎตายตัวหรอก ถ้าโดยรวมเราดูดีแค่ผมเราไม่ยุ่ง หน้าตา ผิวพรรณ ฟันสะอาด พูดจะฉะฉานน่าฟัง
มันก็สามารถดึงดูดคนที่คุยกับเราได้ไม่แพ้กัน ของแบบนี้มันฝึกปรับกันได้ค่ะ
ส่วนวันที่เราไปสัมภาษณ์นั้นเราเลือกที่จะแต่งหน้าไปเอง ผมเราเก็บรวบเป็นมวย เก็บลูกผมไปให้เรียบร้อย
ส่วนเสื้อผ้าเราเลือกใส่เสื้อเชิ้ตที่เรียบร้อยสีสดใสหน่อยคู่กับกระโปรงสอบตัวยาวและรองเท้าพิธีการของมหาลัยฯ
เรียกได้ว่าเอาของที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์หมดเลย ซึ่งเราเลือกแบบนี้เพราะเรามั่นใจกว่าให้เราไปใส่สูทที่ไม่คุ้นเลย
เราไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนเริ่มเซทเทรนด์ว่าต้องทำผมและแต่งตัวแบบปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะเพราะสำหรับคนไทยที่ไป walk-in
ในที่ต่างๆค่อนข้างจะได้รับคำชมจากกรรมการต่างชาติว่าเนี้ยบถ้าเทียบกับคนในประเทศเขาเอง แต่จุดประสงค์ที่เราต้องการจะสื่อคือ
เพื่อนๆน้องๆสามารถโดดเด่นได้บนความแตกต่างนั่นเอง จะใส่สูททำไมในเมื่อเราใส่ไปแล้วอึดอัด ขยับก็ยาก
จะตีโป่งทำไมในเมื่อบางคนมันคือการเพิ่มอายุให้ดูไม่สมวัยแถมบวกเพิ่มมาให้อีก 10 ปี หรือจะทำตามคนอื่นทำไมถ้าไม่เหมาะกับตัวเอง
ที่เขาว่าดีอาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคนเสมอไป เพราะฉะนั้นพอรู้วันนัดสัมภาษณ์แล้ว อยู่บ้าน เปิดกูเกิ้ล ถามเพื่อนที่แต่งตัว แต่งหน้าเก่ง
ลองให้หมดเลยว่าเราขาดตกบกพร่องอะไรแล้วควรแต่งเติมตรงไหนก่อนที่จะเสียเงินอะไรเพราะสื่อและคนใกล้ตัวที่ให้ความรู้เราได้ฟรีๆอยู่รอบตัวเรา
ถ้าทำ Checklists จนรู้ข้อเด่นข้อด้อยของตัวเองแล้วคิดว่าพร้อมแล้วจะรออะไรละ
ปัดแก้มนิด ทาปากน้อย สวม Positive attitude มองในกระจกแล้วบอกว่า "I'm gonna nail it" แล้วไปสัมภาษณ์กัน!!!
(เดี๋ยวมาต่อนะคะ....)


[CR] ติดปีก.. กว่าจะเป็นนางฟ้าเคบาย่า
ตามที่นี่เลย --> http://pantip.com/topic/34774570
ส่วนใครยังไม่ได้อ่าน Ep.1 Checklists & Ep.2 ห้องเชือด ตามอ่านได้ข้างล่างเลยค่ะ
แต่ครั้งนี้ขอพาทุกคนไปเที่ยวย้อนเวลากลับไปในความทรงจำเกือบสามปีที่ผ่านมา
ก่อนจะตัดสินใจถอดปีกว่าครั้งหนึ่งในเส้นทางชีวิตนั้นเคยเดินบนฟ้าสวมใส่ชุดเคบาย่า
สายการบินห้าดาว หนึ่งในอาชีพที่สาวไทยค่อนประเทศปักหมุดเทใจให้ว่าเป็นอาชีพในฝัน
ว่าแต่แอร์ที่ว่าได้เที่ยวเยอะ งานสบาย ได้เที่ยวเยอะจริงไหมแล้วงานมันสบายจริงหรือเปล่า?
