"อุปัชฌา โย เม ภันเต อายัสมา ฐิตธัมโม นามะ"
เมื่อปลายปี 2538 (23 พ.ย. 2538) ผมได้มีโอกาสบวชเป็นภิกษุที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี โดยมีหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธัมโม) เป็นพระอุปัชฌาย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยผมบวชกับโครงการบวชถวายในหลวงในวโรกาสที่พระองค์ครองศิริราชสมบัติครบ 50 ปีจัดโดยม.รามคำแหง ซึ่งสมัยนั้น หลวงพ่อท่านนำสอนกรรมฐานเองทุกวัน แต่เนื่องจากมีภิกษุในโครงการนี้หลายสิบรูป เลยได้ปฏิบัติกรรมฐานกันที่หอประชุมภาวนา กรศรีทิพา ซึ่งถ้าช่วงไหนที่หลวงพ่อไม่ลงมาก็จะมี พระครูสังฆรักษ์ (ชูชัย อริโย) ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ลงมาสอนแทน โดยมีพระพี่เลี้ยงหลายรูปที่คอยดูแล ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ พระอาจารย์หลวงพี่คธาวุฒิ ยโสธโร (ปัจจุบันคือพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติธรรมสวนเวฬุวันจังหวัดขอนแก่น)
วันที่ผมลาสิกขา หลวงพ่อบอกว่า พวกเธอปฏิบัติได้แล้วก็ไม่ต้องมาที่วัดอัมพวันนี้อีกแล้วก็ได้ แต่อย่าหลงลืมกรรมฐานที่ให้ไป ให้ปฏิบัติทุกวัน มีอะไรติดขัดค่อยติดต่อมา (หลังจากที่ผมลาสิกขา ผมก็ไปที่วัดอีก 2 ครั้งเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย แต่หลวงพ่ออยู่ในใจของผมเสมอครับ)
(มีเรื่องเล่านิดหน่อยในเรื่องความกรุณาของหลวงพ่อในช่วงที่ผมบวชและในวันที่ผมลาสิกขาครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รูปถ่ายของหลวงพ่อขณะนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ซึ่งรูปชุดนี้มีทั้งหมด 6 ภาพ ถ่ายโดยพี่ธนิต สุวรรณเมนะ http://www.nititanit.com/ ติวเตอร์กฎหมายชื่อดังที่บวชพร้อมกัน (พี่เขาบวชก่อนผม) หลังจากถ่ายรูปนี้แล้ว พี่ธนิตไปอัดรูปนี้ที่ร้านในตัวจังหวัดสิงห์บุรีทั้งหมด 6 ภาพ จากนั้นพี่เขาเอารูปไปนิมนต์ให้หลวงพ่ออธิษฐานจิตพร้อมเซ็นใต้ภาพให้ด้วย แล้วพี่ธนิตก็ให้รูปนี้กับผมมา 1 ภาพ ผมเลยเอารูปหลวงพ่อไปใส่กรอบรูปวิทยาศาสตร์ แล้วอัญเชิญขึ้นหิ้งพระตั้งแต่หลังจากลาสิกขาจนถึงปัจจุบันครับ
รูปของหลวงพ่อขณะนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วันที่ผมสึก พระอาจารย์หลวงพี่คธาวุฒิ ยโสธโร ซึ่งท่านเป็นพระพี่เลี้ยงของผมได้แจ้งให้ทราบว่าเครื่องอัฐบริขารของพระที่สึกแล้วจะนำไปให้พระสงฆ์รูปอื่นในถิ่นทุรกันดารได้ใช้ประโยชน์ แต่ถ้าใครจะนำกลับก็สามารถนำกลับไปได้ ผมเลยคิดว่าจะบริจาคทั้งหมด แต่จะขอเก็บไว้เพียงผ้ากราบและรัดประคตเอาไว้เป็นสิริมงคล
หลังจากที่สึกเรียบร้อยแล้ว ผมได้ไปที่กุฏิหลวงพ่อซึ่งท่านได้ให้ญาติโยมเข้ามาสนทนาธรรม ผมคอยจนญาติโยมกลับไปเกือบหมดแล้วผมก็คลานเข้าไปกราบท่าน บอกท่านว่าผมขออนุญาตเก็บผ้ากราบและรัดประคตเอาไว้เป็นสิริมงคลและอยากนิมนต์ท่านช่วยอธิษฐานจิตรัดประคตให้ผมด้วยเพราะผมตั้งใจจะเอาไว้ใช้แทนตะกรุด ท่านบอกว่าให้คอยเดี๋ยว จากนั้นท่านได้ถือรัดประคตของผมเดินขึ้นกุฏิ ผมก็นั่งคอยข้างล่างกุฏิราวๆสิบนาทีท่านก็ลงมาพร้อมยื่นม้วนรัดประคตกลับคืนมาให้ พร้อมบอกว่าอย่าลืมกรรมฐานและปฏิบัติให้มาก ผมก็ก้มลงกราบลาท่านแล้วท่านก็กลับขึ้นกุฏิ
ผมเอารัดประคตมาเปิดดูด้านในจึงพบว่าท่านได้ใช้ปากกาสีเมจิกเขียนอักขระบนรัดประคตให้ด้วย(อักขระลบเลือนไปตามภาพ) ผมดีใจน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจในความกรุณาของท่านและถือว่ารัดประคตนี้ท่านทำให้เฉพาะตัว สำหรับผมแล้วรัดประคตเส้นนี้ประเมินราคาไม่ได้ครับ
รูปรัดประคต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากที่ผมกลับมาเป็นฆราวาส ผมก็ยังปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของหลวงพ่อตลอด แต่บางครั้งก็มีติดขัดบ้าง ซึ่งก็ทำให้การปฏิบัติไม่ค่อยรุดหน้าเท่าที่ควร รวมทั้งบางครั้งก็มีเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ทำให้ยุ่งยากใจ ผมเลยคิดว่าเขียนจดหมายไปเรียนปรึกษากับหลวงพ่อผู้เป็นอุปัชฌาย์ดีกว่า น่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด
