มดยักษ์ : พลังความสำเร็จที่ขยายใหญ่ขึ้นตามขนาดของหัวใจ

กระทู้ข่าว
มด...เป็นสัตว์ที่สามารถยกของที่หนักมากกว่าตัวได้ถึงห้าสิบเท่า
แต่...คนเราอาจจะไม่เคยคิดว่าเรามีศักยภาพ มีความคิด มีความรับผิดชอบอะไรได้มากเท่าไหร่?

ในวันนี้...หากเราเทียบศักยภาพของเราเป็นพลังงานของมดตัวหนึ่ง
แต่...ความแตกต่างของคนเราคือ คนเราสามารถเติบโต แข็งแรงขึ้น ใช้ศักยภาพมากขึ้น
โดยที่ยังไม่มีใครสรุปได้ว่า ขอบเขตความสามารถของมนุษย์นั้นถูกจำกัดไว้ในระดับใด
เพราะมนุษย์เราก็สามารถออกไปท่องอวกาศที่อยู่นอกเหนือดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกนี้แล้ว
ที่น่าแปลกคือ...ใครบางคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ยังมีความรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงเพื่อเผชิญปัญหาเล็กๆเท่านั้น

ในวันที่ผมกำลังท้อแท้ ... หมดกำลังใจ ... รู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งให้อยู่บนโลกใบนี้เพียงคนเดียว
แม่ที่ทำงานอยู่ไกลถึงต่างประเทศ ... พ่อที่วุ่นวายกับงานมาตลอดชีวิตจนดูเหมือนไม่มีเวลาให้เรา
พี่น้องที่ต่างก็ต้องดำเนินชีวิตของตัวเอง ... ไม่ได้มีเวลามาอยู่ด้วยกันอย่างสนุกสนานเป้นเวลานานๆเหมือนตอนเด็กๆ
ครูที่ดีกับเรา ... ก็กำลังตั้งใจทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติอยู่ในรั้วสถานศึกษา
ที่กำลังปลูกต้นกล้าที่จะเจริญเติบโตเป้นส่วนสำคัญของชาติรุ่นต่อๆไป
เพื่อนที่เคยหยอกล้อเล่นกันสนุกสนาน ... กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อสร้างฐานะมารองรับลูกตัวน้อยๆที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน
คนที่เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา ... พอไม่มีเรื่องที่ขัดแย้งกับเรา เขาก็ไปหาเรื่องขัดแย้งกับคนอื่นเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

เค้าบอกว่า...เมื่อคนเรากำลังถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ
ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา ... จะเป็นองค์ประกอบชั้นดีที่ช่วยตัดสินใจได้อย่างดีเยี่ยม
คนรอบข้างของผม ... มักจะพูดว่าตัวผมเองมีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจมากมาย
แต่ตัวผมเอง ... รู้สึกว่ามันว่างเปล่า ... มันไม่มีอะไรอยู่เลย
ถ้าเปรียบเทียบหัวใจของผมในเวลานี้ ... มันก็เหมือนกับห้องเช่าราคาถูก ที่เราเพิ่งมาเช่าอยู่ใหม่
มันเป็นห้องโล่งๆ ... ไม่มีเตียง ... ไม่มีโต๊ะ ... ไม่มีตู้ ... ไม่มีอะไรเลย
ทำให้ผมได้คิดทบทวนอีกครั้ง ... เพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ... ว่าในห้องหัวใจของผม
มันว่างเปล่าจริงๆ .... หรือเป็นตัวผมเอง .. ที่มองไม่เห็นมัน ... แล้วจะเดินชนล้มเข้าสักวันข้างหน้า

เค้าบอกว่า ... ถ้าเราจะพิจารณาอะไรในหัวใจของเรา
... ให้ย้อนกลับไปในวันที่เราได้เกิดมาบนโลกใบนี้
แน่นอน ... วันที่ผมเกิดมา ... ผมยังจำอะไรไม่ได้
เพราะฉะนั้น ... ผมจึงเริ่มย้อนคิดไปถึง ... ตอนที่ผมเริ่มจำความได้

นับตั้งแต่ผมจำความได้...บ้านของผมเป็นโรงงานรีไซเคิลขยะ
ซึ่งส่วนที่ผมเรียกว่าบ้าน
เป็นส่วนหนึ่งของโรงงานที่มีกำแพงกั้นอยู่เท่านั้น

