“ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยจีน 21 วัน ผ่านกัมพูชา เวียดนาม สุดทางที่กำแพงเมืองจีน ขากลับล่องเรือผ่านลาว นั่งรถไฟเป็นส่วนใหญ่ ไม่นั่งเครื่องบินเลย
ตอนที่ 14 ล่องเรือ ห้วยทราย-หลวงพระบาง ลาว
รถจอดที่ Syndoramy Market 3 หนุ่ม ชวนเราลง และชี้ให้ดูที่พักคืนละ 400 บาท เราหอบของลงไปแล้ว แต่น้องนศ.ทุนโทควบเอกม.ยูนนาน ชาวเชียงราย บอกให้เราต่อรถสองแถวเล็กไปที่ท่าเรือ ท่าทราย ซึ่งมีเกสต์เฮ้าส์มากมาย
อาการป่วยของป้า หายเกือบสนิทแล้ว
เราต่อรถสองแถวเล็ก แล่นมาจอดให้เข้าห้องน้ำฟรี ที่ร้านค้า มีตู้แช่และของดองกับน้ำอ้อยแว่น ห่อด้วยใบอ้อย ทุกอย่างราคาซาวบาท
มีคนลาวดักขึ้นตามจุดอีกไม่น้อยกว่า 10 คน จ่ายค่าโดยสารคนละ 50 พัน (50,000=200 บาท)

คนลาวแถวๆนั้น ส่วนใหญ่เป็นลาวเทิง เมื่อสอบถามหนุ่มๆ ที่ขึ้นรถไปด้วย ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าใครคือลาวเทิง ลาวลุ่ม หรือลาวสูง เขาบอกว่า ต้องฟังเวลาพูด สำเนียงไม่เหมือนกัน
รถ 2 แถวไปสุดสายที่ท่าเรือบาร์จ ริมแม่น้ำโขง ทิวทัศน์สวยงามมาก เข้าพักที่พรวิจิตรเกสต์เฮ้าส์ ริมแม่น้ำโขง มองผ่านหน้าต่างห้องนอน เห็นแม่น้ำและภูเขา ที่อ.เชียง ของประเทศไทย

ค่ารถ 2 แถวคนละ 80 บาท ค่าที่พักคืนละ 600 บาท ค่าตั๋วเรือไปหลวงพระบางคนละ 1,100 บาท อาหารเย็นข้าวกะเพราหมู/ไก่ไข่ดาวจานละ 100 บาท

เย็นนี้เดินไปตลาดสายมณี ลุงพูดภาษาลาวได้ ซื้อกล้วยน้ำว้า 1 หวี แตงร้าน 2 ใบ รวม 5,000 กีบ (20 บาท) ซื้อข้าวเหนียว น้ำพริก ปลากดุกย่าง ผักต้ม ผักดิบ ราคาพอๆกับไทย แล้วเดินไปชมวัดกับโรงเรียนประถมในชุมชน เดินหาซื้อซิมลาว คนลาวชี้ร้านให้ แต่ร้านไม่เปิด อ่านป้ายว่า "ขาย-ส้วม บัด ซิม โทละสับ" เราฮากันแทบขี้แตก ลองอ่านในภาพกันเองว่าจริงมั้ย? ทราบภายหลังว่า ร้านนี้ขายโทรศัพท์ และรับซ่อมด้วย
โชคดีที่เกสต์เฮ้าส์ใช้เครือข่าย wifi ไทย เขาลากสายมาจากเชียงของ เราจึงเปลี่ยนจากซิมจีน 4G กลับไปเป็น 3G ของเดิม

สภาพบ้านเรือนและความเป็นอยู่ของชาวบ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว คล้ายคลึงกับอำเภอรอบนอกของจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ภาษาพูดใกล้เคียงกับอ.น้ำปาด ฟากท่า และบ้านโคกจังหวัดอุตรดิตถ์ ต้นไม้และพืชผักก็เหมือนกัน มีเห็ดขอนขาว ผักเฮือก มะเขือพวง ถั่วฝักยาว ฟักแม้วฯลฯ
