[CR] ...ฮิโรชิม่า...กับแผนการเดินทางอันน้อยนิด เป้าหมายคือประตูแดง(กลางน้ำ)

สวัสดีครับ  ผมเริ่มเลยละกัน

      เมื่อประมาณเมษายนปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาศได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ 14 วัน (เต็มโควต้ายกเว้นวีซ่าเลย) ผมมีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับประเทศนี้ อยู่ในไดอารี่ที่ผมเขียน ช่วงวันสองวันมานี้ผมได้เอามาลองอ่าน แล้วก็เปิดๆดูรูปที่ได้ถ่ายไว้ ก็เลยคิดว่า ถ้าเก็บไว้คนเดียวก็คงจะประทับใจคนเดียว ผมเลยอยากเอามาลองแชร์ให้เพื่อนๆได้รับประสบการณ์ที่ผมได้ไปเจอมา เผื่อเป็นแนวทาง กำลังใจให้คนที่อยากไปประเทศญี่ปุ่น มีแรงฮึบเก็บเงินเพื่อเดินทาง... (อาจจะมีหลงๆลืมเรื่องราคาต่างค่าต่างๆบ้าง ผมจึงเลี่ยงจะไม่เขียนเป็นจำนวนตัวเลขนะครับ จะประมาณเอา เพราะว่า ใกล้จะครบหนึ่งปีที่แล้วไปมา)

ตลอดเวลา 14 วันที่ผมได้ไปอยู่นั้น ที่หลักๆ ที่ผมไปคือ จังหวัดโตเกียว จังหวัดไซตะมะ จังหวัดโอะกะยะมะ และจังหวัดฮิโรชิม่า ซึ่งกระทู้นี้ผมจะขอแนะนำวันที่ผมไปฮิโรชิม่า (วันเดย์ทริป)

{{{{{
ผมเคยรีวิวไว้เมื่อปีที่แล้ว เรื่อง โตเกียวไม่มีแผน

http://pantip.com/topic/33590391

(ซึ่งกระผม ทิ้งห่างไว้นานมากก ที่บอกว่าจะเขียน 5 วัน แต่ดันเขียนไว้ 3 วัน แล้วหาย... ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ ถ้าผมมีโอกาศ จะมารีวิวให้ครบจบทริปในโตเกียวนะครับ...)
}}}}}

ถ้ามีภาษาช่วงไหนผิดพลาดประการใด ผมขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ ^^

เรามาเริ่มกันเลย
.
.
.
              ผมอาศัยอยู่กับอาผม ที่ เมือง โอกะยะมา มา 4 วันแล้ว (ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปไหนนะครับ แต่ ทั้ง หิมะ ทั้งลม ทั้งฝน จึงทำให้ไปไหนไม่ได้)  เอาเป็นว่าผมนั่งดูทีวี ดูเขาเล่นเบสบอล จากที่ไม่รู้กฏิกา จนรู้ และเชียร์เป็น หง่อยมาก....... มาต่างประเทศทั้งที..... แล้วจู่ๆ ก็เห็นโฆษณา เขาโปรโมทจังหวัดฮิโรชิม่า ที่มี ประตูวัดแดงๆ อยู่กลางน้ำ ผมเลยถามอาผู้หญิงที่เป็นคนญี่ปุ่น  เขาก็บอกว่าถ้าอยากไป ลองดูวันที่ฝนไม่ตก แล้วจองตั๋วไป ไปคนเดียวนะ เพราะคนอื่นไปทำงานหมด (หวานหมูเพราะเราชอบไปเที่ยวคนเดียววว)  ผมลองเชคในทีวี ผมชอบพยาการณ์อากาศมีที่ญี่ปุ่นมาก ตรงที่ เขาแม่นมากกกกกกก ย้ำว่ามากกกกกก แถมยังบอกช่วงเวลา เช้า กลางวัน เย็นอีกด้วย ทำให้เราสามารถคาดการณ์กิจวัตรของเราได้  เราก็ได้วันที่จะไปคือวันที่ 16 เมษายน ในทีวีบอกว่า ฝนไม่ตก แต่ก็ ไม่มีแดดทั้งวัน โอเครเราเลยเลือก จัดการจองตั๋ว แล้วไปจ่ายตังที่ลอว์ลสัน ปรากฏว่า...