เพราะฉะนั้น....ทุกครั้งที่เครื่องจักรทำงาน
ผมในวัยเด็ก..จะรู้สึกรำคาญ....จนต้องหนีออกไปเล่นนอกบ้าน

โรงงานของครอบครัวผม ด้านหลังจะเป็นบ้านพักคนงานจำนวนมาก
ประมาณ 2-3 ร้อยคน
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานต่างด้าว

ผมชอบหลบไปเล่นที่นั้น
เพราะมันอยู่ในมุมที่ไม่ถูกรบกวนจากเสียงเครื่องจักรในโรงงานมากนัก
ผมก็สงสัยเหมือนกัน .. ว่าพ่อผมออกแบบบ้านยังไง
ที่นอนตัวเองเสียงดัง .... นอนแทบไม่ได้
แต่ที่นอนคนงาน กลับเงียบสงบ ... นอนหลับสบาย
แล้วก็มีอะไรให้เล่นในสายตาเด็กเยอะกว่า
ที่สำคัญ...แรงงานที่มาอยู่ที่นี่
ส่วนใหญ่จะมากันเป็นครอบครัว
มันทำให้มีเด็กในวัยเดียวกัน
...มาเป็นเพื่อนเล่นกับผมด้วย

เด็กเล็กๆ...จะเล่นกับผมได้ไม่มีปัญหา
แต่เด็กที่โตขึ้นมาหน่อย...จะไม่ค่อยกล้าเล่นกับผม
เพราะผมเป็นลูกของคนที่พวกเขาเรียกว่าพ่อเลี้ยง...พวกเขาเกรงใจพ่อผมจนไม่กล้าเล่นกับผม
คงไม่ต้องบอกนะ...ว่าพ่อผมดุขนาดไหน

ตอนนั้น...ผมอายุประมาณ 5 ขวบ
หมาที่พ่อผมเลี้ยงไว้...หลบไปคลอดลูกในป่าหลังบ้าน
ผมไปพบเข้า...แต่ยังไม่บอกใคร
เพราะกลัวเด็กๆคนอื่นจะมาแกล้งลูกหมา
แล้วก็กลัวพ่อจะแบ่งลูกหมาไปให้คนอื่น
ผมอยากเห็นมันเกาะกลุ่มกันน่ารักๆแบบนี้

ผมเทียวเอาข้าวมาให้พวกมันทั้งแม่ทั้งลูก
พอมันเริ่มโตพอที่ผมจะจำลักษณะของแต่ละตัวได้
... ผมก็ถือวิสาสะตั้งชื่อให้พวกมันโดยไม่บอกล่วงหน้า
..... ได้แก่...มะเฟือง...มะไฟ...มะนาว...มะยม...มะม่วง...และ...มะพร้าว
ส่วนตัวแม่มันชื่อโบ พ่อผมตั้งชื่อให้มัน
ตั้งแต่มันมาติดหมาตัวผู้ที่พ่อผมเลี้ยงไว้แต่แรก คือเจ้าบิ๊ก

เย็นวันหนึ่ง .. ผมกลับจากโรงเรียนอนุบาล
ผมก็รีบจัดแจงแอบเอาข้าวมาให้มันตามปกติ
ผมเห็นลูกหมานอนทับกันไปมาอยู่ในโพรงหญ้าที่อยู่ประจำของมัน
โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าโบ แม่ของพวกมันหายไปไหน

ผมนำถาดที่ผสมเศษอาหารเข้ากับอาหารเม็ดที่ผ่านการบดจากผมเรียบร้อย
เพื่อให้มันทานง่ายสำหรับลูกหมา มาแบ่งให้มันทั้ง 6 ตัว ตัวละเท่าๆกัน
ผมนั่งมองพวกมันกินข้าวอย่างมีความสุข

จนเวลาเกือบสองทุ่ม ผมต้องกลับแล้ว
เพราะโดยปกติครอบครัวผมต้องทานข้าวกันพร้อมหน้าเวลาสองทุ่ม
... ถ้าผมหายไป รับรองผมต้องโดนตีหลังลายแน่ๆ

ผมก็เดินออกมาจากที่ตรงนั้น ... ถือถาดข้าวหมาสะบัดๆ
เพื่อจัดการเอาเศษข้าวเม็ดเล็กๆออกไปตามประสาเด็ก