เรากินข้าวเหนียว ปลาดุกย่าง น้ำพริก ผักดิบ ผักต้ม เป็นอาหารมื้อเย็น ที่ซื้อมาจากตลาด ขณะที่พระอาทิตย์ตกดิน ทอดเงาลงแม่น้ำโขง หน้าโรงแรม สวยงาม โรแมนติกสุดๆ

สบายดีห้วยซายแขวงบ่อแก้ว สวัสดีประเทศไทยค่ะ
เช้านี้บรรยากาศริมโขงห้วยซาย แขวงบ่อแก้วสดชื่น เย็นสบาย เดินออกกำลังกายไปตลาดสายมณี ไม่มีอะไรขาย เป็นตลาดเย็น ต้องกลับหลังหันเดินไปอีกหลายกม. เดินผ่านป้ายจราจร....ทุกซีวิดปอดพัยถ้าไส่หมวกกันกะทบ....สวนกับพระออกจากวัดขอนแก้วไซยราม สตรีสูงวัยนุ่งซิ่นคาดสไบ ถือขันเงินรอใส่บาตรหน้าบ้าน....ฮ้านขาย-ส้วม บัด ซิม โทละสับ....ยังคงปิดเงียบ....ผ่านรร.มัธยม โรงหมอ ทนาคาน พะแนกกสิกำป่าไม้ ห้องว่ากานแขวง สถานที่ทำการอีกหลายแห่ง
ไปตลาดเช้ามีอาหารที่แตกต่างจากตลาดเช้าแถวนอกเมืองทางเหนือของไทย น่าจะเป็นเตาหรือส่าหร่ายน้ำจืดที่กองเป็นภูเขาเลากา ทางเหนือของไทยนิยมขายผำหรือไข่น้ำ ราคาผักและอาหารแพงกว่าไทย ซื้อผักชีกำเท่ากับ 10 บาทที่กทม.ที่นั่นราคา 5,000 กีบคือ 20 บาท ข้าวเหนียว 20 บาท ที่กทม.แค่ 10 บาท ไม่แน่ใจว่า เพราะเราเป็นนักท่องเที่ยวรึเปล่า จึงได้ราคานี้

เราซื้อปลานิลย่าง 1 ตัว ไก่ย่าง 1 ขา ไส่อั่วหมู 1 ดุ้น ตำมะเขือยาว 1 ถุง ข้าวเหนียว 2 ห่อในราคา 290 บาท มันสำปะหลังอัด 1 แพ็ค 20 บาท ผักชี 20 บาทเป็นอาหารเช้าและกลางวันบนเรือ

ภาษาลาวเขียนตรงมาก เมื่อวานเจอคำว่า บ่อนแจ้งบัดผ่านแดน-ปั๊มบัดผ่านแดน ยืนรอถ้าหลังเส้นเหลียง ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามสูบยาฯลฯ
เรากำลังรอเวลาเรือออกไปปากแบง เรือจะออกเวลา 10.30 น. ที่พักอยู่บนท่าเรือ ได้แต่หวังว่า ตอนอยู่ท่าเรือจะใช้ wifi ได้ เพราะหลังจากนั้นอาจไม่ได้ติดต่อไทยอีก จนกว่าจะกลับเข้าเขตไทยที่หนองคาย ซึ่งอาจจะอีก 3 วันต่อจากนี้
สรุปค่าใช้จ่ายผ่านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ลาว ระยะทาง 12,890 กม. 201 ชม. ค่าเดินทาง 28,980 บาท ค่าอื่นๆ 18,640 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 47,520 บาท
เราลงเรือที่ท่าเรือบาร์จ เป็นเรือท้องแบนลำใหญ่ ท่าเรือหางยาว คนบ่อแก้วเรียกท่าเฮือน้อย
รอจนถึง 11.00 น. เรือก็ยังไม่ออก ดูสาวฝรั่งที่นั่งถัดไปนั่นเถอะ เธอนุ่งกางเกงขาสั้น ไม่ใส่กกน. เดินผ่านพระกับเณรที่นั่งตรงทางเข้าเรือเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เณรก็นั่งหน้าแดง เอาย่ามปิดหน้าตักไว้....ส่วนลุงนั่งแถวแรกของเรือ ก็อดจ้องมองไม่ได้ ลุ้นแล้วลุ้นอีก....ไม่รู้หวยออกที่ใคร?
