จุดเริ่มต้นที่นาโกย่า ประตูสู่ ‘ภูมิภาคชูบุ’
ใกล้เข้าฤดูหนาวในไทยอย่างเดือนพฤศจิกายน ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายหนึ่งที่เราวางแพลนไว้ว่าจะเดินทางไปอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ต้นปี เมืองในใจหลายเมืองผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกให้ได้ตัดสินใจแวะไปสัมผัสอย่างมากมาย ซึ่ง นาโกย่า (Nagoya) เมืองหลวงของจังหวัดไอชิ (Aichi) ส่วนหนึ่งของภูมิภาคชูบุ (Chubu) เป็นหนึ่งเมืองที่เราตัดสินใจปักหมุดแวะไปเยี่ยมชม ที่นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว ที่ตั้งของเมืองยังอยู่ตรงกลางของญี่ปุ่น จึงทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น ตัวเมืองอยู่ห่างจากโตเกียวไปประมาณสองชั่วโมงด้วยการเดินทางโดยรถไฟชินคันเซน
‘โฮสเทลเวิลด์’ ทางเลือกสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์
โดยขั้นแรกของการเตรียมตัวเดินทางที่นอกเหนือจากสำรวจเส้นทางรถไฟและเช็คสภาพอากาศแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องการหาที่พัก ซึ่งเว็บที่ผ่านเข้ามาในความคิดแรกๆนั้นก็คงหนีไม่พ้นเว็บจองที่พักอย่างเว็บบุ๊คกิ้ง (Booking.com) และอโกด้า (Agoda.com) และด้วยความที่การไปเที่ยวครั้งนี้ทางเราต้องการลองอะไรใหม่ๆ เช่นการไปพักในแบบเกสเฮาส์หรือโฮสเทลเล็กๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เว็บโฮสเทลเวิลด์ (hostelworld.com) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่นำมาใช้ในการค้นหา โดยที่พักส่วนใหญ่จะเหมาะสำหรับสไตล์นักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์ ที่สามารถแยกห้องหรือนอนรวมกับผู้อื่นได้โดยไม่มีปัญหาในเรื่องการใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่น โดยมีข้อดีที่นอกเหนือจากเรื่องราคาที่ประหยัดแล้ว การได้พูดคุยรู้จักเพื่อนใหม่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
แรกรักแค่เพียงภาพถ่าย
หลังจากลองค้นหาที่พักในแบบที่ต้องการแล้ว GUESTHOUSE MADO เป็นหนึ่งในที่พักที่ถูกใจตั้งแต่เห็นโลโก้เลยก็ว่าได้ ด้วยสไตล์การออกแบบเป็นไปในแนวโมเดิร์นที่เรียบง่ายแต่น่าจดจำ ความหมายขอ MADO คือ หน้าต่างซึ่งโลโก้ก็ตอบโจทย์ทางด้านกลาฟฟิคได้อย่างลงตัว รูปแนะนำในหน้าของการจองโรงแรมบ่งบอกถึงลักษณะบ้านทรงโบราณของญี่ปุ่นที่ผสมผสานความร่วมสมัยไว้ได้อย่างลงตัว พอลองกดเข้าไปดูว่าหน้าตาสถานที่พักเป็นอย่างไร ก็บอกได้เลยว่าทางเราค่อนข้างชอบในความเป็นอยู่ที่ดูเรียบง่ายตามภาพที่ทางเกสเฮ้าส์โพสท์ไว้ในเว็บไซต์ จากนั้นจึงแวะเข้าไปกดไลค์เพจเฟซบุ๊คตามที่อยู่ที่ได้ให้ไว้ โดยสิ่งที่จะเห็นแตกต่างจากรูปที่ใช้โฆษณาในเว็บไซต์นั้น จะมีภาพของคนที่อยู่อาศัยในบริเวรใกล้เคียงและบรรยากาศรอบๆที่พัก ซึ่งเป็นย่านเก่าของนาโกย่า ที่วิถีชีวิตค่อนข้างดั้งเดิมและเนิบช้าให้ความรู้สึกไม่เร่งรีบวุ่นวาย คล้ายจะเป็นพื้นที่เพื่อหยุดพักให้หายเหนื่อยอย่างแท้จริง