ผมเดินกลับมาที่บ้าน...รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เพราะเวลานี้ถ้าพ่อเห็นผมยังใส่ชุดนักเรียนอยู่
...รับรองผมต้องโดนตีก้นประจานต่อหน้าคนงานหลายร้อยคน
... ซึ่งถ้าหากว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น..ผมจะมีระดับความอายมากกว่าความเจ็บปวดแน่นอน

เมื่อผมจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ... เห็นว่าที่โต๊ะอาหารยังไม่มีใคร ...
ผมจึงเดินเข้าไปในครัว...เห็นแม่กำลังแกะถุงเย็นตาโฟเจ้าที่พ่อชอบซื้อประจำจากแถวๆหน้าอำเภออยู่
...ผมจึงเดินเข้าไปหาแม่

แม่ถามผมว่า...ช่วงนี้เห็นเจ้าโบบ้างไหม
แม่บอกว่าพ่อกำลังให้คนงาน 2-3 คนช่วยกันตามหา
เพราะมันท้องแก่ใกล้คลอด ไม่รู้มันไปคลอดลูกไว้ที่ไหนหรือยัง
...กลัวมันจะเป็นอันตราย...เพราะเดิมทีเจ้าโบเป็นหมาจรจัด
... ไม่ได้ถูกเลี้ยงมานานเหมือนเจ้าบิ๊กของเรา
มันอาจจะไปคลอดลูกในที่ที่ไม่เหมาะสม ... ซึ่งจะไม่ดีกับลูกๆของมันที่เพิ่งเกิดมา

ผมยิ้มมุมปากแล้วตอบไปว่าไม่รู้...ทั้งๆที่แอบดีใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นคนปกป้องลูกหมาน้อยๆให้ปลอดภัย

แม่บอกว่า ... ช่วงนี้อาหารเม็ดของเจ้าบิ๊กหายไปเยอะผิดปกติ
รวมทั้งเศษอาหารจากโต๊ะอาหารของพวกเราที่แม่เก็บไว้ให้เจ้าบิ๊กก็หายไปด้วย
...แม่กำลังสงสัยว่าเจ้าโบมันต้องแอบมากิน...แต่เราไม่รู้ว่ามันคลอดหรือยัง
...ถ้ามันคลอดแล้ว...กลัวว่าลูกหมาน้อยๆที่เพิ่งเกิดจะอด

ผมนึกขึ้นได้...ตายห่าละ

ถาดอาหารที่ผมใส่อาหารไปให้ลูกหมาไม่ได้ถูกวางอยู่ที่เดิม
... ถ้าแม่ผิดสังเกตุ ... ผมต้องโดนตีแน่ๆ ...
แล้วถ้าพ่อเห็นแม่ตีเรา ... พ่อก็ต้องคาดคั้นเอาความจริงทั้งหมด
ซึ่งมันก็อาจจะทำให้ความลับเรื่องลูกหมาที่เราเก็บเงียบไว้มาหลายวันถูกเปิดเผยออกมาจนได้
...ผมนิ่งและพยายามนึกว่าผมเอาถาดไปวางลืมไว้ที่ไหน

คิดว่าต้องเป็นขากลับแน่ๆ...เพราะตอนที่จะกลับมาจากที่อยู่ของลูกหมา
ผมยังถือถาดสะบัดเศษข้าวเม็ดเล็กเม็ดน้อยอยู่เลย

ผมบอกแม่ว่า...งั้นเดี๋ยวจะไปดูน้องก่อน
ตอนนั้นผมมีน้องชายตัวเล็กๆที่อายุได้ขวบนึง
เพื่อที่จะปลีกตัวออกจากแม่ ... ไปตามหาถาดข้าวหมา
แล้วเอามันกลับไปวางไว้ที่เดิม

แม่ก็บอกว่า ... เอ้อ ... แม่ลืมให้น้องกินข้าว
ซีรีแลคแม่ซื้อมาแล้ว วางอยู่บนโต๊ะบัญชี
เสียบปลั๊กน้ำร้อนแล้วชงซีรีแลคให้น้องกินก่อน
พ่อไปส่งของต่างจังหวัด...ตอนนี้กำลังกลับ
คงใกล้ถึงบ้านแล้ว...จัดการอะไรเรียบร้อย
แล้วเดี๋ยวพ่อกลับมาจะได้กินข้าวเลย