เดี๋ยวได้รู้กันแน่นอน…
** ป.ล. เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ที่เจ้าของกระทู้ตั้งใจนำมาแชร์เผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องๆหรือผู้ที่สนใจอาชีพลูกเรือ
ตีแผ่อีกมุมหนึ่งจากคนที่เคยอยู่ข้างในแบบละเอียดยิบ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นความเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่ตัวเองพบเจอล้วนๆ
ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามหรือองค์กรใดๆทั้งสิ้น หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
ส่วนใครที่อยากไปเที่ยวจังหวัดเลยหรืออยากชมภาพเพิ่มเติมใน IG ขอฝากกระทู้เก่าของนักเขียนมือใหม่ด้วยนะคะ
ตามได้ที่นี่เลย --> http://pantip.com/topic/34672374
Ep.1 - Checklists สำรวจตัวเอง
หรือ Walk-in ที่ประเทศเขาและด้วยพื้นฐานคนไทยที่มี Service Mind กับสถิติวัดจากที่
สายการบินเริ่มต้นคัดลูกเรือตั้งแต่เมื่อปี 2010 เป็นรุ่นแรกนั้นจวบจนถึงตอนนี้ก็มีสาวไทย
ทำงานติดปิกอยู่ที่สิงค์โปร์แล้วมากถึง 300-400 ชีวิตแถมแนวโน้มการรับพนักงานก็เป็นกราฟที่สูงขึ้นเรื่อยๆด้วยสิ
แต่ว่าหลังจากที่กรอกใบสมัคร ถ่ายรูปติดบัตร เขียน CV แนบส่งแล้ว แถมได้รับอีเมลล์ตอบกลับเรียกสัมภาษณ์
ชี้แจงสถานที่แล้ว ฝันที่เลือนลางก็เริ่มจะเป็นจริงแล้วสิว่าแต่ตายแล้ว…
แล้วขั้นตอนการเตรียมตัวการไปสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างไรละ
งั้นเรามาทำ Checklists กันดีกว่าว่าเราพร้อมจริงๆแล้วหรือยัง ?
2. Grooming และบุคลิกภาพ
“ภาษา”
เรียนกันมาตั้งแต่อนุบาลแต่ไหงภาษาเรากลับไม่กระเตื้องเลย พูดกันตรงๆว่าด้วยเรื่องของ Toeic ที่ต้องนำไปยื่น
ว่าจำเป็นไหมว่าต้องได้คะแนนสูง เช็คเลยค่ะ ทุกสายการบินนี้มีขั้นต่ำกำหนดไว้อยู่แล้วแต่เราว่ายิ่งได้สูงก็ยิ่งดี
แต่เดี๋ยวก่อน!! จริงๆแล้วเรารู้สึกว่าไม่มีความหมายเท่าไหร่เพราะว่าในวันสอบสัมภาษณ์จริงๆหากคุณผ่านรอบแนะนำตัวกลุ่ม
และจับคู่ทำกิจกรรมสั้นๆแล้ว เพื่อนๆน้องๆก็จะเจอกับห้อง “English test” นั่นเอง
สามปีที่แล้วที่เราสอบมีให้เติม Preposition ในประโยคให้ถูกต้องจำนวน 10 ข้อในหน้าแรกถัดไปจะมี Passage ให้อ่านสามหน้า
พร้อมคำถามช้อยส์ให้เลือก 5 ข้อซึ่งคำถามโค-ตะ-ระ ยาวมากและที่สำคัญ อย่าลืม!!! พลิกหน้าสุดท้าย ดูด้วยนะ
เพราะปีเรามีคนพลาดไม่ได้ทำเยอะเพราะมีให้ตอบ Short essay เอามาจากบทความข้างต้นนั่นเองและทั้งหมดนี้
อย่าคิดว่ามีเวลานั่งแช่ชิลๆทำ 3 ชั่วโมงเหมือนในมหาลัยเหรอ โอ้โนวว… 15 นาทีเท่านั้นค่ะ เอ้า จับเวลา!
