[CR] น่าน...

“การถ่ายภาพ Landscape ธรรมชาติ ถือหุ้น 90%” ทริปนี้เจอเข้าไปเต็มๆครับ
ทริปนี้เกิดขึ้นช่วงปลายเดือน  ม.ค. 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตก และอุณหภูมิลดลงเฉียบพลันพอดี...ฟ้าปิด ฝนเท
เป็นฝันร้ายของคนถ่ายภาพ แต่...ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ สำหรับคนที่ชื่นชอบการขับรถชมวิวครับ

ออกเดินทาง: วันนี้ฟ้าใสที่ กทม. ไปถึงดอนเมืองเวลา 7.00 น. เที่ยวบินของนกแอร์เวลา 8.45น.
(มาก่อนเวลาไม่ต้องโทรแจ้งใคร หรือคิดจะวิ่งไปขึ้นไปขึ้นเครื่องตามเวลา) หลังจากโหลดกระเป๋าก็หาอะไรเบาๆ
รองท้องรอเวลาครับ เครื่องออกตามเวลา ถึงสนามบินน่านเกือบๆ 11 โมง ฟ้าใสเช่นกัน แวะขอแผนที่ท่องเที่ยวเมืองน่าน
จากเจ้าหน้าที่ในสนามบินมาติดมือไว้บ้าง น่าเสียดายในแผนที่จะเน้นที่ตัวเมืองเป็นหลัก ไม่มีแสดงพื้นที่ อ. อื่นๆเลย
รถที่ติดต่อเช่าไว้ มารอรับแล้วครับ เดิมเราจอง City ไว้ แต่เนื่องจากคนเช่าส่งรถไม่ทัน เลยเปลี่ยนเป็น Vios มาแทน ป้ายยังแดงอยู่เลยครับ
ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากครับ ที่ได้รถสภาพสมบูรณ์สำหรับทริปนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เริ่มออกเดินทางครับ ตามแพลน คืนนี้ เราจะไปนอนที่ ปัว ครับ ก่อนเดินทางแวะไหว้พระในตัวเมืองน่านก่อนซะหน่อยก่อน
เริ่มจาก วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ครับ ในคู่มือท่องเที่ยวบอกว่า พระพุทธรูปในโบสถ์จะมีพระพักตร์ไม่เหมือนเดิม เมื่อเราเดินผ่านแต่ละเสาโบสถ์
เข้ามาเรื่อยๆ

จากนั้นจึงเดินข้ามฝั่งมาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านครับ ช่วงนี้กำลังปิดปรับปรุงอยู่ เลยสามารถเข้าชมได้แค่ด้านล่าง
ไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชม แต่เราสามารถบริจาคได้นะครับ เป็นต้นทุนการดูแล ที่นี่วัตถุมงคลสำคัญคือ งาช้างดำครับ
(ห้ามใช้แฟสชในการถ่ายภาพนะครับ)


นอกจากนี้ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ ยังมีวัดที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ วัดน้อย อยู่ด้วย และยังมีแนวต้นลีลาวดีสวยๆ ไว้ถ่ายภาพอีก
แต่เนื่องจากแสงไม่สวย และคนเยอะ เลยไม่ได้ portrait สวยๆที่นี่เลย มีคนพยายามปีนต้นไม้เพื่อถ่ายรูปด้วย
ไม่รู้ว่าเค้าจะได้ภาพสวยๆมั้ย แต่ที่แน่ๆคือ จิตใจของเค้าอัปลักษณ์มากครับ...

เนื่องจากอากาศค่อนข้างร้อน และนักท่องเที่ยวมากมาย ทำให้ถ่ายรูปไม่สนุกสนาน เลยปรับแผนว่าจะเที่ยวในตัวเมืองอีกครั้งในช่วงเช้าก่อนบินกลับ
แต่วันกลับฝนตกตลอดทำให้แผนที่วางไว้ พลาดหมดครับ ทั้งวัดภูมินทร์ ถ่ายแสงเย็นวัดพระธาตุเขาน้อย ไม่เป็นไร ไว้จะมาแก้มือ...
ก่อนเดินทางไป ปัว แวะหามื้อกลางวันครับ ตามรอยรีวิว ข้าวซอยต้นน้ำครับ จะอยู่ใกล้ๆวัดภูมินทร์ ชามละ 30 บาท ส่วนตัวไม่ผ่าน ครับ
รสชาติไม่เข้มข้น น้ำใสมาก ทานพออิ่ม แล้วเดินทางสู่ปัวครับ  