ที่บ้านผมในส่วนห้องโถง
กลางห้องจะมีโต๊ะรับแขกที่เป็นหินอ่อน
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพ่อคิดยังไงที่เอาหินอ่อนมาไว้ในบ้าน
... เห็นบ้านอื่นในบ้านจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้
ส่วนหินอ่อนจะเอาไว้นอกบ้านหรือไม่ก็ในสวน

ถัดจากโต๊ะหินอ่อนก็จะมีตู้โชว์
ซึ่งชั้นบนสุดก็จะมีรูปในหลวงกับพระราชินีในกรอบไม้สัก
แล้วอีกด้านหนึ่งก็จะมีโต๊ะสำนักงานที่มีลิ้นชักเก็บเอกสารล็อคกุญแจได้
ซึ่งบ้านผมเรียกกันว่าโต๊ะบัญชี

ซึ่งติดๆกับโต๊ะบัญชีก็จะมีตู้เซฟขนาดใหญ่
ใหญ่กว่าตัวผมสองสามเท่า...พ่อจะชอบพูดคุยกับพวกคนงานอย่างภูมิใจว่า
.. พ่อมีตู้เซฟกันไฟได้...ถึงขนาดว่าไฟไหม้บ้าน ... เงินที่อยู่ในเซฟจะไม่มีทางแห้งกรอบเลย

บ้านผมจะเป็นเหมือนบ้านที่ทำการค้าขายทั่วไป
...คือเห็นคุณค่าแบงค์ยี่สิบ และเหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญบาท
มากกว่าแบงค์ห้าร้อยหรือแบงค์พัน
...เพราะเราต้องเอาไว้ทอนลูกค้า

ดีที่ว่าพ่อไม่บอกรหัสตู้เซฟให้ผมรู้ ไม่งั้นแบงค์ย่อยๆกับเหรียญเล็กๆ
ได้ย้ายที่อยู่มาอยู่ในออมสินรูปจั่นเจาของผมแน่ๆ ... เพราะถ้าผมเปิดเซฟได้
... ผมไม่กล้าหยิบแบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย หรือแบงค์พันหรอก
กลัว ... กลัวพ่อมานับแล้วรู้ว่าเงินหาย ...จะโดนสอบสวนกันทั้งบ้าน

สำหรับตัวผมเอง...จั่นเจาคือองครักษ์พิทักษ์เงินเหรียญของผม
ส่วนใหญ่ในออมสินจั่นเจาของผมจะมีแต่เหรียญสิบ เพราะผมได้เงินไปโรงเรียนวันละสิบบาท

ผมได้เงินวันจันทร์ ... ผมก็จะกินห้าบาท ...เหลือห้าบาท
... พอได้เงินสิบบาทวันอังคาร ... ผมก็จะเอาเหรียญสิบมาให้จั่นเจาเก็บรักษาไว้
ส่วนตัวผมก็เอาเงินห้าบาทที่เหลือจากวันจันทร์
ที่เอายางรัดไว้ในเสื้อกันเปื้อนของเด็กอนุบาลไปซื้อขนมกินในวันอังคาร

ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จึงทำให้ผมมีแต่เหรียญสิบอยู่ที่จั่นเจา
แม่ไม่เคยให้เหรียญอื่น เพราะแม่เคยให้เหรียญห้าสองเหรียญ
... แต่ผมร้องไห้งอแง ... ไม่ยอม... จะเอาเหรียญสอดไส้

บางวันแม่ไม่ได้ให้เงินไปโรงเรียน...วันถัดมาแม่ก็จะให้ 20 บาท
เป็นแบงค์สีเขียว ผมก็จะขอแลกกับพ่อที่โต๊ะบัญชี
เป็นเหรียญสอดไส้สองเหรียญ แล้วเอาไปมอบให้ท่านจั่นเจาไว้เหรียญหนึ่ง
...ก่อนที่ตัวเองจะเอาอีกเหรียญนึงใส่ไว้ในกระเป่ากางเกงเด็กอนุบาลสีแดงแจ๋แล้วไปโรงเรียน

เคยมีช่วงที่เศรษฐกิจทางบ้านไม่ดี
แม่ไม่มีเงินให้ไปโรงเรียนติดต่อกันหลายวัน
ผมร้องไห้งอแง...ไม่ใช่อยากได้ตัง...แต่กลัวไม่ได้ส่งเงินให้จั่นเจา

