ความหลังริมคลองเปรม
ปลอดภัยไว้ก่อน
" วชิรพักตร์ "
เมื่อนานมาแล้ว ก็เห็นจะต้องขึ้นต้นอย่างนี้ เพราะเป็นเรื่องเล่าความหลัง ของคนที่ทางราชการไม่เรียกระดมพลอีกแล้วซึ่งเขามีคำนิยามว่า เป็นคนที่ชอบของขม ชมเด็กสวย ช่วยกุศล และ บ่นความหลัง นั่นแหละ
นานมาแล้วเคยมีข้อเขียนในนิตยสารทหารสื่อสารนี้ ในเรื่องอะไรก็จำไม่ได้ มีความทำนองว่า ทหารสื่อสารนั้นไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ก็ไม่ห่างไกลจากกัน เพราะจะต้องได้ยินเสียงกันอยู่เสมอ ซึ่งเป็นความจริงแท้แน่นอนที่สุด ทหารสื่อสารท่านที่อาวุโส (คือแก่) กว่าผมมาก ๆ ที่ท่านได้ผ่านสงครามอินโดจีน และสงครามมหาเอเซียบูรพามาแล้ว ท่านเล่าว่า เครื่องรับส่งวิทยุ รส.๕ ที่ผลิตด้วยมือของทหารสื่อสารนั้น ถึงคราวอารมณ์ดี สามารถจะส่งจากสนามรบให้กรุงเทพรับฟังก็ยังได้ ความข้อนี้ถ้าผมจำผิดขออภัยด้วย เพราะเลือดสีม่วงของผมมันเข้มข้น ใครสรรเสริญทหารสื่อสารละก็หูผึ่งคอยจำเอาไว้ ถ้าใครนินทาก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียยังงั้นแหละ
ดังนั้นทหารสื่อสาร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในแผ่นดินไทย จึงย่อมจะได้ยินเสียงของเพื่อนอยู่เสมอ ตลอดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งสมัยเมื่อ ๓๖ ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังจะได้เห็นหน้าค่าตากันอีกด้วย ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๗ ขาวดำ ซึ่งท่านที่อ่านข่าวทั้งชายและหญิงนั้น เป็นทหารสื่อสารล้วน ๆ ในขณะที่บันทึกนี้ หลายท่านได้เกษียณอายุไปแล้ว แต่อีกหลายท่านที่ยังคงรับราชการอยู่ ก็เป็นนายพลกันเป็นแถว น่าเสียดายจริง ๆ ที่ทหารสื่อสารได้หายหน้าออกไปจากจอโทรทัศน์หมดแล้ว ถึงขนาดที่ต้องให้สุภาพสตรีระดับนางงาม ออกมาอ่านแถลงการณ์ก็มี เลยทำให้เรื่องที่ควรจะขึงขังกลายเป็นเรื่องขำขันไป
กลับมาเรื่องความหลังอีกที สมัยที่ว่านั้นถ้าใครมาเดินถามว่า กรมการทหารสื่อสาร อยู่ทางไหน ก็ชี้ไปที่เสาอากาศที่สูงที่สุดสองต้น ว่านั่นแหละสื่อสารละ ทั้งนี้ก็เพราะยังไม่มีการตั้งเสาอากาศกันให้ดาดดื่นเหมือนเดี๋ยวนี้ มีอยู่แต่หอสูงของกรมป้องกันต่อสู้อากาศยาน ที่สี่แยกเกียกกายหน่วยเดียวที่พอจะมองเห็นเสาธงบนยอดได้
เดิมทีทหารสื่อสารก็มีแต่สถานีวิทยุสนาม สำหรับติดต่อรับส่งข่าวกันเองประจำอยู่ตาม มณฑลทหารบก เท่านั้น ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้สิ้นสุดยุติลงแล้ว นายทหารสื่อสารหลายท่านซึ่งมี พ.อ.สาลี่ ปาละกุล เป็นหัวหน้าทีม ได้ลงทุนลงแรงสร้างเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงชุดแรกขึ้น เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๙๐ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสถานีวิทยุกระจายเสียงทดลอง จส. ของกรมจเรทหารสื่อสาร