ความรู้สึกถ้าให้เทียบก็จะประมาณว่ากำลังลอกรายงานเพื่อนอยู่แล้วไฟลนก้นเพราะไม่ได้ทำมา
แถมอาจารย์ก็กำลังเรียกชื่อเก็บรายงานรายคนอะ ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ฟีลนั้นเลยยยย นั่งไม่ติด มือไม้สั่น เหมือนผีเข้า
ความเห็นเพิ่มเติมจากเราเรื่องภาษาอังกฤษก็คือเน้น Conversation ล้วนๆ สื่อสารให้รู้เรื่อง อย่าท่องเป็นนกแก้วไปมันไม่เป็นธรรมชาติ
ส่วนแกรมม่าไม่ต้องเป๊ะแค่ให้ไม่ขี้เหร่ก็พอ เพราะเราจะไปเป็นแอร์สายการบินนานาชาติ เราต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษา Universal
แต่เราไม่ได้จะไปแข่งโอลิมปิกอังกฤษเหรียญทองและผู้โดยสารก็ไม่ได้เป็นครูตรวจแกรมม่าให้สติ๊กเกอร์ดาวเรา จะไม่มีการโดนตี
ไม่ติด F อะไรทั้งนั้นมีแต่พูดไม่ได้เราก็สอบไม่ผ่าน เขาไม่จ้างเรา ภาพตัด ไม่ต้องคิดถึงจะไปเทรนเลยเพราะฉะนั้นใครรู้ตัวว่าอ่อนตรงไหน แก้ให้ถูกจุดนะจ๊ะ
“Grooming”
ดั่งสุภาษิตที่ว่าถ้าปล่อยตัวคงสวยชาติหน้าแต่ถ้าดูแลหน้าจะสวยชาตินี้ หากใครมีคนรู้จักที่เป็นแอร์ย่อมรู้ดีว่าสาวไทยเรา
ไม่แพ้ชาติใดในโลกเวลาตั้งใจทำอะไร เวลาไปสัมภาษณ์แอร์เนี่ยเป๊ะเวอร์ ผมแน่น หน้าปัง บางคนไม่เคยแต่งหน้าก็ไปจ้างช่างแต่งหน้า
บางคนไม่เคยใส่สูทถึงขนาดต้องไปเช่าสูทตัดสูทกันเลยทีเดียว คือเรียกได้ว่า passion แรงจริงๆแต่สังเกตดีๆว่าถ้าให้หันหลัง
แล้วส่วนสูงทุกคนเท่ากันหมดกรรมการอาจจะแยกไม่ออกเลยก็ว่าได้
ว่าแต่จริงๆแล้วมันจำเป็นต้องตามคนอื่นขนาดนั้นหรือเปล่า? บางทีบางอย่างมันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุหรือเปล่า?
ก่อนอื่นสิ่งแรกที่เราอยากให้ผู้หญิงสวมใส่ก่อนเดินออกจากบ้านคือ “ความมั่นใจและคิดบวก” เพราะความมั่นใจและการคิดบวก
จะทำให้เรารู้สึกสวยขึ้นจากภายในเปล่งแสงมาถึงภายนอก ดูได้จากติช่า The face เรารู้สึกว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้หญิงคิดบวก
คิดดีและไม่ให้ความตื่นเต้นหรือเสียงวิจารณ์ในแง่ลบมาบั่นทอนตัวเอง อ่ะๆแต่อย่าสับสนความมั่นใจกับ Overconfident นะ
ไม่งั้นเราจะกลายเป็นก้าวร้าวแบบฉบับนางร้ายในละครโดยทันที ท่องไว้เราจะไปเป็นนางฟ้าไม่ได้ไปตบลูกค้า ท่องไว้…
แล้วยังไงต่อละ?