พอเรือออกช้าพวกฝรั่งก็ต้องลุกออกไปยืนสูบบุหรี่ที่หัวเรือ พระเณรเดือดร้อน....อ้าว! ตอนนี้กลายเป็นเณรมองหาซะเอง....555555
หัวเณรอยู่ตรงขาแหม่มนั่นแหละ
ลุงบอกว่า เอ้าๆ ก้นยัยคนนั้นอยู่ตรงจมูกเณรแล้ว!
ลุ้นๆๆๆ ข้างเณรจะเป็นชายหรือหญิง?

เรือออกซะที....ในตั๋วบอกเวลา 10.30 กว่าจะได้ออก 11.50 ลมเย็นฉ่ำ ฝั่งขวาเป็นไทย ฝั่งซ้ายเป็นลาว
เกาะกลางน้ำฝั่งลาวมีเจดีย์ทรายเป็นสัญลักษณ์ว่าเพิ่งผ่านเทศกาลสงกรานต์
น้ำโขงกั้นสองประเทศห่างกันไม่ถึง 100 เมตร ฝั่งหนึ่งเว้าลาวอีกฝั่งอู้คำเมือง ผิวพรรณใกล้เคียง แต่ฝั่งอู้คำเมืองมีสันจมูกส่วนฝั่งเว้าลาวจมูกกลมป้านไม่มีสัน
ฝั่งมีสันจมูกทำเขื่อนกันน้ำเซาะตลิ่งตลอดแนวชุมชน ส่วนฝั่งไม่มีสันปล่อยตามธรรมชาติ
ผ่านวัดเชียงของมีสัญลักษณ์ปลาบึกนอนบนเรือ เรือแล่นตามร่องน้ำลึกสลับไปมาระหว่างใกล้ฝั่งไทยกับลาว
ด้านหน้าเราทางซ้ายมือเป็นผู้โดยสาร ชาวลาว และพระกับเณร ด้านขวาและข้างหลังเป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกทั้งหมด มีเรา 2 คนเท่านั้น ที่เป็นคนไทย
วันนี้ป้าคงไม่คุยกับใคร เพราะเสียงยังไม่ปกติ แต่ลุงเว้าภาษาลาวกับเอื้อยที่นั่งด้านหน้าซ้าย คุยกันรู้เรื่องเป็นอย่างดี ประเทศนี้ยกให้ลุงเป็นทูตสันติภาพ อิอิ
เรือลอดใต้สะพานมิตรภาพที่ 4 ที่เพิ่งเปิดใช้ปี 2556 วันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11.11 น
เมื่อแล่นไปได้ประมาณ 2 ชม. เรือ หันหัวเข้าเทียบท่า เอื้อยบอกกับลุง เข้าเขตปากทา คนเรือเอาเอกสารไปดำเนินการผู้โดยสารบนเรือขึ้นฝั่งไปซื้อของ มีผู้โดยสารใหม่เดินหิ้วกระเป๋าฝ่าแดดลงท่าเรืออย่างช้าๆ เรือจอดประมาณครึ่งชม. กลิ่นหมาเน่าตัวเบ้ง ที่อยู่ห่างจากเรือประมาณ 10 เมตร คลุ้งจนทั้งลาวไทยเทศ อุดจมูกรอเวลาเรือออก

ตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายของแม่น้ำโขง ที่ผ่านภาคเหนือของไทย ก่อนโค้งเป็นปากขวดสุราแม่โขง เข้าสู่ลาว
ฝรั่งกลุ่มใหญ่ที่ลงเรือล่าสุด ยืนอวดทรวดทรงต่อหน้าพระเณร ดูเหมือนเป็นกลุ่มนศ. เพราะมีขนมแจกกันและรู้จักกันเป็นอย่างดี มีบางคนที่มาเที่ยวแบ็คแพ็คและรู้จักกันบนเรือ ได้ยินเขาคุยกันเรื่องการแสวงหาธรรมชาติ และความเป็นท้องถิ่นดั้งเดิม แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเมียนม่าร์และลาว