พระเจ้าภาษา ญี่ปุ่นล้วนๆ ไม่มีภาษาอื่นเลย จะขึ้นไหนอะไรยังไง ลงไหน ตึบไปหมด ตอนได้ตั๋วมา
แต่อาผู้หญิงก็มาอ่าน แล้วเขียนไว้ให้ ว่าขึ้นที่ไหน เลยโล่งใจ...

ขอเกริ่นย้อนนะครับ จังหวัดโอกะยะมะ ที่ผมอยู่ จะอยู่ระหว่าง โอซาก้า กับ โอโรชิม่านะครับ ติดทะเล(เขาบอกว่าทะเลหน่ะ) จะมีลมตลอดทั้งปี ช่วงที่ไปผมเจอทุกฤดู... แต่ผมโชคดีตรงที่ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ดอกซากุระร่วงช้า จึงได้ถ่ายรูปแบบเต็มๆ




มาต่อครับ...  รอวันและเวลาจนมาถึงวันที่ 16 เมษา รถออก 7 โมงเช้า ที่ตัวเมือง โอกะยะมะ  ซึ่งมันอยู่ห่างจากเมืองที่ผมอยู่ 5 สถานี  จึงทำให้ วันที่ผมไปนั้น ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4  เพื่อเตรียมตัว แล้วปั่นจักรยานจากบ้านไปสถานีรถไฟ ซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโล ความรู้สึกในตอนนั้นบอกได้เลยว่าหนาวมากกกกกก ปั่นจักรยานในอุณหภูมิประมาณ 7 องศา มีลม ระยะ 3 กิโล ไม่เคยหนาวขนาดนี้มาก่อน หนาวหน้าสั่นไม่หมด ต้องทำเวลาอีก เพราะรถไฟเที่ยวแรกออก ตี 5.45 ปั่นจากมืดๆจนสว่าง พอมาถึง ก็มีคนมารออยู่บ้างแล้ว แล้วก็รอ รถไฟก็มา... แอบตกใจว่า รถไฟมาตรงเวลามากก  นึกว่าจะเฉพาะในเมืองใหญ่ แต่เมืองนอกๆก็ตรงเวลาเช่นกัน (ตรงเวลาจนน่ากลัว)



ด้วยความที่อากาศหนาวมาก ผมจึงรีบขึ้นไปที่รถไฟ เพราะรถไฟที่ญี่ปุ่นเขาจะมีฮีทเตอร์ อุ่นสบายๆ  นั่งมาประมาณนึ่งก็ถึงเมือง โอกะยะมะ  ดีที่สถานีขนส่งใกล้กับสถานีรถไฟ ผมเลยไม่ต้องไปหาอะไรมากพอถึงเวลาเขารถก็ออก (อ่อ ผมลืมบอกไปในข้างต้นผมไปฮิโรชิมาโดยรถบัส)  คนเต็มรถเลย โชคดี ที่เราได้นั่งหน้า คิดว่าได้ดูวิวตลอดทาง แต่ไม่เลย หลับยาววววว... จนรถมาจอด ณ จุดพักรถ ก็จะมีพี่คนขับ มาบอกเราถึงว่า เราถึงไหนแล้ว จอดกี่นาที (จับใจความจากหน้าตาเขา เพราะเขาพูดแต่ภาษาญี่ปุ่น T_T)  แต่ที่ไฮเทคมากคือ พอรถจอดสนิท โชคหน้ารถก็ต่ำลง เพื่อให้ผู้โดยสารลงรถ ไม่ต้องก้าวกระโดดลงรถ (เพราะรถสูงพอสมควร)  และนี่คือหน้าตาที่รถแวะพัก...



