(บทความ..นายพระรอง) ต้านชิน..กู้ชาติ สุดท้ายก็อนาถไม่แพ้ยุค ต้านชิง..กู้หมิง

.
       ต้านชิง..กู้หมิง เป็นวลีติดปากในบทประพันธ์นิยายกำลังภายในจีน ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวในยุคราชวงศ์ ชิง  ซึ่งธีมเรื่องราวในสมัยนั้นถ่ายทอดมาตามเนื้อหาในประวัติศาสตร์ชนชาติจีนเชื้อสาย“ฮั่น” ที่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวจีนเชื้อสาย”แมนจู”ผู้ที่อาศัยอยู่นอกด่าน(ชาวจีนที่อาศัยอยู่นอกอาณาเขตกำแพงหมื่นลี้ จะถูกคนจีนภายในด่านนับว่าเป็นคนต่างชาติ)

       ตามประวัติศาสตร์ยุคปลายราชวงศ์หมิง ที่คนจีนเชื้อสายฮั่น ภูมิอกภูมิใจที่ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของคนสายเลือดเดียวกันนั้น ฟอนเฟะ อย่างถึงที่สุด ราชสำนักเต็มไปด้วยขุนนาง “กังฉิน” โกงกินคอรัปชั่นข่มเหงประชาชนสารพัด จนเกิดการลุกฮือขึ้นทุกหัวระแหง  ที่เรียกว่า กลุ่มกบฏชาวนาวนา

       แต่กลุ่มกบฏชาวนานั้น มิได้มาจากชาวนาที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านความอยุติธรรมของราชสำนัก ราชวงศ์หมิงเท่านั้น เพราะบางส่วนก็ถูกจัดตั้งขึ้นโดยกองกำลังส่วนตัวของบรรดาขุนนางขี้ฉ้อ หรือเชื้อพระวงศ์หมิงบางคนที่ต้องการเป็นใหญ่แทนฮ่องเต้ หมิงซือจง และบุคคลสำคัญที่ชื่อ หลี่จื้อเฉิง ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่หวังจะแทนที่นั่งบัลลังค์ฮ่องเต้ สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง

       ชนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อ ฮ่องเต้หมิงซื่อได้คิดเก็บภาษีเบ็ดเตล็ดในช่วงฤดูแล้ง ทำให้ประชาชนและทหารไม่พอใจราชวงศ์หมิงอย่างมาก และรวมตัวเป็นกลุ่มย่อยก่อจลาจลในหลายพื้นที่ เป็นสงครามการแย่งชิงอำนาจระหว่างราชสำนักกับกบฏชาวนาแต่ละกลุ่ม กินเวลานับสิบปี สร้างความเดือดร้อนซ้ำเติมให้กับประชาชนจีนอย่างแสนสาหัส

       จนในที่สุด หลี่จื้อเฉิงได้นำกำลัง เข้ายึดครองกรุงปักกิ่ง ราชธานีของราชวงศ์หมิง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2187 ทำให้พระเจ้าหมิงซือจงต้องผูกพระศอปลงพระชนม์ตัวเองที่ต้นไม้บนเนินเขาที่มองเห็นพระราชวังต้องห้าม ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์หมิง

       แต่ความเป็นหมิงยังไม่สิ้นสุด เพราะตัวหลี่จื้อเฉิงเองนั้นยังนับว่าสืบทอดอำนาจมาจากราชวงศ์หมิง แต่ด้วยมีพฤติกรรมที่ต่ำช้า ทำให้ไม่ได้ครองใจคนทั้งแผ่นดิน เพราะคนทั่วไปต่างก็รู้ว่า คนผู้นี้ถือเป็น”ตัวบัดซบ”ตัวหนึ่ง ที่อาศัยอำนาจของราชวงศ์หมิงที่ตัวเองแอบอิงอาศัยอยู่ ข่มเหงราษฎรประชาชนทั่วไปเช่นเดียวกับที่ราชสำนัก หมิง กระทำ และการข่มเหงรังแกผู้นี้อยู่เป็นนิจนี้ ทำให้ อู๋ซานกุ้ย นายพลหมิงที่คุมกองกำลังกว่าแสนนาย ที่ประจำอยู่ในป้อมซานไฮ่กวน ตัดสินใจเข้าร่วมกับทัพแมนจู เพราะไม่พอใจที่ หลี่จื้อเฉิง เคยข่มเหงรังแกน้องสาวของตนเองมาก่อน