แต่การตัดสินใจเลือกครั้งนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก เพราะการไปพักในสถานที่ที่ต้องนอนรวมกับคนอื่นและใช้สิ่งของหลายอย่างร่วมกัน เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความเกรงใจ และการปฏิบัติต่อผู้ร่วมอาศัย จะคุยเสียงดัง เดินไปเดินมา หรือเปิดไฟฟังเพลงเมื่อยังนอนไม่หลับ ก็คงจะไม่ดีสำหรับคนที่อาศัยร่วมกัน การตัดสินใจจึงเป็นไปในแบบจะลองหรือไม่ลองดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าที่นี่แหละ ที่คงต้องมาลองสักครั้ง เมื่อบวกกับความรู้สึกลึกๆที่อยากจะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกทั้งราคาที่พักก็ตกคืนละประมาณหนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยบาท ซึ่งไม่ได้เกินงบที่ตั้งไว้ เกสต์เฮ้าส์แห่งนี้จึงเป็นที่พักที่เราตัดสินใจบุ๊คกิ้งในทันที เพราะนอกจากจะถูกใจเรื่องรูปลักษณ์แล้ว ในเรื่องของราคาก็สบายกระเป๋าอีกต่างหาก
ทั้งเดินทั้งวิ่ง เพื่อ ‘Check in’
วันที่เดินทางมาถึง กว่าจะได้เข้าที่พักก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว ด้วยเพราะท่องเที่ยวจนติดลมในตัวเมืองนาโกย่า เลยเผลอลืมช่วงเวลาที่เขาเปิดให้เช็คอินคือ 16.00-21.00 pm ด้วยความกังวลว่าจะไปสายกว่าเวลาที่กำหนด เลยตัดสินใจอินบ็อคเข้าไปสอบถามทางเฟซบุ๊คและส่งข้อความไปว่ากำลังอยู่ในตัวเมืองนาโกย่าแต่ยังติดธุระอยู่ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาหากไปไม่ทันเวลา เนื่องจากเกสเฮ้าส์ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง สื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษอยู่ไม่นาน คำตอบที่ได้จากทางเกสเฮ้าส์ก็คือ เราควรไปถึงในเวลาเช็คอินเท่านั้น และแนะนำว่าควรขึ้นรถไฟมา เพราะจากตัวเมืองนาโกย่าจะใช้เวลานั่งรถไฟมาสถานีที่ใกล้ที่พักที่สุดประมาณ 20 นาที และเดินเท้าต่อมายังที่เกสเฮ้าส์อีกประมาณ 10 นาที
แม้จะไม่ได้ใกล้ตัวเมืองอย่างที่จินตนาการไว้แต่แรก อีกทั้งสองข้างทางก็เป็นย่านเก่าอย่างแท้จริง จึงทำให้บรรยากาศตอนกลางคืนแทบจะไม่เห็นแสงสีหรือความตระการตาอะไรมากมาย มีก็แต่วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และแบบบ้านทรงโบราณที่ปลูกเรียงรายเพียงเท่านั้น แต่การมาตามแผนที่ที่โหลดมาค่อนข้างเข้าใจง่าย เราเลยไปถึงที่พักได้เร็ว แต่ก็ต้องทั้งเดินทั้งวิ่งมาด้วยความเหนื่อยด้วยความกลัวที่จะมาไม่ทัน เพราะอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าคนญี่ปุ่นตรงต่อเวลามากเพียงใด และโชคดี!ที่เราไปถึงในช่วงเวลาที่ยังสามารถเช็คอินได้ แม้ว่านาฬิกาจะบอกเวลาว่าอีกห้านาทีจะสามทุ่มก็ตาม