นอกจากความมั่นใจแล้วเราต้องรู้ตัวเองว่าสายการบินที่เราจะไปสมัครส่วนใหญ่แล้วเขาชอบหน้าตาโซนไหน โทนไหน
ติ๊ต่างว่าสายการบินแขกก็จะชอบแนวคมๆ สายการบินสิงโตพ่นน้ำอาจจะชอบความเป็นธรรมชาติ ความอ่อนช้อยของผู้หญิง
ส่วนสายการบินเกาหลีหรือญี่ปุ่นอาจจะชอบสไตล์น่ารัก คือก่อนอื่นเราต้องทำการบ้านและลองดูว่าหน้าเราเหมาะไปโซนไหน
สมมติเราหมวยเลยแต่อยากไปตะวันออกกลาง เราจะแต่งหน้าแก้จุดด้อยให้เป็นจุดเด่นแต่ยังคงความเป็นเราโดยที่ไม่ดูเหมือนไปเล่นงิ้วอย่างไร
สุดท้ายแล้วก็กลับมาที่ Grooming แหละค่ะ “ความมั่นใจ + คิดบวก + รู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง = ดูดี”
เพราะเราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วมันไม่มีกฎตายตัวหรอก ถ้าโดยรวมเราดูดีแค่ผมเราไม่ยุ่ง หน้าตา ผิวพรรณ ฟันสะอาด พูดจะฉะฉานน่าฟัง
มันก็สามารถดึงดูดคนที่คุยกับเราได้ไม่แพ้กัน ของแบบนี้มันฝึกปรับกันได้ค่ะ
ส่วนวันที่เราไปสัมภาษณ์นั้นเราเลือกที่จะแต่งหน้าไปเอง ผมเราเก็บรวบเป็นมวย เก็บลูกผมไปให้เรียบร้อย
ส่วนเสื้อผ้าเราเลือกใส่เสื้อเชิ้ตที่เรียบร้อยสีสดใสหน่อยคู่กับกระโปรงสอบตัวยาวและรองเท้าพิธีการของมหาลัยฯ
เรียกได้ว่าเอาของที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์หมดเลย ซึ่งเราเลือกแบบนี้เพราะเรามั่นใจกว่าให้เราไปใส่สูทที่ไม่คุ้นเลย
เราไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนเริ่มเซทเทรนด์ว่าต้องทำผมและแต่งตัวแบบปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะเพราะสำหรับคนไทยที่ไป walk-in
ในที่ต่างๆค่อนข้างจะได้รับคำชมจากกรรมการต่างชาติว่าเนี้ยบถ้าเทียบกับคนในประเทศเขาเอง แต่จุดประสงค์ที่เราต้องการจะสื่อคือ
เพื่อนๆน้องๆสามารถโดดเด่นได้บนความแตกต่างนั่นเอง จะใส่สูททำไมในเมื่อเราใส่ไปแล้วอึดอัด ขยับก็ยาก
จะตีโป่งทำไมในเมื่อบางคนมันคือการเพิ่มอายุให้ดูไม่สมวัยแถมบวกเพิ่มมาให้อีก 10 ปี หรือจะทำตามคนอื่นทำไมถ้าไม่เหมาะกับตัวเอง
ที่เขาว่าดีอาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคนเสมอไป เพราะฉะนั้นพอรู้วันนัดสัมภาษณ์แล้ว อยู่บ้าน เปิดกูเกิ้ล ถามเพื่อนที่แต่งตัว แต่งหน้าเก่ง
ลองให้หมดเลยว่าเราขาดตกบกพร่องอะไรแล้วควรแต่งเติมตรงไหนก่อนที่จะเสียเงินอะไรเพราะสื่อและคนใกล้ตัวที่ให้ความรู้เราได้ฟรีๆอยู่รอบตัวเรา
ถ้าทำ Checklists จนรู้ข้อเด่นข้อด้อยของตัวเองแล้วคิดว่าพร้อมแล้วจะรออะไรละ
ปัดแก้มนิด ทาปากน้อย สวม Positive attitude มองในกระจกแล้วบอกว่า "I'm gonna nail it" แล้วไปสัมภาษณ์กัน!!!
(เดี๋ยวมาต่อนะคะ....)
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น