ต่อมากรมจเรทหารสื่อสาร ได้เปลี่ยนเป็นกรมการทหารสิ่สาร กิจการวิทยุกระจายเสียง ได้แยกตัวออกเป็นกองหนึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ พ.อ.การุณ เก่งระดมยิง สถานีวิทยุ จส.จึงก้าวหน้าไป เป็นสถานีวิทยุแห่งแรกของกองทัพบก และเป็นสถานีที่สามของประเทศไทย ถัดจากสถานีวิทยุของกรมไปรษณีย์โทรเลข และกรมโฆษณาการ ซึ่งได้เปลี่ยนเป็นกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน
พอถึง พ.ศ.๒๔๙๘ ทหารสื่อสารได้ตั้งสถานีวิทยุประจำถิ่นขึ้น สำหรับติดต่อราชการ ประจำอยู่ที่ ภาคทหารบก มณฑลทหารบก และจังหวัดทหารบก กับหน่วยอิสสระทั่วประเทศแล้ว จึงได้เริ่มจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง คู่กับสถานีวิทยุประจำถิ่น โดยเครื่องส่งที่สร้างขึ้นเองแทบทั้งสิ้น เรียกชื่อว่าสถานีวิทยุกระจายเสียงทดลอง วปถ. จนถึง พ.ศ.๒๕๐๖ ก็มีสถานีอยู่ในภาคเหนือ ๕ แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๔ แห่ง ภาคใต้ ๔ แห่ง และภาคกลาง ๓ แห่ง จึงมีเสาอากาศเพิ่มขึ้น ในกรมการทหารสื่อสารอีกหลายต้น จนมองดูเกลื่อนไปหมด เรียกว่าเวลาฝนตกฟ้าร้องก็ไม่ต้องสะดุ้งว่าจะโดนฟ้าผ่าแน่ ไม่ว่าจะได้สาบานไว้ที่ไหนบ้างก็ตาม
เสาอากาศดั้งเดิมของสถานีวิทยุ จส. เป็นเสาที่มีฐานใหญ่สี่เหลี่ยมจตุรัสสูงประมาณ ๔๐ เมตร ๒ ต้น ตั้งอยู่หลังอาคารสถานีต้นหนึ่ง และอีกต้นหนึ่งอยู่ใกล้ห้องเครื่องส่งข้าง กองการฝึกเจ้าหน้าที่พิเศษ ซึ่งปัจจุบันได้รื้อทิ้ง และใช้พื้นที่สร้างพระอนุสาวรีย์ พล.อ.กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสาทั้งสองนี้ในภายหลังได้ต่อเติมให้สูงขึ้นไปอีกต้นละ ๒๘ เมตร เป็นเสาสามเหลี่ยม เล็ก ๆ จึงต้องมีสายรั้งสามมุมเรียกว่าสายอะไรก็ไม่ทราบ รวมทั้งเสาอากาศอื่น ๆ ที่ตั้งขึ้นภายหลังก็เป็นเสาแบบนี้ทั้งสิ้น จึงมีลวดสลิงยึดโยงเสาระเกะระกะไปทั่วทั้งกรมการทหารสื่อสาร
สายลวดยึดเสาอากาศนี้จะต้องตรวจสอบให้ตึงเท่ากันทั้งสามมุม จึงจะสามารถยึดเสาอากาศให้ตั้งตรงอยู่ได้ ผมเคยเห็นสถานีวิทยุ จส.ตั้งเสาอากาศใหม่ทางด้านกองโรงเรียนนายสิบของผม ซึ่งอยู่ตรงข้ามคูน้ำหน้าสถานี ตอนเย็นเลิกงานผมเดินกลับบ้านก็แหงนมอง เห็นช่างเสาอากาศซึ่งเป็นลูกจ้างสองสามคนโหนอยู่บนยอด เพื่อต่อเสาอากาศท่อนสั้น ๆ ขึ้นไปแต่ยังไม่ถึงปลายสุด วันนั้นฝนกำลังจะตกมีลมพัดแรง มองดูโงนเงนน่ากลัว ยังคิดว่าทำไมเขาไม่รีบลงมาเสีย เขาคงจะขันลวดสลิงท่อนนั้น ให้ยึดอยู่อย่างแน่นหนาเสียก่อน
ครั้นพอเช้าวันรุ่งขึ้นไปทำงาน ก็ปรากฏว่าเสาต้นที่ยังไม่สำเร็จนั้น ได้โค่นลงมาปักเอาโรงนอนของกองร้อยโรงเรียนนายสิบหลังคาพังเสียแล้ว เคราะห์ยังดีที่ไม่โดนคนที่นอนบนโรงนั้น คงเป็นเพราะเมื่อวานช่างรีบลงมาเสียก่อน เสายังไม่มั่นคงพอ โดนลมฝนกระหน่ำก็เลยทนไม่ไหว