ผมเดินไปที่โต๊ะบัญชี ... เห็นซีรีแลควางอยู่กับขนมหลายถุง
หยิบมาแต่ซีรีแลค...ไม่กล้าหยิบขนม
เพราะไม่รู้ว่าซื้อมาให้เราหรือซื้อมาไหว้เจ้าที่
เพราะถ้าเป็นของที่ซื้อมาไหว้เจ้าที่ ... แล้วผมดันเอามากินซะ
... รับรองพ่อโวยวายเสียงดัง ... แล้วก็จะหงุดหงิดใส่ผมไปหลายวันแน่นอน

แต่ขณะที่ผมหยิบซีรีแลคแล้วกำลังจะเดินไปเสียบน้ำร้อน
... เท้าผมก็สะดุด ...แก๊ง... เอาล่ะสิ

แย่แน่ๆ

ถาดข้าวหมาที่ผมลืมไว้ ... อยู่นี่เอง
มันถึงเวลาที่ผมต้องเลือก
...ระหว่างจัดการเรื่องซีรีแลคให้น้อง
...กับเอาถาดข้าวหมาไปไว้ที่ประจำของมัน

ถ้าคุณเป็นเด็กห้าขวบ...คุณจะเลือกอะไร?

ผมในวัยห้าควบก็ต้องคิดอย่างรวดเร็ว
ถ้าผมเอาถาดข้าวหมาไปเก็บ มือผมก็ต้องเปื้อนเศษข้าวหมา
กลับมาชงซีรีแลคให้น้อง เกิดน้องท้องเสียขึ้นมา เป็นเรื่องใหญ่อีก
ทำไงดีวะ...?

...เริ่มมีความคิดวางแผน

ผมก็เลยเดินเอาถุงซีรีแลคไปวางข้างกระติกน้ำร้อนยี่ห้อ Sharp
ซึ่งความสูงของกระติกน้ำร้อนถึงระดับสะดือผมเลยทีเดียว ... คุณคงคิดว่าผมตัวเล็กต่างหาก

ผมจัดการเสียบน้ำร้อน ... หลังจากนั้นเดินมาที่ถาดข้าวหมา
หยิบถาดข้าวหมาเอาไปวางที่ประจำของมัน ซึ่งอยู่หน้าบ้าน
... แต่จุดนั้นสามารถมองเห็นได้จากห้องครัว

ขณะที่ผมวางถาดข้าวหมาอย่างเบามือ
เพราะกลัวมันจะมีเสียงดังขึ้นมาแล้วแม่หันมาดู
...แต่ว่า...แม่กำลังจะหันมาพอดี...เอาไงดีวะ

วินาทีนั้น...สมองผมกำลังฉายภาพแม่คว้าก้านมะยม
...จากต้นมะยมที่อยู่ข้างห้องครัวออกมาเป็นกำๆ
แล้วรูดใบทิ้ง....พรืด
นึกแล้วแสบตูดเลยทีเดียว

ผมคิดอะไรไม่ออก...ยอมพลีชีพ
แกล้งล้ม...เอาตัวคลุกฝุ่น...ร้องง๊ากกกก
แม่หันมาดู...ตะโกนด่า...ไปทำอะไรตรงนั้นวะ
...กูบอกให้ชงซีรีแลคให้น้อง...ดูซิ...เปื้อนหมดแล้ว

...ไปๆ ไปล้างมือ...แล้วรีบไปชงซีรีแลคป้อนน้อง...ไม่งั้นจะโดนก้านมะยม

เป็นไงล่ะ...สำเร็จ...เป็นไปตามที่วางแผนไว้แต่แรกเป๊ะ
ผมสามารถเอาถาดข้าวหมามาวางที่เดิม
ได้ล้างมือให้สะอาด...น้องชายไม่ต้องท้องเสีย
แถมแม่ไม่สงสัยในสิ่งที่ผมเก็บเป็นความลับอีกต่างหาก

ผมยิ้มหน้าบาน...เดินยืดอกภูมิใจ
ราวกับสายลับของจูล่งในสงครามสามก๊กเลยทีเดียว

เดินไปล้างมือข้างๆแม่โดยเก็บความลับไว้ได้
มันช่างตื่นเต้นจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่