       และการเปิดด่านปล่อยให้พวกแมนจูยกทัพเข้ามา นั้นทำให้คนจีนเชื้อสายฮั่น ต้องตกอยู่ภายในภาวะ”สิ้นชาติ”อย่างแท้จริง เพราะที่สุดแล้ว ผู้ปราบปรามกองทัพต่างๆที่แย่งชิงแผ่นดินกันเองของกองกำลังเชื้อสายฮั่น กลับเป็นกองกำลังของตระกูล อ้ายซินเจียหลอ ผู้ที่ตนเองต่างเหยียดหยามว่าเป็นพวกไร้อารยะนอกด่าน และยึดถือเป็นคนต่างชาติ

       นั้นถึงเป็นการสิ้นอำนาจของราชวงศ์หมิงอย่างแท้จริง และเป็นที่มาของการครองอำนาจของราชวงศ์ชิง และเป็นจุดกำเนิดให้คนจีนเชื้อสายฮั่น ที่ยังทำใจรับการตกอยู่ใต้อำนาจของคนที่ตัวเองดูถูกเหยียดหยามมาตลอดไม่ได้ ยังคงเก็บตัวรอคอยโอกาสที่จะกู้ชาติ และฟื้นฟูสิ่งที่ตัวเองยอมรับนับถืออยู่ แม้มันจะเลวร้ายและส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องเดือดร้อนแสนสาหัสขนาดไหนก็ไม่สน และได้ใช้คำว่า ต้านชิง กู้หมิง มาพยามยาม คืนชีพให้กับซากศพ ที่ตายไปแล้วอย่างราชวงศ์หมิง

       แต่เชื่อไหมว่าราชวงศ์ที่คนเชื้อสายฮั่นรังเกียจนี้กลับครองอำนาจได้ยาวนานถึง 268 ปี เป็นราชวงศ์เดียวที่ไม่ยอมรับ“จิ้มก้อง” หรือเครื่องบรรณาการจากประเทศราช เพราะมองว่าเป็นการติดสินบน มากกว่าการแสดงออกถึงการยกย่องและเป็นประเทศภายใต้การปกครองของจักรพรรดิจีน  เป็นราชวงศืเดียวที่ใส่ใจกับการ คอรัปชั่น ของขุนนาง”กังฉิน”อย่างจริงจัง ทำให้การค้าขายรุ่งเรืองที่สุดในยุคสมัยที่จีนยังใช้ระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยอยู่  

       แม้สุดท้ายจะถูกภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้ราชวงศ์ชิงสูญสิ้นอำนาจไปให้กับ ดร.ซุนยัดเซ็น ผู้นำแนวคิดสมัยใหม่อย่างประชาธิปไตยเข้ามาในจีน และคนจีนบางส่วนถือเป็นความสำเร็จที่ขบวนการ ต้านชิง กู้หมิง แต่ก็พูดมิได้เต็มปากเต็มคำ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการโนล้มราชวงศ์ชิงแล้วแล้ว ก็คือความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสอีกครั้ง ของประชาชนจีน

       เพราะการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างพรรคก็กมินตั๋งของดร.ซุนยัดเซ็นกับอดีตนายทหารของราชวงศ์ชิงอย่าง นายพล หยวนซื่อไข่ หลังจากการล้มราชวงศ์ชิงหรือการปฏิวัติซินไฮ่ ผลปรากฏว่าฝ่าย ดร.ซุนยัดเซ็นเป็นฝ่ายผ่ายแพ้ ทำให้ต้องฝากความหวังไว้ที่ลูกน้องคนสำคัญอย่าง นายพล เจียงไคเซ็ก แทน ส่วน ดร.ซุนยัดเซ็นต้องหลบหนีลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ขณะที่การปกครองของจีนนั้นตกอยู่ในมือของ หยวนซื่อไข่ ผู้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง ซึ่งไม่ใด้เป็นราชวงศ์หมิง อย่างที่คนจีนเชื้อสายฮั่นต้องการ การยกตัวเองขึ้นเป็นฮองเต้ของหยวนซื่อไข่จึงไม่มีใครยอมรับ

       และภายใต้การปกครองของหยวนซื่อไข่ ทำให้เกิดการ อพยพหนีตายของคนจีนจำนวนมาก ที่เลือกไปเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ดีกว่าอดตายอยู่บนแผ่นดินตนเอง เพราะสุดท้ายหลังจากล้มชิงได้ ความสงบสุขก็ไม่เกิดขึ้นอย่างที่ชนชาติฮั่นหวัง หนำซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการแทรกแซงของต่างชาติอย่าง ญี่ปุ่น และฝรั่งตะวันตก อีกทั้งการแย่งชิงอำนาจกันเองของ คนที่สืบทอดอุดมการณ์แตกต่างกันระหว่าง เจียงไคเซ็ก กับ เหมาเจอตุง แม้เจียงจะพ่ายแพ้ และต้องหอบเอาแนวคิดประชาธิปไตยที่ตนเองเลื่อมใสศรัทธามาจากดร.ซุนยัดเซ็น หลบหนีไปปักหลักอยู่ที่เกาะไต้หวัน

สิ่งที่คนจีนได้รับ คือระบอบเผด็จการณ์คอมมิวนิสต์ ของ เหมา

       ซึ่งในนาทีนี้ ถ้าถามคนจีนโพ้นทะเล ที่หลบหนีอพยพออกจากเมืองจีนในช่วงนั้นไปตั้งรกรากอยู่ต่างประเทศ ว่าอยากกลับไปอาศัยตั้งรกรากในแผ่นดินเกิดอีกไหม เชื่อว่า คงมีน้อยคนที่สมัครใจกลับไปใช้ชีวิตภายใต้ระบอบเผด็จการของจีน

       หรือถ้าถามคนไต้หวันว่า อยากรวมประเทศกลับไปอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่ไหม ก็มีไม่น้อยที่เลือกส่ายหน้าแทนคำตอบ

       และที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้น การถามคนจีนแผ่นดินใหญ่เอง ว่ามีใครอยากไปอยู่ต่างประเทศที่มีระบอบการปกครองอื่นที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ไหม คำตอบที่ได้รับเชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนคงทำใจยอมรับไม่ได้แน่ ถึงได้พยายามปิดกั้นทุกวิถัทาง ทำให้ประเทศจีนได้รับการจัดอันดับในเรื่อง สิทธิมนุษยชน แย่ที่สุดเป็นลำดับต้นๆของโลก

       ส่วนท่านทั้งหลายที่คิดและเชื่อภาพลวงตาว่า จีนมีเศรษฐกิจดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ก็ขอให้รับรู้ไว้ว่าเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้าไปในจีนนั้น ตกอยู่ในกระเป๋าของประชาชนจำนวนไม่ถึง 10 % เท่านั้น ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งคนเหล่านี้ ล้วนแต่มีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งสิ้น และยังมีประชาชนอีกเป็นพันล้านที่ยังต้องตกอยู่ในสภาพลำบากของความยากจนต่อไป เพราะอาศัยอยู่ในชนบท