ผมว่าสวยดีนะ คล้ายๆปั้มน้ำมันบ้านเรา (แต่ปั้มน้ำมันที่ญี่ปุ่นจะไม่มีห้องน้ำ แต่จะมีร้านค้าเป็นจุดพักรถแบบนี้) พักเข้าห้องน้ำเสร็จ เดินสำรวจ พอถึงเวลา ผมก็ไปที่รถ



หน้าตารถเรากะเป็นแบบนี้หล่ะ  หลังจากนั้นผมก็ไม่นอน ดูทางไปตลอด ครั้งแรกที่ขึ้นรถบัสในญี่ปุ่นตอนกลางวัน ผมสังเกตได้ว่า ทางหลวงเขามีแค่ 2 เลน รถวิ่งไม่ไวมาก ดูแล้วปลอดภัย อีกอย่าง ถนนเขาไม่มีขึ้นเขาแบบบ้านเรา คือพอเจอเขาปั๊ป มีอุโมงค์ลอด ไปทุกเขา ผมว่าน่าจะเอามาใช้ในประเทศเราบ้างท่าจะดี



รถก็ขับมาเรื่อยๆ ผมก็อินกับข้างทาง เพราะอะไรๆก็แปลกไปหมดสำหรับผม ชอบจนไม่อยากจะให้ถึงไวๆ.........จากนั้น จนมาถึงสถานีขนส่งของ ฮิโรชิม่า แบบว่า อยู่ชั้นสอง ของตึกอะไรสักอย่าง พอลงผมรถมา ก็ งงเลย ว่าจะไปทางไหนต่อ ถามคนแถวนั้น เขาก็เลี่ยงจะไม่คุยกับเรา (ต้องบอกก่อนว่าคนญี่ปุ่นเขาจะกลัว คนต่างชาติเข้ามาคุยเพราะเขาไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ ถ้านึกภาพไม่ออก ก็คล้ายๆ กับคนต่างชาติมาถามทางเราในไทยแล้ว เราไม่รู้จะพูดอะไรแหล่ะครับ)  เดินๆลง มาเจอทางออกจนได้...  จากแผนที่ได้เตรียมมาว่าจะไปวัดที่มีประตูอยู่กลางน้ำ ต้องขึ้นรถไฟ ไปจนสุดสาย จากในเมือง พอลงมาถึงก็หาสถานีรถไฟ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ จนมาเจอนี่...



เย้ยยยย>>>  นี่มันรถรางนี่หว่า  อารมณ์ ณ ตอนนั้นของผมคือแบบ ตื่นเต้นมาก ที่จะได้ขึ้นรถราง (เอาตามจริงประเทศไทยเราก็มีนะ แต่ผมเกิดไม่ทันตอนที่เขาใช้กัน)  ดูป้าย มีสถานีที่เราจะไปลง ด้วยความไม่มั่นใจ (จับใจความจากอักษรในแผนที่เพราะไม่มีภาษาอังกฤษบอกเลย) จึงถามคนแถวๆนั้น เขาก็บอกไม่ตรงกัน...  เอาแล้วไง จะสี่โมงเช้าแล้วยังไม่ได้ไปไหนเลย จนมาเจอคนที่เขาคล้ายๆกับคนจัดคิวรถ(มั้ง) เขาก็บอกให้ไปสายนี้ เส้นนี้ คันนี้นะ ผมก็โอเครขึ้นตามเขา
ระบบรถรางของฮิโรชิม่า เขาจะให้เราจ่ายเงินตอนลง และไม่มีทอน  ผมก็นั่งอย่างสบายใจ ดูวิวข้างทางไป จากรถรางที่วิ่งในเมือง พอออกนอกเมือง กลายเปนรถไฟแฮ๊ะ (หรือรถไฟเขาเข้าไปวิ่งในรางที่อยู่ในเมืองหว่า) ประมาณ สี่โมงครึ้งก็ถึงสถานีปลายทาง...  คือผมเป็นคนรอบคอบน้อย (ในตอนนั้นนะ...มั้ง) ดูในแผนว่าพอนั่งรถไฟมาสุดสายปุ๊ป ก็จะถึงวัดเลย  แต่เปล่า !!!!!!