เราเลือกใช้เส้น 1080 ผ่าน ท่าวังผาสู่ปัว ออกจากตัวเมืองน่าน มีการทำถนน เป็นระยะๆ แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางมากนัก ขับสบายๆ ใช้เวลาประมาท ชม. นิดๆ ก็ถึงจุดหมายแรกที่ปัว คือ วัดปรางค์ครับ (ขับรถตาม Google map และป้ายบอกทางครับ สะดวกทีเดียว)


ที่นี่จะมีต้นดิกเดียม ที่ว่ากันว่า พอเราเอามือลูบ หรือเกา ลำต้นจะสั่นระริก ครับ ลูบอย่างเดียวพอนะครับ ไม่ต้องถู ไม่ต้องลงแป้ง
อันนั้นคนละจุดประสงค์กัน

จากนั้นไปต่อกันที่ วัดภูเก็ตครับ


ที่นี่มีวิวระดับเทพ แต่ต้องมาช่วงที่เค้าทำนากันนะครับ เราเลือกมาช่วงนี้ วิวเลยไม่ได้อลังการนัก ไม่เขียว

ไหว้พระเรียบร้อย อิ่มอก อิ่มใจ แล้ว ไปหาที่อิ่มท้องกันดีกว่าครับ มุ่งหน้าสู่ ฟาร์มเห็ดต้นน้ำ ลิ้มลอง พิซซ่าเห็ดกัน
มาที่นี่ สั่งข้าวไข่เจียวเห็ด พิซซ่าเห็ด กาแฟเย็น ชาเย็น และน้ำเปล่า ราคารวมประมาณ 280 บาทครับ ส่วนรสชาติไม่ได้โดดเด่น
แต่บรรยากาศดีครับ
ที่นี่หนักไปทางถ่าย Portrait เล่นครับ เลยไม่มีรูปจะลงในรีวิวนี้ (รีวิว น่าน นี่นะ ไม่ได้รีวิวหนังหน้า อย่างที่เค้าชอบว่าๆ กัน)
จากที่นี้ สามารถเดินไป วังศิลาแลงได้ครับ ประมาณ 400 เมตร หรือจะขับรถไปจอดที่ฝาย ก็ได้ครับ แต่ทางจะเป็นแบบทางเกวียน
นะครับ วิว 2 ข้างทาง เหมาะแก่การถ่าย Portrait แสงสีอุ่นๆมาก แต่เราก็ไม่ได้แวะกันมากนัก กลัวจะเย็นเกินไป
จึงขับรถไปจอดที่ฝายเดินเข้าขึ้นเขาหน่อยเดียว ก็จะเจอจุดที่ลงข้างล่างได้รับ ต้องไต่ลงไป มีเชือกให้เกาะอยู่


ได้ภาพมานิดหน่อย มีเวลาน้อย ไต่ขึ้นไปข้างบน คนรักกล้องทั้งหลาย จัดเก็บอุปกรณ์กันดีๆนะครับ ระวังของรักท่านร่วงลงน้ำ
ไม่งั้นได้นั่งเป็นกอลลั่มร้องหา “ของรักของข้า” กันแน่ๆ