‘MADO’ แม้ไม่ถูกจริต แต่ถูกใจ
แค่เพียงเปิดประตูบ้านไม้ทรงโบราณสีน้ำตาลที่เราเห็นด้วยความรู้สึกถูกใจเข้ามาแล้ว เราก็พบคุณลุงกับคุณป้าคู่หนึ่งรอต้อนรับที่เคาท์เตอร์ด้วยรอยยิ้ม การเช็คอินผ่านไปอย่างง่ายดายด้วยความน่ารักและเป็นกันเองที่เราสัมผัสได้ ก่อนถูกเชิญไปนั่งพักยังโต๊ะกลางสไตล์ญี่ปุ่นด้านหน้า ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถมาใช้นั่งเล่นกันได้ด้วยรอยยิ้ม กาน้ำและถ้วยน้ำชาถูกนำมาวางไว้ให้เราได้บริการตัวเอง นั่งรอไม่นานนักคุณลุงเจ้าของเกสเฮ้าส์ก็เข้ามานั่งและยื่นเอกสารรายละเอียดทั้งหมดของการเข้าพักให้ได้ทำความเข้าใจก่อนว่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยหากมีข้อสงสัยก็สามารถซักถามได้ทันที เพราะทั้งคุณลุงคุณป้าสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวได้อย่างดีเยี่ยม ตามด้วยการยื่นกระดาษที่มีรหัสไวไฟและรหัสเข้าออกของประตูหลักมาให้ด้วยเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของแขกที่เข้าพักและทรัพย์สิน หลังจากเวลาห้าทุ่มเป็นต้นไปประตูหลักที่ใช้เข้าออกจะถูกล็อค โดยหากใครต้องการออกไปข้างนอกก็ต้องใช้รหัสตัวนี้ในการปลดล็อคประตูเข้ามา

หลังจากนั่งพักเหนื่อยและฟังข้อปฏิบัติในการเข้าพักเรียบร้อยแล้ว คุณลุงเจ้าของเกสเฮ้าส์ได้พาเราเดินทัวร์รอบบ้าน พร้อมอธิบายในแต่ละส่วนว่ามีอะไรบ้าง โดยที่นี่แบ่งออกเป็นสามส่วนหลักตามที่ได้เดินสำรวจ คือ ส่วนของห้องนอน เป็นห้องนอนรวม ถูกจัดแบ่งไว้ทั้งชั้นบนและชั้นล่างของตัวบ้าน โดยที่นอนมีเพียงฟูกฟูตองที่ปูเรียบพร้อมด้วยเครื่องนอนของลูกค้าแต่ละท่านเท่านั้น และเมื่อถามถึงห้องสุขา ด้วยกลัวว่าจะอยู่ด้านนอก คุณลุงก็รีบเดินนำไปทันที พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า ส่วนของห้องสุขายังคงอยู่ในตัวบ้าน โดยด้านหน้าประกอบไปด้วยอ่างล้างมือและอ่างล่างหน้าส่วนรวม แต่ส่วนที่ต้องเดินออกไปด้านนอกนั้นเห็นจะเป็น ส่วนของห้องอาบน้ำ ที่ถูกขยายออกไปไว้ด้านนอกตัวบ้าน เพื่อความสะดวกและไม่แออัดในการจัดสรรพื้นที่มากเกินไป โดยห้องอาบน้ำมีเพียงสองห้องเท่านั้นคือ สำหรับผู้ชายหนึ่งห้อง และผู้หญิงหนึ่งห้อง ซึ่งอาจจะมีขนาดเล็กและทำให้รู้สึกอึดอัดไปบ้างสำหรับคนที่ไม่เคยใช้ห้องน้ำแบบส่วนรวมมาก่อน