เมื่อผมยังไม่ได้เป็นนายทหาร ได้เคยเห็นสายยึดเสาอากาศ ต้นที่อยู่ข้างห้องเครื่องส่งเส้นหนึ่ง ขาดตกลงมาพาดสายไฟแรงสูง ที่เดินขนานกับถนนตรงจากกองรักษาการณ์ มายังหน้ากองบัญชาการกรม ปลายสายอยู่ในสนามฟุตบอล ตั้งแต่ตอนกลางคืนไม่มีใครกล้าเดินผ่าน ต้องปิดการจารจรช่องทางหนึ่ง พอรุ่งเช้าผู้ช่วยนายทหารเวร ซึ่งมีความรู้ช่างซ่อมวิทยุก็เข้าไปตรวจสอบ เขาเดินจับสายลวดสลิงด้านที่ตกอยู่ในสนามฟุตบอลเรื่อยมาจนถึงริมถนน คงจะแน่ใจว่าไม่มีกระแสไฟผ่านเส้นลวดแน่ พอข้ามลูกถ้วยที่คั่นอยู่ก็ดิ้นพราดลงกลางถนน มีประกายไฟแลบที่ ศีรษะและส้นเท้า เพื่อนของผมที่เป็นเสมียนเวรอยู่ในขณะนั้นได้สติ คว้าไม้ยาวจากไหนก็ไม่รู้ วิ่งไปตวัดสายลวดออกจากตัวผู้รับเคราะห์ จึงรอดความตายไปได้ แต่จะรักษากันอย่างไรต่อไปก็ลืมเสียแล้ว
นั่นเป็นอันตรายอย่างหนึ่งของสายลวดยึดเสาอากาศ อันตรายอีกอย่างหนึ่งก็คือสายยึดเส้นล่างที่สุดจะอยู่ต่ำเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเวลาข้ามถนน บางทีผู้สร้างลืมวัดระยะสูงของ รถยนต์ ที่จะแล่นผ่าน เช่นจุดที่อยู่ข้างพิพิธภัณฑ์ทหารสื่อสาร เขาขุดหลุมชิดกับขอบทางเท้าด้านใน ผมมองดูแล้วเห็นว่าลวดเส้นล่างเกะกะถนนที่จะไปโรงอาหารแน่ ก็ไม่รู้จะพูดกับใคร พอดีเป็นนายทหารเวรผู้ใหญ่ จึงเข้าไปรายงานกับหัวหน้ากองว่าน่าจะเกิดอันตรายได้ ขณะนั้นยังไม่ได้ยกเสาอากาศขึ้นตั้ง ท่านจึงสั่งให้ช่างเลื่อนหลุมสำหรับยึดลวดสลิง เข้าไปใกล้ตัวอาคารมากขึ้น สายลวดเส้นล่างเมื่อผ่านถนนจึงสูงขึ้นกว่าเดิม
ในครั้งนั้นผมก็เลยถือโอกาสเสนอ ให้ทำเครื่องหมายบอกความสูงของลวดยึดเสาอากาศ ให้ผู้ที่จะขับรถลอดได้ทราบ ท่านก็กรุณาสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำตามที่ผมได้เสนอแนะ แต่เมื่อผมไปตรวจในการเข้าเวรครั้งหลัง ปรากฎว่าเขาไม่ยักบอกความสูง เพียงแต่ใช้สังกะสีทาสีขาวสลับแดงห้อยไว้เท่านั้น และไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่คิดอย่างไร เขาจึงได้ติดแผ่นสังกะสีไว้บนเส้นลวด สายที่อยู่ข้างบนสุดแทนที่จะเป็นเส้นต่ำสุด ผมจึงต้องโผล่เข้าไปเรียนกับหัวหน้ากองอีกครั้ง ให้ท่านช่วยแก้ไข และสังกะสีแผ่นนั้นจะได้ซ่อมสีให้เห็นชัดเจน อยู่จนถึงปัจจุบันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ในจุดที่ฝังหลักคอนกรีตเพื่อคล้องสายลวดยึดเสาอากาศนี้ บางทีก็อยู่ในที่ลับตา บางทีก็อยู่ริมถนน บางแห่งก็อยู่ในสนามบาสเกตบอล หรือสนามฟุตบอล แต่เดิมก็มีรั้วไม้กั้นล้อมรอบ และทาสีขาวสลับแดงให้เห็นชัดเจน จะได้ไม่เดินสะดุดหรือวิ่งผ่านให้ลวดบาดคอเอาได้ แต่เมื่อทำแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ตลอดกาล โดยไม่ได้ดูแลซ่อมแซม ผมเห็นแล้วก็ไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจท่านหัวหน้ากองเต็มที บางแห่งเพียงแต่สีตก แต่บางแห่งรั้วไม้ก็ผุพังไปตามกาลเวลา อาจทำให้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน
แต่เดี๋ยวนี้เสาอากาศต้นหลังสุดของกองการสื่อสาร ซึ่งเป็นเสาที่สูงที่สุดของกรมการทหารสื่อสาร และมีความสำคัญมาก เพราะติดตั้งสายอากาศ สำหรับติดต่อกับหน่วยในกองทัพบก ทั่วประเทศ ก็สร้างแบบฐานใหญ่ไม่ต้องมีสายยึดโยงแล้ว จึงมีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น
เมื่อว่ากันถึงความปลอดภัย เด็กนักเรียนในกรมการทหารสื่อสาร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรเป็นห่วง เพราะเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ในขณะที่นักเรียนกำลังข้ามถนน หน้าช่องทาง ๑ ถนนพระราม ๕ และช่องทาง ๒ ถนนทหาร มาแล้ว จริงอยู่เรามีการจัดทหารไว้คอยช่วยห้ามรถ เวลา นักเรียนจะข้ามถนน แต่เท่าที่เคยได้เห็นมาเป็นเวลานาน เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปัจจุบันเรียกว่า อส.จร.นั้นรู้สึกว่าจะทำงานโดยไม่มีความรู้เรื่องกฎจราจร เช่นวิธีห้ามรถ วิธีโบกมือเป็นสัญญาณให้รถหยุดหรือไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะต้องส่งไปอบรม หรือขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร มาอบรมให้ครูทหารของเรา แล้วไปฝึกกันเองก็ได้ เพราะเขามีระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่โบกได้โบกเอา หรือเป่านกหวีดเสียจนคนขับงง ไม่รู้ว่าจะให้หยุดหรือจะให้ไป
ข้อสำคัญคือสามัญสำนึก เรามีเด็กเล็ก ๆ เราควรจะห้ามตอนที่รถแล่นมาน้อย หรือส่วนใหญ่กำลังติดไฟแดงอยู่ เพราะมีเส้นทะแยงสีเหลือง และทางม้าลายอยู่แล้ว ถ้าเราห้ามตอนที่มีรถกำลังวิ่งเร็ว เพราะได้ไฟเขียว หรือเป็นรถใหญ่ เช่นรถประจำทาง รถบรรทุก เขาจะหยุดยาก และอาจมีรถอื่นแล่นแซงมาได้ คนข้ามก็ไม่เห็นเพราะรถใหญ่บัง บางทีเด็กไม่กล้าข้ามเสียด้วยซ้ำไป อีกอย่างหนึ่งก็คือรถจักรยานยนต์ไม่ควรให้เขาหยุด เพราะเขาหยุดแล้วจอดลำบาก และหลายรายไม่ค่อยเชื่อสัญญาณ ที่ว่ามานี้เพราะได้เห็นด้วยตามานาน แม้ในปัจจุบัน
เรื่องความปลอดภัยนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าจะเอาไปเล่าไว้ที่ไหน คือการออกกฎหมายให้ผู้ขับขี่ และซ้อนท้ายจักรยานยนต์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ามอร์เตอร์ไซค์ และตามตรอกเรียกว่าแมงกะไซ สวมหมวกนิรภัยป้องกันศีรษะหรือที่เรียกกันอย่างสะดวกปากว่าหมวก กันน็อคนั้น รัฐบาลเพิ่งจะเอาจริงเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ นี้เองแต่สำหรับกองทัพบกได้เริ่มกวดขัน มาตั้งนานกว่านั้นหลายปีแล้ว ถึงขนาดห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน ขับรถผ่านกองรักษาการณ์เข้าไปในหน่วยเลย จะต้องจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเดินเข้าไปติดต่อ หรือถ้าเป็นข้าราชการก็ล็อคกุญแจรถไว้แล้วเดินเข้าไปทำงานนั่นเชียว ถ้าสวมหมวกแต่คนขับ คนซ้อนก็ต้องลงเดินไปเช่นกัน