สองฝั่งโขงของลาวไม่มีการปรุงแต่ง ธรรมชาติล้วนๆ น้ำใสพอประมาณ ผ่านภูเขา 2 ฝั่ง ทั้งเขาหัวโล้น และป่าเสื่อมโทรม ในแม่น้ำมีเกาะทรายล้วน ลานหิน โขดหิน และแก่งหิน คนลาวบอกว่า ก่อนหน้าที่จีนจะสร้างเขื่อนมีน้ำมากกว่านี้ คนขับเรือต้องเป็นคนชำนาญร่องน้ำ จึงรู้เรื่องการเหเรือเข้าสู่ร่องน้ำลึก ตลอดเส้นทางอย่างไม่พลาด

ลุงขยันดื่มน้ำ เพื่อหาเรื่องเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านท้ายเรือ โดยต้องเดินผ่านสาวฝรั่งขาสั้นสายเดี่ยว
พวกเขาดื่มเบียร์กันตลอดทาง จนก่อนถึงปากทา ก็เปลี่ยนเป็นเหล้า พอดื่มเหล้าก็เริ่มลืมตัว ควักบุหรี่ออกมาสูบพ่นควันโขมง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น คอยหลบเมื่อมีคนเดินผ่านไม่เหมือนเมียนม่าร์ เวียดนาม หรือจีน ที่รู้จักแต่สิทธิของตนเอง แต่ไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น นั่งนอนเกะกะขวางทางในรถสาธารณะ ใครอยากผ่านก็หาทางผ่านกันเอาเอง ถ้าชนใคร ก็ทำเฉยไม่มีการขอโทษ
มีครั้งหนึ่งที่ลุงไปห้องน้ำ แล้วกลับไปเล่าให้ฟังว่า ได้ถามเจ้าของเรือว่า เรือที่จะไปหลวงพระบางวันพรุ่งนี้ เป็นเรือลำเดิมหรือไม่ เจ้าของเรือถามว่า ได้ซื้อปี้หรือยัง คุณชายลืมคิดว่า ปี้ คือ ตั๋ว เกือบตอบว่า ไม่ต้องซื้อเพราะเอาไปด้วย จนป้าเขาถามอีกครั้งหนึ่งจึงนึกได้ว่า อ๋อ....ตั๋ว....เลยรอดตัวไป!
[CR][SR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยจีน21วัน ไปกัมพูชา เวียดนาม จีน(รถไฟ) ล่องเรือกลับทางลาว ตอน14 ล่องเรือห้วยทราย-หลวงพระบาง
ตอนที่ 14 ล่องเรือ ห้วยทราย-หลวงพระบาง ลาว
รถจอดที่ Syndoramy Market 3 หนุ่ม ชวนเราลง และชี้ให้ดูที่พักคืนละ 400 บาท เราหอบของลงไปแล้ว แต่น้องนศ.ทุนโทควบเอกม.ยูนนาน ชาวเชียงราย บอกให้เราต่อรถสองแถวเล็กไปที่ท่าเรือ ท่าทราย ซึ่งมีเกสต์เฮ้าส์มากมาย
อาการป่วยของป้า หายเกือบสนิทแล้ว
เราต่อรถสองแถวเล็ก แล่นมาจอดให้เข้าห้องน้ำฟรี ที่ร้านค้า มีตู้แช่และของดองกับน้ำอ้อยแว่น ห่อด้วยใบอ้อย ทุกอย่างราคาซาวบาท
มีคนลาวดักขึ้นตามจุดอีกไม่น้อยกว่า 10 คน จ่ายค่าโดยสารคนละ 50 พัน (50,000=200 บาท)
คนลาวแถวๆนั้น ส่วนใหญ่เป็นลาวเทิง เมื่อสอบถามหนุ่มๆ ที่ขึ้นรถไปด้วย ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าใครคือลาวเทิง ลาวลุ่ม หรือลาวสูง เขาบอกว่า ต้องฟังเวลาพูด สำเนียงไม่เหมือนกัน
รถ 2 แถวไปสุดสายที่ท่าเรือบาร์จ ริมแม่น้ำโขง ทิวทัศน์สวยงามมาก เข้าพักที่พรวิจิตรเกสต์เฮ้าส์ ริมแม่น้ำโขง มองผ่านหน้าต่างห้องนอน เห็นแม่น้ำและภูเขา ที่อ.เชียง ของประเทศไทย