เราเดินดูรอบๆบ้านอีกสักพักคล้ายจะออกแบบการใช้ชีวิตในวันรุ่งขึ้นถึงสิ่งที่ต้องทำและเวลาในการปฏิบัติภารกิจส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามคุณลุงขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ด้วยเพราะคืนนี้เราได้พักผ่อนบริเวณห้องนอนรวมชั้นบน จึงจัดการลากกระเป๋าและสัมภาระเดินตามไกด์ประจำบ้านขึ้นบันไดไม้ที่มีขนาดค่อนข้างแคบขึ้นไปยังห้องนอน แอบนึกหวั่นๆในใจว่าหากเดินไม่ดีคงได้มีการพลัดตกลงมาได้ ทางเราถึงได้พยายามเดินอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและทรัพย์สินในเกสเฮ้าส์



ทันทีที่ขึ้นไปถึงตัวบ้านชั้นบน เราก็พบกับห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณตามที่คิดไว้ ทั้งประตูบานเลื่อนและฉากกั้นล้วนแต่ให้ความรู้สึกในการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง แม้จะมาผิดหวังอยู่เล็กน้อยกับการแบ่งสัดส่วนห้องนอนที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับที่คิดไว้ เตียงนอนสองชั้นหนึ่งเตียงและฟูกนอนแบบเดี่ยวๆอีกสามอัน ถูกจัดวางอยู่ใกล้ๆกัน โดยมีฉากไม้เล็กกั้นบริเวณหัวนอนเพื่อความเป็นสัดส่วนของลูกค้าที่มาพักเท่านั้น แต่ความสูงของฉากก็ดูเตี้ยจนเกินไป เพราะหากเรานั่ง ก็จะสามารถมองเห็นคนที่นอนอยู่ฟูกข้างๆได้ชัดเจน แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการนอนพักคืนนี้เท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับบรรยากาศและวิวโดยรอบที่ได้มาพักผ่อน กระเป๋าสัมภาระถูกเคลื่อนย้ายมาจัดวางตามตำแหน่งที่นอนของแต่ละคน โดยเรื่องที่ต้องระมัดระวังขึ้นมาอีกหน่อยก็คงเป็นเรื่องเสียง เพราะนอกจากจะต้องทำอะไรให้เบามือแล้ว เนื่องจากที่พักของเราอยู่ชั้นบนของบ้าน เวลาเดินคงต้องเดินให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่อยู่ชั้นล่าง บวกกับโครงสร้างของบ้านเป็นบ้านไม้สมัยโบราณ ถ้าจะให้ดีคงต้องเปลี่ยนจากเดินมาเป็นย่องเสียมากกว่า


การพูดคุยสนทนาเป็นไปเรื่อยๆระหว่างแขกที่เพิ่งเข้าพักอย่างเราและไกด์ประจำเกสต์เฮ้าส์ เพราะเขาต้องการที่จะชี้แจงถึงกฎระเบียบในการเข้าพักให้เราเข้าใจมากที่สุด สองเรื่องสำคัญที่ถูกเน้นมากที่สุดเห็นคงจะเป็นเรื่อง ปิดไฟตอน 5 ทุ่ม โดยทางเกสต์เฮ้าส์จะปิดไฟทั้งหมดในเวลาที่บอก หากว่าเราจะเดินไปเข้าห้องน้ำหรือทำธุระอะไรก็ขอให้ใช้ความระมัดระวังอย่าไปรบกวนคนอื่น และ ห้ามสูบบุหรี่หรือจุดไฟแช็ค โดยเด็ดขาด ด้วยเพราะบริเวณที่พักเป็นบ้านไม้เก่า อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ง่าย
“บ้านหลังนี้อายุประมาณร้อยปีแล้ว เมื่อก่อนเป็นบ้านไม้เก่าธรรมดา แต่เจ้าของเขาตกแต่งด้านในใหม่ทั้งหมดเพื่อเปิดเป็นเกสเฮ้าส์ แต่ของทุกอย่างที่นี่เป็นของเก่า ทั้งเสาบ้านและไม้ที่ใช้สร้างก็ด้วย”