พอมาถึง ไหนหล่ะวัด เดินออกจากสถานีมาเรื่อยๆ เจอท่าเรือ ผมจึงเดินเข้าไปดู... แบบว่า ป้ายประตูแดงชี้ว่าต้องขึ้นเรือนะ พอเห็นแหล่ะ ชอบใจใหญ่ (ไม่คิดว่าจะได้เดินทางทุกพาหนะทางภาคพื้นเลย)



ผมทำการซื้อตั๋ว แล้วรอเรือ ขึ้นข้ามไปยังเกาะ ที่เป็นที่อยู่ของวัด (เอาตามจริงนะครับ ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่าวัดที่ไปชื่อวัดอะไร)
จับจองที่นั่ง เดินๆ สำรวจโดยรอบเรือ... เรือก็ค่อยๆแล่นออกจากแผ่นดิน





!!! ...เรามาถึงช่วงอวดของงงง... !!!
           นี่คือกระเป๋าที่ผมติดตัวมาด้วยในทริปวันนี้ ภายในประกอบด้วยกล้อง DSLR แค่นั้นแหล่ะ  (ที่จริงไม่ต้องเอามาก็ได้เนาะ)  สะพายไว้หน่อยมีไว้อุ่นใจ แก้เขิล><  ที่อยากจะบอกคือ เห็นที่ติดกระเป๋าไหมครับ รูปวันพีช ที่จริงผมเฉยๆนะ น้องชายผมชอบเลยกะจะซื้อไปฝาก ที่ห้อยแบบนี้เพราะผมเห็นที่โตเกียว เวลาเขาสะพายกระเป๋า ห้อยสารพัด ห้อยตุ๊กตาบ้าง การ์ดบ้าง (เคยเจอแปลกๆคือ ห้อยกล่องโมเดลกันดั้ม !!!) ไม่รู้จะห้อยอะไรนักเยอะแยะ ห้อยแบบเยอะมากก เห็นจนชินตา...  แต่เพราะผมเป็นชาวต่างชาติ และห้อยวันพีชนี่แหล่ะ  จึงเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเป็นมิตรกับพวกนักเรียนนักศึกษา  ญี่ปุ่นก็เหมือนบ้านเราที่จะมีเด็กกล้าๆกลัวๆ ที่จะเข้าไปคุยกับฝรั่ง เวลาอยากจะใช้ภาษาอังกฤษ แต่พอเขาเห็นเราเดินอยู่ไกล เห็นสิ่งที่เราห้อยอยู่บนกระเป๋า เขาจะเดินตรงเขามาทักทาย และประโยคแรกที่เขาถามกันคือ ชอบวันพีชหรอ อะไรแบบนี้ ทำให้เราคิดว่า โลกของการ์ตูนนั้น ทำให้เขากล้าที่จะมาคุยกับเราได้เหมือนกัน ก็พูดถูกบ้าง ผิดบ้าง ตามประสา (คือผมก็ไม่ได้เก่งมาก แต่พอสื่อสารรู้เรื่อง แล้วก็อยากจะคุยอยู่แล้วด้วย)...



แล่นมาสักครูหนึ่งก็เห็น เป้าหมายของผมอยู่ไกลๆ นู้นๆ...... หลายคนอาจจะสงสัยว่าประตูแดงๆที่ผมหมายถึง มันเป็นแบบไหน เห็นเกริ่นมาจังเลย

มันก็เป็นแบบนี้ไงครับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


(แล้วผมจะ จุด ลงมายาวเพื่ออะไร ???)



ไว้ผมมาต่อนะครับ ตอนนี้ผมง่วงมากกก  ^^

ปล. ผมเป็นนักเดินทาง  ถ้าผมอยากจะฝาก เฟสบุค กับ IG จะผิดอะไรไหมอะครับ
(ขอผู้รู้ชีแนะด้วยครับ)
ชื่อสินค้า:   นักเดินทาง ถ้าคุณร็แล้วจะอึ้งว่าผมเดินทางบ่อยแค่ไหน
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่