ค่ารถ 2 แถวคนละ 80 บาท ค่าที่พักคืนละ 600 บาท ค่าตั๋วเรือไปหลวงพระบางคนละ 1,100 บาท อาหารเย็นข้าวกะเพราหมู/ไก่ไข่ดาวจานละ 100 บาท
เย็นนี้เดินไปตลาดสายมณี ลุงพูดภาษาลาวได้ ซื้อกล้วยน้ำว้า 1 หวี แตงร้าน 2 ใบ รวม 5,000 กีบ (20 บาท) ซื้อข้าวเหนียว น้ำพริก ปลากดุกย่าง ผักต้ม ผักดิบ ราคาพอๆกับไทย แล้วเดินไปชมวัดกับโรงเรียนประถมในชุมชน เดินหาซื้อซิมลาว คนลาวชี้ร้านให้ แต่ร้านไม่เปิด อ่านป้ายว่า "ขาย-ส้วม บัด ซิม โทละสับ" เราฮากันแทบขี้แตก ลองอ่านในภาพกันเองว่าจริงมั้ย? ทราบภายหลังว่า ร้านนี้ขายโทรศัพท์ และรับซ่อมด้วย
โชคดีที่เกสต์เฮ้าส์ใช้เครือข่าย wifi ไทย เขาลากสายมาจากเชียงของ เราจึงเปลี่ยนจากซิมจีน 4G กลับไปเป็น 3G ของเดิม
สภาพบ้านเรือนและความเป็นอยู่ของชาวบ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว คล้ายคลึงกับอำเภอรอบนอกของจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ภาษาพูดใกล้เคียงกับอ.น้ำปาด ฟากท่า และบ้านโคกจังหวัดอุตรดิตถ์ ต้นไม้และพืชผักก็เหมือนกัน มีเห็ดขอนขาว ผักเฮือก มะเขือพวง ถั่วฝักยาว ฟักแม้วฯลฯ
เรากินข้าวเหนียว ปลาดุกย่าง น้ำพริก ผักดิบ ผักต้ม เป็นอาหารมื้อเย็น ที่ซื้อมาจากตลาด ขณะที่พระอาทิตย์ตกดิน ทอดเงาลงแม่น้ำโขง หน้าโรงแรม สวยงาม โรแมนติกสุดๆ
สบายดีห้วยซายแขวงบ่อแก้ว สวัสดีประเทศไทยค่ะ
เช้านี้บรรยากาศริมโขงห้วยซาย แขวงบ่อแก้วสดชื่น เย็นสบาย เดินออกกำลังกายไปตลาดสายมณี ไม่มีอะไรขาย เป็นตลาดเย็น ต้องกลับหลังหันเดินไปอีกหลายกม. เดินผ่านป้ายจราจร....ทุกซีวิดปอดพัยถ้าไส่หมวกกันกะทบ....สวนกับพระออกจากวัดขอนแก้วไซยราม สตรีสูงวัยนุ่งซิ่นคาดสไบ ถือขันเงินรอใส่บาตรหน้าบ้าน....ฮ้านขาย-ส้วม บัด ซิม โทละสับ....ยังคงปิดเงียบ....ผ่านรร.มัธยม โรงหมอ ทนาคาน พะแนกกสิกำป่าไม้ ห้องว่ากานแขวง สถานที่ทำการอีกหลายแห่ง
ไปตลาดเช้ามีอาหารที่แตกต่างจากตลาดเช้าแถวนอกเมืองทางเหนือของไทย น่าจะเป็นเตาหรือส่าหร่ายน้ำจืดที่กองเป็นภูเขาเลากา ทางเหนือของไทยนิยมขายผำหรือไข่น้ำ ราคาผักและอาหารแพงกว่าไทย ซื้อผักชีกำเท่ากับ 10 บาทที่กทม.ที่นั่นราคา 5,000 กีบคือ 20 บาท ข้าวเหนียว 20 บาท ที่กทม.แค่ 10 บาท ไม่แน่ใจว่า เพราะเราเป็นนักท่องเที่ยวรึเปล่า จึงได้ราคานี้
เราซื้อปลานิลย่าง 1 ตัว ไก่ย่าง 1 ขา ไส่อั่วหมู 1 ดุ้น ตำมะเขือยาว 1 ถุง ข้าวเหนียว 2 ห่อในราคา 290 บาท มันสำปะหลังอัด 1 แพ็ค 20 บาท ผักชี 20 บาทเป็นอาหารเช้าและกลางวันบนเรือ