[CR] [รีวิวที่พัก] 'Your window to Japan' อบอุ่น เรียบง่าย สไตล์ MADO
ใกล้เข้าฤดูหนาวในไทยอย่างเดือนพฤศจิกายน ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายหนึ่งที่เราวางแพลนไว้ว่าจะเดินทางไปอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ต้นปี เมืองในใจหลายเมืองผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกให้ได้ตัดสินใจแวะไปสัมผัสอย่างมากมาย ซึ่ง นาโกย่า (Nagoya) เมืองหลวงของจังหวัดไอชิ (Aichi) ส่วนหนึ่งของภูมิภาคชูบุ (Chubu) เป็นหนึ่งเมืองที่เราตัดสินใจปักหมุดแวะไปเยี่ยมชม ที่นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว ที่ตั้งของเมืองยังอยู่ตรงกลางของญี่ปุ่น จึงทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น ตัวเมืองอยู่ห่างจากโตเกียวไปประมาณสองชั่วโมงด้วยการเดินทางโดยรถไฟชินคันเซน
‘โฮสเทลเวิลด์’ ทางเลือกสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์
โดยขั้นแรกของการเตรียมตัวเดินทางที่นอกเหนือจากสำรวจเส้นทางรถไฟและเช็คสภาพอากาศแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องการหาที่พัก ซึ่งเว็บที่ผ่านเข้ามาในความคิดแรกๆนั้นก็คงหนีไม่พ้นเว็บจองที่พักอย่างเว็บบุ๊คกิ้ง (Booking.com) และอโกด้า (Agoda.com) และด้วยความที่การไปเที่ยวครั้งนี้ทางเราต้องการลองอะไรใหม่ๆ เช่นการไปพักในแบบเกสเฮาส์หรือโฮสเทลเล็กๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เว็บโฮสเทลเวิลด์ (hostelworld.com) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่นำมาใช้ในการค้นหา โดยที่พักส่วนใหญ่จะเหมาะสำหรับสไตล์นักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์ ที่สามารถแยกห้องหรือนอนรวมกับผู้อื่นได้โดยไม่มีปัญหาในเรื่องการใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่น โดยมีข้อดีที่นอกเหนือจากเรื่องราคาที่ประหยัดแล้ว การได้พูดคุยรู้จักเพื่อนใหม่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
แรกรักแค่เพียงภาพถ่าย
หลังจากลองค้นหาที่พักในแบบที่ต้องการแล้ว GUESTHOUSE MADO เป็นหนึ่งในที่พักที่ถูกใจตั้งแต่เห็นโลโก้เลยก็ว่าได้ ด้วยสไตล์การออกแบบเป็นไปในแนวโมเดิร์นที่เรียบง่ายแต่น่าจดจำ ความหมายขอ MADO คือ หน้าต่างซึ่งโลโก้ก็ตอบโจทย์ทางด้านกลาฟฟิคได้อย่างลงตัว รูปแนะนำในหน้าของการจองโรงแรมบ่งบอกถึงลักษณะบ้านทรงโบราณของญี่ปุ่นที่ผสมผสานความร่วมสมัยไว้ได้อย่างลงตัว พอลองกดเข้าไปดูว่าหน้าตาสถานที่พักเป็นอย่างไร ก็บอกได้เลยว่าทางเราค่อนข้างชอบในความเป็นอยู่ที่ดูเรียบง่ายตามภาพที่ทางเกสเฮ้าส์โพสท์ไว้ในเว็บไซต์ จากนั้นจึงแวะเข้าไปกดไลค์เพจเฟซบุ๊คตามที่อยู่ที่ได้ให้ไว้ โดยสิ่งที่จะเห็นแตกต่างจากรูปที่ใช้โฆษณาในเว็บไซต์นั้น จะมีภาพของคนที่อยู่อาศัยในบริเวรใกล้เคียงและบรรยากาศรอบๆที่พัก ซึ่งเป็นย่านเก่าของนาโกย่า ที่วิถีชีวิตค่อนข้างดั้งเดิมและเนิบช้าให้ความรู้สึกไม่เร่งรีบวุ่นวาย คล้ายจะเป็นพื้นที่เพื่อหยุดพักให้หายเหนื่อยอย่างแท้จริง
