รีวิว The Boy : หลอน ซ่อนฆ่า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง...

เรื่อง :The Boy (ตุ๊กตาซ่อนผี)
ประเภท : สยองขวัญ/เขย่าขวัญ
เวลารวม : 97 นาที
ผู้กำกับ: William Brent Bell
นักแสดง: Ben Robson, Diana Hardcastle, Jim Norton, Lauren Cohan, Rupert Evans

สวัสดีเพื่อนๆสมาชิกชาวพันทิปทุกท่านครับ วันนี้วันพฤหัสบดี เป็นฤกษ์งามยามดี สำหรับการตีตั๋วชมหนัง และมารีวิว
วันนี้ผมเลือกเรื่อง The Boy หลังจากสองจิตสองใจ กับ เรื่อง The Finest Hour กับ 13Hours สุดท้ายก็มาลงเอยกับเรื่องสยองขวัญแบบนี้
เอาละครับไม่ให้เสียเวลามาเริ่มกันดีกว่า...

The boy หนังตุ๊กตา ที่เกิดมาเพื่อสยบ แอนนาเบล โครงเรื่องพื้นฐานว่าด้วย นางเอกชื่อ เกรต้า เธอหนีคนบางคนมาจากเมืองที่ตัวเองเคยอยู่
แล้วมารับจ้างเลี้ยงเด็ก ซึ่งแต่แรกเข้าใจว่าเป็นคนจริงๆ ภายใต้บรรยากาศบ้านยุโรปแบบเก่า สถาปัตยกรรมที่ชวนให้นึกถึงความลึกลับ และเงียบงันวังเวง
ณ ที่นั่น เกรต้า ได้พบกับครอบครัวฮีลเชียร์ และเด็กน้อยในบ้านหลังใหญ่ นามว่า "บราห์ม" ตุ๊กตาเซรามิก ขนาดเท่าเด็กอายุ 7 - 8 ขวบ ที่เจ้าของบ้านทำราวกับว่า "เขา" มีชีวิตจิตใจและทำได้ทุกอย่างเหมือนกับ "คน" จริงๆ

ประเด็นของหนัง คือ การบอกเล่าพัฒนาการของตัวละครแบบ เกรต้า กับสิ่งที่เธอต้องทน ต้องเจอ ต้องเผชิญ เคียงข้างไปกับ มัลค่อม คนส่งของหน้าตาดีที่รับใช้ตระกูลฮีลเชียร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เส้นเรื่องใน The Boy ตัดสลับแค่เพียงบางช่วง เพื่อให้เห็นเนื้อหาสำคัญ แต่ไม่ตัดไปมาในฉากอื่นนอกจากบ้านของ บราห์ม เพิ่มดีกรียกระดับความน่ากลัวให้รู้สึกว่ามันคืบคลานตัวอย่างเงียบเชียบภายในบ้าน



ท่ามกลางความสั่นประสาท ของการจัดวางองค์ประกอบภาพ และการเล่นกับวัตถุสิ่งของ ตกแต่งภายใน ทำให้เราปั่นปวนอารมณ์และเท้าจิกพรมอย่างอดเสียไม่ได้ ฉากเปิดมาไม่ทันไร เกรต้า ก็พบว่าตัวเอง จำต้องอยู่เพียงลำพัง กับ บราห์ม เพียง "สองต่อสอง" ด้วยความที่เธอเห็นว่า บราห์ม เป็นแค่ตุ๊กตา
เราจะได้เห็นการละเมิดกฏเลี้ยงดูบราห์ม และอิทธิฤทธิ์ของ ตุ๊กตาสุดหลอน ตัวนี้พอสมควร หากใครดูหนังประเภทนี้มาบ่อยๆ จะได้เห็น จุดหักมุมตั้งแต่ ฉากต้นๆ เลยทีเดียว ซึ่งสามารถพอจะทำให้เรา เอะใจ และคิดต่อยอดเรื่องราวของ ตอนจบเอาไว้ได้ แม้ยังไม่ครบ 97 นาที