ภาษาลาวเขียนตรงมาก เมื่อวานเจอคำว่า บ่อนแจ้งบัดผ่านแดน-ปั๊มบัดผ่านแดน ยืนรอถ้าหลังเส้นเหลียง ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามสูบยาฯลฯ
เรากำลังรอเวลาเรือออกไปปากแบง เรือจะออกเวลา 10.30 น. ที่พักอยู่บนท่าเรือ ได้แต่หวังว่า ตอนอยู่ท่าเรือจะใช้ wifi ได้ เพราะหลังจากนั้นอาจไม่ได้ติดต่อไทยอีก จนกว่าจะกลับเข้าเขตไทยที่หนองคาย ซึ่งอาจจะอีก 3 วันต่อจากนี้
สรุปค่าใช้จ่ายผ่านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ลาว ระยะทาง 12,890 กม. 201 ชม. ค่าเดินทาง 28,980 บาท ค่าอื่นๆ 18,640 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 47,520 บาท
เราลงเรือที่ท่าเรือบาร์จ เป็นเรือท้องแบนลำใหญ่ ท่าเรือหางยาว คนบ่อแก้วเรียกท่าเฮือน้อย
รอจนถึง 11.00 น. เรือก็ยังไม่ออก ดูสาวฝรั่งที่นั่งถัดไปนั่นเถอะ เธอนุ่งกางเกงขาสั้น ไม่ใส่กกน. เดินผ่านพระกับเณรที่นั่งตรงทางเข้าเรือเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เณรก็นั่งหน้าแดง เอาย่ามปิดหน้าตักไว้....ส่วนลุงนั่งแถวแรกของเรือ ก็อดจ้องมองไม่ได้ ลุ้นแล้วลุ้นอีก....ไม่รู้หวยออกที่ใคร?
พอเรือออกช้าพวกฝรั่งก็ต้องลุกออกไปยืนสูบบุหรี่ที่หัวเรือ พระเณรเดือดร้อน....อ้าว! ตอนนี้กลายเป็นเณรมองหาซะเอง....555555
หัวเณรอยู่ตรงขาแหม่มนั่นแหละ
ลุงบอกว่า เอ้าๆ ก้นยัยคนนั้นอยู่ตรงจมูกเณรแล้ว!
ลุ้นๆๆๆ ข้างเณรจะเป็นชายหรือหญิง?
เรือออกซะที....ในตั๋วบอกเวลา 10.30 กว่าจะได้ออก 11.50 ลมเย็นฉ่ำ ฝั่งขวาเป็นไทย ฝั่งซ้ายเป็นลาว
เกาะกลางน้ำฝั่งลาวมีเจดีย์ทรายเป็นสัญลักษณ์ว่าเพิ่งผ่านเทศกาลสงกรานต์
น้ำโขงกั้นสองประเทศห่างกันไม่ถึง 100 เมตร ฝั่งหนึ่งเว้าลาวอีกฝั่งอู้คำเมือง ผิวพรรณใกล้เคียง แต่ฝั่งอู้คำเมืองมีสันจมูกส่วนฝั่งเว้าลาวจมูกกลมป้านไม่มีสัน
ฝั่งมีสันจมูกทำเขื่อนกันน้ำเซาะตลิ่งตลอดแนวชุมชน ส่วนฝั่งไม่มีสันปล่อยตามธรรมชาติ
ผ่านวัดเชียงของมีสัญลักษณ์ปลาบึกนอนบนเรือ เรือแล่นตามร่องน้ำลึกสลับไปมาระหว่างใกล้ฝั่งไทยกับลาว
ด้านหน้าเราทางซ้ายมือเป็นผู้โดยสาร ชาวลาว และพระกับเณร ด้านขวาและข้างหลังเป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกทั้งหมด มีเรา 2 คนเท่านั้น ที่เป็นคนไทย
วันนี้ป้าคงไม่คุยกับใคร เพราะเสียงยังไม่ปกติ แต่ลุงเว้าภาษาลาวกับเอื้อยที่นั่งด้านหน้าซ้าย คุยกันรู้เรื่องเป็นอย่างดี ประเทศนี้ยกให้ลุงเป็นทูตสันติภาพ อิอิ