แต่การตัดสินใจเลือกครั้งนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก เพราะการไปพักในสถานที่ที่ต้องนอนรวมกับคนอื่นและใช้สิ่งของหลายอย่างร่วมกัน เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความเกรงใจ และการปฏิบัติต่อผู้ร่วมอาศัย จะคุยเสียงดัง เดินไปเดินมา หรือเปิดไฟฟังเพลงเมื่อยังนอนไม่หลับ ก็คงจะไม่ดีสำหรับคนที่อาศัยร่วมกัน การตัดสินใจจึงเป็นไปในแบบจะลองหรือไม่ลองดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าที่นี่แหละ ที่คงต้องมาลองสักครั้ง เมื่อบวกกับความรู้สึกลึกๆที่อยากจะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกทั้งราคาที่พักก็ตกคืนละประมาณหนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยบาท ซึ่งไม่ได้เกินงบที่ตั้งไว้ เกสต์เฮ้าส์แห่งนี้จึงเป็นที่พักที่เราตัดสินใจบุ๊คกิ้งในทันที เพราะนอกจากจะถูกใจเรื่องรูปลักษณ์แล้ว ในเรื่องของราคาก็สบายกระเป๋าอีกต่างหาก
ทั้งเดินทั้งวิ่ง เพื่อ ‘Check in’
วันที่เดินทางมาถึง กว่าจะได้เข้าที่พักก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว ด้วยเพราะท่องเที่ยวจนติดลมในตัวเมืองนาโกย่า เลยเผลอลืมช่วงเวลาที่เขาเปิดให้เช็คอินคือ 16.00-21.00 pm ด้วยความกังวลว่าจะไปสายกว่าเวลาที่กำหนด เลยตัดสินใจอินบ็อคเข้าไปสอบถามทางเฟซบุ๊คและส่งข้อความไปว่ากำลังอยู่ในตัวเมืองนาโกย่าแต่ยังติดธุระอยู่ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาหากไปไม่ทันเวลา เนื่องจากเกสเฮ้าส์ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง สื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษอยู่ไม่นาน คำตอบที่ได้จากทางเกสเฮ้าส์ก็คือ เราควรไปถึงในเวลาเช็คอินเท่านั้น และแนะนำว่าควรขึ้นรถไฟมา เพราะจากตัวเมืองนาโกย่าจะใช้เวลานั่งรถไฟมาสถานีที่ใกล้ที่พักที่สุดประมาณ 20 นาที และเดินเท้าต่อมายังที่เกสเฮ้าส์อีกประมาณ 10 นาที
แม้จะไม่ได้ใกล้ตัวเมืองอย่างที่จินตนาการไว้แต่แรก อีกทั้งสองข้างทางก็เป็นย่านเก่าอย่างแท้จริง จึงทำให้บรรยากาศตอนกลางคืนแทบจะไม่เห็นแสงสีหรือความตระการตาอะไรมากมาย มีก็แต่วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และแบบบ้านทรงโบราณที่ปลูกเรียงรายเพียงเท่านั้น แต่การมาตามแผนที่ที่โหลดมาค่อนข้างเข้าใจง่าย เราเลยไปถึงที่พักได้เร็ว แต่ก็ต้องทั้งเดินทั้งวิ่งมาด้วยความเหนื่อยด้วยความกลัวที่จะมาไม่ทัน เพราะอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าคนญี่ปุ่นตรงต่อเวลามากเพียงใด และโชคดี!ที่เราไปถึงในช่วงเวลาที่ยังสามารถเช็คอินได้ แม้ว่านาฬิกาจะบอกเวลาว่าอีกห้านาทีจะสามทุ่มก็ตาม