สิ่งที่ต้องชื่นชมในหนังเรื่องนี้ คือ นักแสดงสาว Lauren Cohan ซึ่งฝากผลงานไว้ใน Death Race2
Van Wilder 2 The Rise of TajVan และ Casanova การรับส่งบท ผ่านทางสายตา และการเล่นบทตกใจของเธอทำให้ผมสะดุ้งตามได้จริงๆ
แต่นั่นก็ต้องยกความดีความชอบให้ คุณป้า Diana Hardcastle ที่ปูพื้นฐานทางอารมณ์ให้เราเชื่อว่า บราห์ม มีชีวิต จิตวิญญาณแบบเด็กจริงๆ
เนื่องจาก เนื้อเรื่องถูกแบ่งออกเป็น 3 เส้นเรื่อง ผมจึงขอแยก อธิบาย เส้นเรื่องต่างๆ ให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้



เส้นเรื่องที่ 1 : ความลับของ ตระกูลฮีลเชียร์

แน่นอนว่า หนังผีฝรั่ง หนังลึกลับสยองขวัญ ของฝรั่งส่วนใหญ่ เน้น บ้าน เน้นสถานที่ เป็นหลัก ความน่ากลัว เกิดจากสิ่งก่อสร้าง การออกแบบ และการจัดวางบรรยากาศ ความมืดทะมึนของการเลือกเฉดสีของหนัง ทำให้เราสัมผัสความลึกลับของบ้านหลังนี้ได้อย่างน่าทึ่ง บ้านที่ดูน่าอยู่ในตอนกลางวัน แต่ซ่อนความลับดำมืดไว้ยามค่ำคืน เรื่องราวที่เป็น จุดกำเนิดของ The Boy เกิดจาก เด็กชาย นามว่า บราห์ม ที่ถูกสรุปว่าได้เสียชีวิตไปในเหตุการไฟไหม้ครั้งรุนแรงของบ้าน หลังจากที่เขาได้สร้างวีรกรรม พาเด็กหญิงที่แวะเวียนมาหาเขาอาทิตย์ละครึ่งคนหนึ่ง "หายไป" ความแปลกในตัวของ บราห์ม ทำให้คนมักกล่าวขานถึงเขาว่า เป็นเด็ก "แปลก" มาตั้งแต่ยังมีชีวิต... ตามป้ายหลุมศพ บราห์มเกิดในปี 1983 และเสียชีวิตใน ปี 1991

ซึ่งถ้า บราห์ม ยังอยู่ เขาจะมีอายุ 33 ปี แล้ว...

ต่อมา บราห์ม ถูกชุบชีวิต ในรูปแบบของ ตุ๊กตาเด็กเซรามิก โดย พ่อ และ แม่ ผู้ชราซึ่งโหยหาลูกน้อยอย่างยิ่ง ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี พวกเขาไม่เคยจ้างพี่เลี้ยง แต่เมื่อถึง "จุดหนึ่ง" เขาก็ตัดสินใจมอบ บราห์ม ให้อยู่ในความดูแลของ "เกรต้า" หญิงสาวที่หนีความสับสนทางใจในชีวิตมาจากอีกรัฐหนึ่ง
รูปภาพ บรรยากาศ เครื่องใช้ไม้สอย ดูราวกับเขาจัด และตกแต่งมันเพื่อ ใครซักคน เป็นพิเศษ
ทีมงานฉลาดในการเลือก ฉาก และโลเคชั่น เพราะความที่แปลนบ้านสมัยโบราณนั้น มีความเชื่อมต่อถึงกันในหลายๆห้อง
จึงช่วยสนับสนุนให้ความซุกซน ของบราห์ม แผลงฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้ง่ายชึ้น...
และบทสรุปที่สำคัญในเส้นเรื่องแรก ปรากฏอยู่ในจดหมาย ที่พ่อและแม่ของ บราห์ม ส่งมาให้ที่บ้าน นั่นเอง...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พ่อและแม่ของ บราห์ม ไม่สามารถทนตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ได้ กับความประหลาด และผิดปกติ ของลูกชาย ผู้ที่ถูกไฟไหม้ มีใบหน้าที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และทำได้เพียงซ่อนตัวไว้ในบ้าน ในช่วงบั้นปลาย เขาทั้งคู่จึงหวัง ส่งต่อ บราห์ม แต่ไม่ใช่ ให้ เกรต้า ดูแล บราห์ม แต่เพื่อให้ บราห์ม ได้เกรต้า เป็นของเล่นชิ้นใหม่ของ "ตัวเอง"