เดินกลับมาทีฝาย ได้แสงเย็น เหมาะมากกับการถ่าย Portrait จัดไปอีกชุด...เสร็จแล้วเดินทางย้อนกลับมาที่พัก คืนนี้ เรานอนกันที่ ป่าปัวภูคา ครับ
เป็นห้องใต้หลังคา บรรยากาศที่พักโดยรอบ ดีเลยครับ หน้าตาภายนอก เหมือนบ้านในยุโรป เสียดาย ด้านหน้าสายไฟ เสาไฟระโยงระยางเกะกะมาก
ถ่ายภาพไม่สวย ห้องพักถือว่าโอเคในระดับราคา 1000 บาทครับ แต่ห้องน้ำเป็นแบบห้องน้ำสำเร็จรูปเหมือนในญี่ปุ่น เลยแปลกๆไปหน่อย
เก็บของเสร็จ ออกมาทานมื้อเย็นที่ครัวลินดาครับ คนที่นี่แนะนำกัน จะอยู่เยื้องๆ กับโรงพยาบาล ครับ
มื้อนี้มี ข้าวเปล่า น้ำ ผัดเผ็ดหมูป่า ต้มยำไก่บ้าน ปลาทับทิมทอดยำมะม่วง ราคาประมาณ 500 นิดๆครับ รสชาติ เฉยๆครับ
กลับที่พัก พักผ่อน
วันที่สอง: ตั้งใจตื่นมาถ่ายแสงเช้า เพราะที่พักหันหน้าไปทางทิศตะวันออกพอดี แต่ mission fail ครับ เพราะวันนี้ฟ้าปิด
แล้วฝันร้ายของคนถ่ายภาพก็เริ่มขึ้น (ธรรมชาติถือหุ้น 90 %) T^T

ที่พักมีข้าวตัม ขนมปัง ไข่ลวก และกาแฟบริการครับ หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเสร็จแล้ว ก็เดินข้ามถนนมาที่ ร้านกาแฟไทลื้อ ครับ
ที่นี่เราใช้เวลานั่งชิวๆ เป็นชั่วโมง เนื่องจากสภาพแสงไม่อำนวย เลยไม่ค่อยได้ลั่นชัตเตอร์สักเท่าไหร่ นั่งสบายๆดื่มด่ำบรรยากาศไปเรื่อยๆดีกว่า


ตามที่กรมอุตุแจ้งไว้ครับ ว่าอากาศจะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นเฉียบพลัน ที่นี่ ยิ่งนั่ง ยิ่งใกล้เที่ยง อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆครับ
นั่งจนเกือบเที่ยงจึงเดินกลับไปเก็บกระเป๋า เช็คเอาท์ออกมา ช็อปปิ้งผ้าขาวม้า นั่งกินก๋วยเตี๋ยวเล็กน้อย แล้วเดินทางขึ้นอุทยานแห่งชาติดอยภูคาครับ

เส้นทางไม่ได้ลำบากอะไรครับ ไปสบายๆ แต่ฝนเริ่มลง หมอกเริ่มมา แล้วฝนก็หนักขึ้น โชคดีที่เรามาถึงอุทยานพอดี เปิดประตูปุ๊บ ถึงกับ สบถ
มันหนาวมาก มันไม่ใช่แค่ ลำปางหนาวมาก แต่น่านก็หนาวมากๆเว้ย...
จองห้องพักไว้ เป็นบ้านภูคา ที่พักสบายๆ ในราคา 800 ครับ เจ้าหน้าที่ไม่แนะนำให้เราออกไปไหนต่อในวันนี้ เพราะฝนตก สลับกับหมอกจัด
และให้สั่งอาหารไว้ นัดเวลา 5 โมงเย็น ไม่งั้นอดกิน วันนั้นครัวปิด 6 โมง ดีที่ไฟไม่ดับ ระหว่างรอเวลามื้อเย็น ฝนตกเป็นระยะ หมอกหนามาก
อยู่แต่ห้องก็เบื่อ ออกมาถ่ายรูปในบริเวณอุทยานกันดีกว่า


ที่จุดบ้านพัก มีพญาเสือโคร่งอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ร่วงโรยไปหมดแล้ว อาจจะเพราะลมที่แรง ฝนที่ตก เดินถ่ายรูปไป หลบฝนไป
หมอกหนา แล้วก็จากไป ใช้เวลาเดินเล่น สัมผัส อากาศหนาว ไปเรื่อยๆ