‘MADO’ แม้ไม่ถูกจริต แต่ถูกใจ
แค่เพียงเปิดประตูบ้านไม้ทรงโบราณสีน้ำตาลที่เราเห็นด้วยความรู้สึกถูกใจเข้ามาแล้ว เราก็พบคุณลุงกับคุณป้าคู่หนึ่งรอต้อนรับที่เคาท์เตอร์ด้วยรอยยิ้ม การเช็คอินผ่านไปอย่างง่ายดายด้วยความน่ารักและเป็นกันเองที่เราสัมผัสได้ ก่อนถูกเชิญไปนั่งพักยังโต๊ะกลางสไตล์ญี่ปุ่นด้านหน้า ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถมาใช้นั่งเล่นกันได้ด้วยรอยยิ้ม กาน้ำและถ้วยน้ำชาถูกนำมาวางไว้ให้เราได้บริการตัวเอง นั่งรอไม่นานนักคุณลุงเจ้าของเกสเฮ้าส์ก็เข้ามานั่งและยื่นเอกสารรายละเอียดทั้งหมดของการเข้าพักให้ได้ทำความเข้าใจก่อนว่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยหากมีข้อสงสัยก็สามารถซักถามได้ทันที เพราะทั้งคุณลุงคุณป้าสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวได้อย่างดีเยี่ยม ตามด้วยการยื่นกระดาษที่มีรหัสไวไฟและรหัสเข้าออกของประตูหลักมาให้ด้วยเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของแขกที่เข้าพักและทรัพย์สิน หลังจากเวลาห้าทุ่มเป็นต้นไปประตูหลักที่ใช้เข้าออกจะถูกล็อค โดยหากใครต้องการออกไปข้างนอกก็ต้องใช้รหัสตัวนี้ในการปลดล็อคประตูเข้ามา
หลังจากนั่งพักเหนื่อยและฟังข้อปฏิบัติในการเข้าพักเรียบร้อยแล้ว คุณลุงเจ้าของเกสเฮ้าส์ได้พาเราเดินทัวร์รอบบ้าน พร้อมอธิบายในแต่ละส่วนว่ามีอะไรบ้าง โดยที่นี่แบ่งออกเป็นสามส่วนหลักตามที่ได้เดินสำรวจ คือ ส่วนของห้องนอน เป็นห้องนอนรวม ถูกจัดแบ่งไว้ทั้งชั้นบนและชั้นล่างของตัวบ้าน โดยที่นอนมีเพียงฟูกฟูตองที่ปูเรียบพร้อมด้วยเครื่องนอนของลูกค้าแต่ละท่านเท่านั้น และเมื่อถามถึงห้องสุขา ด้วยกลัวว่าจะอยู่ด้านนอก คุณลุงก็รีบเดินนำไปทันที พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า ส่วนของห้องสุขายังคงอยู่ในตัวบ้าน โดยด้านหน้าประกอบไปด้วยอ่างล้างมือและอ่างล่างหน้าส่วนรวม แต่ส่วนที่ต้องเดินออกไปด้านนอกนั้นเห็นจะเป็น ส่วนของห้องอาบน้ำ ที่ถูกขยายออกไปไว้ด้านนอกตัวบ้าน เพื่อความสะดวกและไม่แออัดในการจัดสรรพื้นที่มากเกินไป โดยห้องอาบน้ำมีเพียงสองห้องเท่านั้นคือ สำหรับผู้ชายหนึ่งห้อง และผู้หญิงหนึ่งห้อง ซึ่งอาจจะมีขนาดเล็กและทำให้รู้สึกอึดอัดไปบ้างสำหรับคนที่ไม่เคยใช้ห้องน้ำแบบส่วนรวมมาก่อน