เรือลอดใต้สะพานมิตรภาพที่ 4 ที่เพิ่งเปิดใช้ปี 2556 วันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11.11 น
เมื่อแล่นไปได้ประมาณ 2 ชม. เรือ หันหัวเข้าเทียบท่า เอื้อยบอกกับลุง เข้าเขตปากทา คนเรือเอาเอกสารไปดำเนินการผู้โดยสารบนเรือขึ้นฝั่งไปซื้อของ มีผู้โดยสารใหม่เดินหิ้วกระเป๋าฝ่าแดดลงท่าเรืออย่างช้าๆ เรือจอดประมาณครึ่งชม. กลิ่นหมาเน่าตัวเบ้ง ที่อยู่ห่างจากเรือประมาณ 10 เมตร คลุ้งจนทั้งลาวไทยเทศ อุดจมูกรอเวลาเรือออก
ตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายของแม่น้ำโขง ที่ผ่านภาคเหนือของไทย ก่อนโค้งเป็นปากขวดสุราแม่โขง เข้าสู่ลาว
ฝรั่งกลุ่มใหญ่ที่ลงเรือล่าสุด ยืนอวดทรวดทรงต่อหน้าพระเณร ดูเหมือนเป็นกลุ่มนศ. เพราะมีขนมแจกกันและรู้จักกันเป็นอย่างดี มีบางคนที่มาเที่ยวแบ็คแพ็คและรู้จักกันบนเรือ ได้ยินเขาคุยกันเรื่องการแสวงหาธรรมชาติ และความเป็นท้องถิ่นดั้งเดิม แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเมียนม่าร์และลาว
สองฝั่งโขงของลาวไม่มีการปรุงแต่ง ธรรมชาติล้วนๆ น้ำใสพอประมาณ ผ่านภูเขา 2 ฝั่ง ทั้งเขาหัวโล้น และป่าเสื่อมโทรม ในแม่น้ำมีเกาะทรายล้วน ลานหิน โขดหิน และแก่งหิน คนลาวบอกว่า ก่อนหน้าที่จีนจะสร้างเขื่อนมีน้ำมากกว่านี้ คนขับเรือต้องเป็นคนชำนาญร่องน้ำ จึงรู้เรื่องการเหเรือเข้าสู่ร่องน้ำลึก ตลอดเส้นทางอย่างไม่พลาด
ลุงขยันดื่มน้ำ เพื่อหาเรื่องเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านท้ายเรือ โดยต้องเดินผ่านสาวฝรั่งขาสั้นสายเดี่ยว
พวกเขาดื่มเบียร์กันตลอดทาง จนก่อนถึงปากทา ก็เปลี่ยนเป็นเหล้า พอดื่มเหล้าก็เริ่มลืมตัว ควักบุหรี่ออกมาสูบพ่นควันโขมง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น คอยหลบเมื่อมีคนเดินผ่านไม่เหมือนเมียนม่าร์ เวียดนาม หรือจีน ที่รู้จักแต่สิทธิของตนเอง แต่ไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น นั่งนอนเกะกะขวางทางในรถสาธารณะ ใครอยากผ่านก็หาทางผ่านกันเอาเอง ถ้าชนใคร ก็ทำเฉยไม่มีการขอโทษ
มีครั้งหนึ่งที่ลุงไปห้องน้ำ แล้วกลับไปเล่าให้ฟังว่า ได้ถามเจ้าของเรือว่า เรือที่จะไปหลวงพระบางวันพรุ่งนี้ เป็นเรือลำเดิมหรือไม่ เจ้าของเรือถามว่า ได้ซื้อปี้หรือยัง คุณชายลืมคิดว่า ปี้ คือ ตั๋ว เกือบตอบว่า ไม่ต้องซื้อเพราะเอาไปด้วย จนป้าเขาถามอีกครั้งหนึ่งจึงนึกได้ว่า อ๋อ....ตั๋ว....เลยรอดตัวไป!
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น