หลังจากฝนหยุดสนิทแล้ว ลองขับรถขึ้นไปจุดชมวิว
ที่นี่ลมแรงมาก มากจนไม่สามารถถ่ายรูปได้ เพราะมือต้องซุกกระเป๋าตลอดเวลา เย็นจนมือชา แถมกล้องเป็นเลนส์แมนนวลหมด
เลยเดินรับอากาศหนาวได้พักเดียว แล้วรีบกลับลงมาที่ที่พัก เพราะกลัวฟ้ามืด หมอกจัด แล้วจะอันตรายเกินไป
กลับมาถึงได้เวลามื้อเย็นพอดี ผัดผักรวม ต้มยำไก่บ้าน ไข่เจียวภูคา น้ำพริกอ่อง มื้อนี้ 530 บาท รสชาติอาหารถือว่า ผ่าน
แต่เสียดายต้มยำเย็นมาก เลยไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเท่าไหร่นัก
ขากลับที่พัก ต้องขับรถเข้าไป เริ่มมืดแล้ว หมอกจัดมาก วิสัยทัศน์ ไม่เกิน 10 เมตร อันตรายมากจริงๆ ถึงที่พัก อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ
มีฝนมาเป็นระยะ ทำได้แค่ซุกตัวใต้ผ้าห่ม
วันที่สาม: ตื่นมาตอนเช้าได้ยินเสียงฝน เลยไม่รีบไม่ร้อน เช้านี้ต้องพึ่งมาม่าที่ตุนไว้ก่อนขึ้นดอยมาครับ  กว่าจะขยับตัวออกจากที่พักได้
ก็ 10 โมงกว่า ซึ่งหมอกก็ยังหนามากๆ ค่อยๆมุ่งหน้าไปจุดชมวิวอีกครั้ง คราวนี้ได้ยืนชมทะเลหมอก เดินถ่ายรูป สักนิดหน่อย เพราะไม่สามารถเอามือออกมาจากกระเป๋าได้นานนัก แป๊ปเดียวมือช้า ถุงมือก็หมด หาซื้อไม่ได้อีก ต้องทนๆกันไป


นั่งจิบกาแฟสดร้อนๆ ที่นั่น กาแฟอาราบิก้าที่นี่รสชาติดีทีเดียวครับ กาแฟร้อนถ้วยละ 40 บาท จากนั้นแวะไหว้พระ กับเจ้าหลวงภูคา
ตรงจุดชมชมพูภูคา  แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่บ่อเกลือด้วยเส้นทางหมายเลข 1256 ครับ ตลอดทางมีหมอกลงมาก น้อย สลับกันไป
ต้องเอามือซุกผ้าให้อบอุ่นอยู่เรื่อยๆ
และแล้วก็ถึงปลายทางที่ บ่อเกลือวิวรีสอร์ท เราพักทานอาหารที่นี้ครับ มื้อนี้มี น้ำพริกอ่อง ไก่ทอดมะแขว่น เต้าหู้ทอดทรงเครื่อง
ฟักทองอบเนย รสชาติโดยรวม ผ่านครับ โดยเฉพาะไก่ทอดมะแขว่น กับฟักทองอบเลย ชอบเป็นพิเศษ มื้อนี้ 656 บาท
เช็คอุณหภูมิ 6-7 C หนาวมาก วิวสวยมากเช่นกัน สำหรับที่นี่ วิวจากร้านอาหาร สวยทีเดียว แต่ฟ้าปิด ไม่รู้จะถ่ายยังไงให้สวย T^T


จากนั้นเรามุ่งหน้า ไปสู่ อ. สันติสุข เพื่อวนกลับเข้าสู่ ปัว อีกครั้ง เส็นทางนี้จัดเป็นสวรรค์ของคนที่ชื่นชอบการขับรถชมวิวเป็นอย่างมาก
วิว 2 ข้างทางเป็นทิวเขา มีสายหมอก บางช่วง เป็นถนนบนสันเขา ซ้ายก็เหว ขวาก็เหว เส้นทางคดเคี้ยว และขึ้น ลง เขาตลอดเวลา
โชคดีที่สภาพยาง เกียร์ และเบรกของรถสมบูรณ์ จึงสามารถควบคุมรถได้อย่างใจ ใช้เกียร์เป็นหลัก มากกว่าใช้เบรก เพื่อป้องกันเบรกไหม้
เป็นเส้นทางที่สวยงามมากจริงๆ

ชื่อสินค้า:   น่าน...เมือง-ปัว-บ่อเกลือ-สันติสุข
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่