เราเดินดูรอบๆบ้านอีกสักพักคล้ายจะออกแบบการใช้ชีวิตในวันรุ่งขึ้นถึงสิ่งที่ต้องทำและเวลาในการปฏิบัติภารกิจส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามคุณลุงขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ด้วยเพราะคืนนี้เราได้พักผ่อนบริเวณห้องนอนรวมชั้นบน จึงจัดการลากกระเป๋าและสัมภาระเดินตามไกด์ประจำบ้านขึ้นบันไดไม้ที่มีขนาดค่อนข้างแคบขึ้นไปยังห้องนอน แอบนึกหวั่นๆในใจว่าหากเดินไม่ดีคงได้มีการพลัดตกลงมาได้ ทางเราถึงได้พยายามเดินอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและทรัพย์สินในเกสเฮ้าส์
ทันทีที่ขึ้นไปถึงตัวบ้านชั้นบน เราก็พบกับห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณตามที่คิดไว้ ทั้งประตูบานเลื่อนและฉากกั้นล้วนแต่ให้ความรู้สึกในการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง แม้จะมาผิดหวังอยู่เล็กน้อยกับการแบ่งสัดส่วนห้องนอนที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับที่คิดไว้ เตียงนอนสองชั้นหนึ่งเตียงและฟูกนอนแบบเดี่ยวๆอีกสามอัน ถูกจัดวางอยู่ใกล้ๆกัน โดยมีฉากไม้เล็กกั้นบริเวณหัวนอนเพื่อความเป็นสัดส่วนของลูกค้าที่มาพักเท่านั้น แต่ความสูงของฉากก็ดูเตี้ยจนเกินไป เพราะหากเรานั่ง ก็จะสามารถมองเห็นคนที่นอนอยู่ฟูกข้างๆได้ชัดเจน แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการนอนพักคืนนี้เท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับบรรยากาศและวิวโดยรอบที่ได้มาพักผ่อน กระเป๋าสัมภาระถูกเคลื่อนย้ายมาจัดวางตามตำแหน่งที่นอนของแต่ละคน โดยเรื่องที่ต้องระมัดระวังขึ้นมาอีกหน่อยก็คงเป็นเรื่องเสียง เพราะนอกจากจะต้องทำอะไรให้เบามือแล้ว เนื่องจากที่พักของเราอยู่ชั้นบนของบ้าน เวลาเดินคงต้องเดินให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่อยู่ชั้นล่าง บวกกับโครงสร้างของบ้านเป็นบ้านไม้สมัยโบราณ ถ้าจะให้ดีคงต้องเปลี่ยนจากเดินมาเป็นย่องเสียมากกว่า
การพูดคุยสนทนาเป็นไปเรื่อยๆระหว่างแขกที่เพิ่งเข้าพักอย่างเราและไกด์ประจำเกสต์เฮ้าส์ เพราะเขาต้องการที่จะชี้แจงถึงกฎระเบียบในการเข้าพักให้เราเข้าใจมากที่สุด สองเรื่องสำคัญที่ถูกเน้นมากที่สุดเห็นคงจะเป็นเรื่อง ปิดไฟตอน 5 ทุ่ม โดยทางเกสต์เฮ้าส์จะปิดไฟทั้งหมดในเวลาที่บอก หากว่าเราจะเดินไปเข้าห้องน้ำหรือทำธุระอะไรก็ขอให้ใช้ความระมัดระวังอย่าไปรบกวนคนอื่น และ ห้ามสูบบุหรี่หรือจุดไฟแช็ค โดยเด็ดขาด ด้วยเพราะบริเวณที่พักเป็นบ้านไม้เก่า อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ง่าย
“บ้านหลังนี้อายุประมาณร้อยปีแล้ว เมื่อก่อนเป็นบ้านไม้เก่าธรรมดา แต่เจ้าของเขาตกแต่งด้านในใหม่ทั้งหมดเพื่อเปิดเป็นเกสเฮ้าส์ แต่ของทุกอย่างที่นี่เป็นของเก่า ทั้งเสาบ้านและไม้ที่ใช้สร้างก็ด้วย”