เส้นเรื่องที่ 2 : ความสัมพันธ์ระหว่าง คนส่งของ กับ พี่เลี้ยงสาวของ "เด็กผี"
เพราะความเจ็บป่วยทางใจ ที่เกรต้า ได้รับ ซึ่งจะถูกเฉลยไปเรื่อยๆ ตลอดเรื่อง ในเส้นเรื่องที่สาม
ทำให้ เกรต้า มีความหวาดระแวงเป็นทุนเดิมอยู่ก่อน ในการสร้างความสัมพันธ์ กับเพื่อนใหม่ แต่ ในสถานะที่ไม่อาจเหลียวหาใคร
มัลค่อม จึงเป็นเหมือนกับ ตัวเลือกเดียว ที่เธอ สมควรจะไว้ใจได้  ชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์แปลกๆ กับเจ้าบ้านเดิม
จึงเริ่มตีสนิท และส่งสายตาหวานให้ เกรต้าเสมอ ซึ่งนั่น เป็นการ ยั่งยุ บราห์ม อย่างยิ่ง...
ความสัมพันธ์ของตัวละคร มีพัฒนาการ ที่ไม่ถือว่า ประหลาด หรือผิดปกติเกินไปนัก เป็นความสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้
ความลื่นไหลของพัฒนาการตัวละคร จึงเป็นอันผ่านไปได้ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจนัก
แต่สิ่งที่ขัดใจ โดยส่วนตัว คือ ความรู้สึกของ เกรต้า ที่มีต่อเหตุการณ์ที่ตัวเองพบภายในบ้าน มันน่าจะสร้างสถาวะความอยาก "หนี" มากกว่าอยู่
และไม่ Make Sens ในแง่สภาพจิตใจพื้นฐานแบบ ชีวิตจริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถึงขั้นเห็นคนทำอาหารมาวางให้ ได้ยินเสียงพูดคุยด้วย แต่กลับไม่ตะหงิดใจว่ามีคนจริงๆอยู่ในบ้าน



เส้นเรื่องที่ 3 : ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวกับ โคล
เกรต้า เป็นตัวละคร ที่ถูกสร้างให้มีปม หนักหนาสาหัสในเรื่องเด็กมาก่อน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เกรต้า แท้ง เพราะโคล สามีเก่าของเธออาละวาด
เธอจึงรู้สึกว่า โคล คือ ตัวปัญหาในชีวิต การจัดการกับความรู้สึก ของผู้หญิงที่มีสถาวะจิตใจแบบ เกรต้า จึงทำได้เพียง "หนี"
และเมื่อ เกรต้า มีมัลค่อม นั่นจึงเป็นเหมือน เส้นทางเลือก เส้นใหม่ ในชีวิต ของ เกรต้า
กลายเป็นว่า หนัง ทำให้ในตอนแรก ผมระแวง "มัลค่อม" มากที่สุด ว่าจะมีส่วนสำคัญต่อบทสรุปของเรื่อง แต่ผิดคาด!!

เมื่อ โคล มาเยือนถึงบ้าน และกระทำบางอย่างที่จะนำไปสู่การเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง นั่นเองจึงเป็นที่มาของ จุดไคลแม๊ก ที่ทำให้ลุ้นตัวเกร็งไปได้ตลอดเรื่องในช่วงท้าย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฉากไล่ล่า ฉากค้นพบห้องลับ และการเปิดเผยปริศนา จัดลำดับได้อย่างเข้าใจง่าย และไม่ซับซ้อนนัก
ประกอบกับ ความซับซ้อนในตัวบ้าน ทำให้น่าติดตามมากยิ่งขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าใครหวังจะทราบ บทสรุป ของเนื้อเรื่อง จากปากคำของใคร ในหนังแล้วละก็.... เลิกหวังไปได้เลย
เพราะสุดท้ายในฉากจบ คุณยังคงมีคำถามในใจต่อไปว่า "บราห์ม" ยังไม่ได้จากไปไหน "ใช่หรือไม่??"

ถือเป็นหนังระดับ B+ ที่ผมแนะนำให้มาดูในโรงเรื่องหนึ่งเลยครับ ไม่งั้นบรรยากาศกระตุกตัวเวลาตกใจ มันจะไม่ได้ อรรถรสนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ


เอาละ ไปพิสูจน์ ความหลอน ความเฮี้ยน และอิทธิปาฏิหาริย์ ที่ไม่มากเกินไป แต่มาลุ้นเอาช่วงท้ายๆของ The Boy ได้ในโรงภาพยนตร์นะครับ...
พบกันใหม่ใน รีวิวเรื่องต่อไป สวัสดีครับบ