จึงเป็นที่มาของจดหมาย 4 ฉบับนี้ (เรียงตามวันที่ของจดหมาย) ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจกรรมฐานตามแนวทางหลวงพ่อ ได้พิจารณาและพึงปฏิบัติตามโยนิโสมนสิการด้วยตัวท่านเอง และเป็นจุดมุ่งหมายของการตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติบูชาต่อหลวงพ่อ
ถ้าเนื้อความในจดหมายหลวงพ่อทำให้ท่านผู้อ่านเกิดความชัดเจนแจ่มแจ้งในแนวทางปฏิบัตินี้ ผมก็ขออุทิศบุญกุศลให้หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ด้วยครับ
"นิพพานัง ปัจจะโย โหตุ"
(ไฟล์จดหมายค่อนข้างจะใหญ่ ขอใส่ไว้ในสปอยล์นะครับ)
จดหมายฉบับที่ 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉบับที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉบับที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉบับที่ 4 (ฉบับสุดท้าย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จดหมายจากหลวงพ่อจรัญถึงอดีตสัทธิวิหาริก
เมื่อปลายปี 2538 (23 พ.ย. 2538) ผมได้มีโอกาสบวชเป็นภิกษุที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี โดยมีหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธัมโม) เป็นพระอุปัชฌาย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยผมบวชกับโครงการบวชถวายในหลวงในวโรกาสที่พระองค์ครองศิริราชสมบัติครบ 50 ปีจัดโดยม.รามคำแหง ซึ่งสมัยนั้น หลวงพ่อท่านนำสอนกรรมฐานเองทุกวัน แต่เนื่องจากมีภิกษุในโครงการนี้หลายสิบรูป เลยได้ปฏิบัติกรรมฐานกันที่หอประชุมภาวนา กรศรีทิพา ซึ่งถ้าช่วงไหนที่หลวงพ่อไม่ลงมาก็จะมี พระครูสังฆรักษ์ (ชูชัย อริโย) ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ลงมาสอนแทน โดยมีพระพี่เลี้ยงหลายรูปที่คอยดูแล ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ พระอาจารย์หลวงพี่คธาวุฒิ ยโสธโร (ปัจจุบันคือพระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติธรรมสวนเวฬุวันจังหวัดขอนแก่น)
วันที่ผมลาสิกขา หลวงพ่อบอกว่า พวกเธอปฏิบัติได้แล้วก็ไม่ต้องมาที่วัดอัมพวันนี้อีกแล้วก็ได้ แต่อย่าหลงลืมกรรมฐานที่ให้ไป ให้ปฏิบัติทุกวัน มีอะไรติดขัดค่อยติดต่อมา (หลังจากที่ผมลาสิกขา ผมก็ไปที่วัดอีก 2 ครั้งเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย แต่หลวงพ่ออยู่ในใจของผมเสมอครับ)
(มีเรื่องเล่านิดหน่อยในเรื่องความกรุณาของหลวงพ่อในช่วงที่ผมบวชและในวันที่ผมลาสิกขาครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รูปของหลวงพ่อขณะนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รูปรัดประคต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากที่ผมกลับมาเป็นฆราวาส ผมก็ยังปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของหลวงพ่อตลอด แต่บางครั้งก็มีติดขัดบ้าง ซึ่งก็ทำให้การปฏิบัติไม่ค่อยรุดหน้าเท่าที่ควร รวมทั้งบางครั้งก็มีเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ทำให้ยุ่งยากใจ ผมเลยคิดว่าเขียนจดหมายไปเรียนปรึกษากับหลวงพ่อผู้เป็นอุปัชฌาย์ดีกว่า น่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด
จึงเป็นที่มาของจดหมาย 4 ฉบับนี้ (เรียงตามวันที่ของจดหมาย) ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจกรรมฐานตามแนวทางหลวงพ่อ ได้พิจารณาและพึงปฏิบัติตามโยนิโสมนสิการด้วยตัวท่านเอง และเป็นจุดมุ่งหมายของการตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติบูชาต่อหลวงพ่อ
ถ้าเนื้อความในจดหมายหลวงพ่อทำให้ท่านผู้อ่านเกิดความชัดเจนแจ่มแจ้งในแนวทางปฏิบัตินี้ ผมก็ขออุทิศบุญกุศลให้หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ด้วยครับ
"นิพพานัง ปัจจะโย โหตุ"
(ไฟล์จดหมายค่อนข้างจะใหญ่ ขอใส่ไว้ในสปอยล์นะครับ)
จดหมายฉบับที่ 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉบับที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉบับที่ 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉบับที่ 4 (ฉบับสุดท้าย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้