       ที่ผมหยิบเอาเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะว่าเรื่องราวในแผ่นดินจีนยุคนั้น สอดคล้องกับเรื่องราวของเมืองไทยในยุคนี้เหลือเกิน เพราะหากยึดถือตามตรรกะของคนบางจำพวกในสังคมไทย “ทักษิณ” คือตัวเลวร้ายคือความอัปยศของคนไทย ที่ตนเองและพวกพ้องยอมรับไม่ได้ จำเป็นต้องต่อต้าน และโค่นล้มลงให้จงได้ เหมือนที่เคยใช้คำว่า ต้านชิน กู้ชาติมาระดมคนปลุกปั่นให้สังคมเกิดความวุ่นวายเดือดร้อนกันมาแล้ว

ต้านชิงแล้ว ที่สุดได้อะไร กู้หมิงได้ไหม หรือที่สุดแล้วก็สิ้นชาติอีกครั้งหนึ่ง คำตอบก็มีให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์
เช่นเดียวกับในเมืองไทย ต้านชิน แล้วได้อะไร กู้ชาติได้ไหม ผมว่าท่านที่เข้ามาอ่านคงคิดคำตอบกันได้เองนะครับ


ขอบคุณครับ
นายพระรอง

ปล. พอว่างกลับมาเขียน ก็เขียนยาวอีกตามเคย คงไม่ว่ากันนะครับ เพราะสั้นๆไอ้รองไม่ ต้องยาวๆเข้าไว้ ไอ้รองเอง 55+

*แก้ไขคำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ประเทศไทยแม้จะเคยเกือบล่มจม แต่ก็ผ่านมาได้ .... เพราะคนไทยในตอนนั้นมันยังไม่มีการสร้างความเกลียดชังแบบทุกวันนี้ ที่ล้มหนักๆแบบที่พอจำได้ก็คือช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 บริษัทห้างร้านเจ๊งกันระนาว แต่เพราะความเกลียดชังกันเองของคนไทยมันยังไม่ถูกสร้าง  ทุกภาคส่วนมีการจับมือร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคช่วงนั้นให้ประเทศผ่านพ้นไปได้ โดยเฉพาะในช่วงนั้นทักษิณกลับกลายมาเป็นทางเลือกทางใหม่สำหรับวงการเมืองไทย ที่คนค่อนข้างเบื่อกับนักการเมืองสไตล์นักกฏหมายแบบเดิม พอลองเสี่ยงเลือกทักษิณปรากฏว่าทักษิณกลับทำให้ประเทศชาติดีขึ้นเป็นรูปธรรมได้จริงๆ จึงไม่แปลกหรอกที่คนจะศรัทธาทักษิณ  และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเมื่อก่อนยังมีภาคเกษตรกรรมคอยรองรับอีกทางหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ราคาพืชผลกลับสวนทางกับราคาข้าวของเครื่องใช้ที่แพงขึ้น ถามว่าล่มจมไหมก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผ่านมันไปได้อย่างทุลักทุเลกว่าเดิม เพราะความเกลียดชังในตัวบุคคลมันมีมากกว่าผลประโยชน์ของชาติ

ปล. ผมไม่ใช่ติ่งแม้วนะ ทุกวันนี้เพื่อนผมมันยังคิดว่าผมเป็นสลิ่มอยู่เลยเพราะเมื่อก่อนผมด่าแม้วประจำในวงเหล้าตามประสาคนกลางคืนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายต่างๆของรัฐบาลแม้ว แต่ผมเอาเรื่องจริงมาพูด แม้วทำดีทำให้ชีวิตประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศดีขึ้นผมก็ต้องบอกว่าก็ว่าดี

ชื่นชมงานเขียนคุณพระรองครับ ลำดับเหตุการณ์ได้ละเอียดดีมาก แต่ผมไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านนี้ ขออนุญาตมาเพียงแค่อ่านและโหวตให้กระทู้ดีๆครับผม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่