แต่ผมเคยเห็นบางหน่วย คนขับสวมหมวกตามระเบียบ ก็จอดรถก่อนถึงกองรักษา การณ์แล้วให้คนซ้อนเดินผ่านไปรอข้างหน้า เมื่อรถแล่นผ่านกองรักษาการณ์แล้ว จึงขึ้นมาซ้อนใหม่ ทหารที่กองรักษาการณ์ก็ทำเป็นไม่เห็นเสีย อย่างนี้ก็มี แต่สำหรับกรมการทหารสื่อสารไม่เคยได้เห็นกับตาเลยแม้แต่รายเดียว แสดงว่าทหารสื่อสารมีวินัยเป็นเยี่ยม เคารพกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
เพราะแม้แต่รถสามล้อบรรทุก ที่เข้ามาส่งน้ำแข็งและน้ำขวด ที่ร้านค้าในกรม เผอิญติดเครื่องยนต์เล็ก ๆ ยังต้องสวมหมวกนิรภัยด้วย ซึ่งใครที่ได้เห็นก็อมยิ้มไปตาม ๆ กัน ถ้าเกิดมีกฎหมาย กำหนดให้รถสามล้อเครื่อง ต้องสวมหมวกป้องกันศีรษะอย่างว่าแล้ว รถรับจ้างที่เรียกว่ารถตุ๊ก ๆ ก็คงจะได้บ่นกันพึมไปเลยเพราะ ยังไม่เคยเห็นรถสามล้อชนิดนั้นพลิกคว่ำ ให้คนขับเอา ศีรษะฟาดพื้นสักที มีแต่เละติดคาอยู่ในรถเสียมากกว่า
แต่ถึงอย่างไร การนึกถึงความปลอดภัยไว้ก่อน ก็ย่อมจะดีกว่าการตามไปแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว มิใช่หรือ ?
##########
นิตยสารทหารสื่อสาร
มกราคม ๒๕๔๐
ปลอดภัยไว้ก่อน ๒๖ ม.ค.๕๙
ปลอดภัยไว้ก่อน
" วชิรพักตร์ "
เมื่อนานมาแล้ว ก็เห็นจะต้องขึ้นต้นอย่างนี้ เพราะเป็นเรื่องเล่าความหลัง ของคนที่ทางราชการไม่เรียกระดมพลอีกแล้วซึ่งเขามีคำนิยามว่า เป็นคนที่ชอบของขม ชมเด็กสวย ช่วยกุศล และ บ่นความหลัง นั่นแหละ
นานมาแล้วเคยมีข้อเขียนในนิตยสารทหารสื่อสารนี้ ในเรื่องอะไรก็จำไม่ได้ มีความทำนองว่า ทหารสื่อสารนั้นไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ก็ไม่ห่างไกลจากกัน เพราะจะต้องได้ยินเสียงกันอยู่เสมอ ซึ่งเป็นความจริงแท้แน่นอนที่สุด ทหารสื่อสารท่านที่อาวุโส (คือแก่) กว่าผมมาก ๆ ที่ท่านได้ผ่านสงครามอินโดจีน และสงครามมหาเอเซียบูรพามาแล้ว ท่านเล่าว่า เครื่องรับส่งวิทยุ รส.๕ ที่ผลิตด้วยมือของทหารสื่อสารนั้น ถึงคราวอารมณ์ดี สามารถจะส่งจากสนามรบให้กรุงเทพรับฟังก็ยังได้ ความข้อนี้ถ้าผมจำผิดขออภัยด้วย เพราะเลือดสีม่วงของผมมันเข้มข้น ใครสรรเสริญทหารสื่อสารละก็หูผึ่งคอยจำเอาไว้ ถ้าใครนินทาก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียยังงั้นแหละ
ดังนั้นทหารสื่อสาร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในแผ่นดินไทย จึงย่อมจะได้ยินเสียงของเพื่อนอยู่เสมอ ตลอดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งสมัยเมื่อ ๓๖ ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังจะได้เห็นหน้าค่าตากันอีกด้วย ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๗ ขาวดำ ซึ่งท่านที่อ่านข่าวทั้งชายและหญิงนั้น เป็นทหารสื่อสารล้วน ๆ ในขณะที่บันทึกนี้ หลายท่านได้เกษียณอายุไปแล้ว แต่อีกหลายท่านที่ยังคงรับราชการอยู่ ก็เป็นนายพลกันเป็นแถว น่าเสียดายจริง ๆ ที่ทหารสื่อสารได้หายหน้าออกไปจากจอโทรทัศน์หมดแล้ว ถึงขนาดที่ต้องให้สุภาพสตรีระดับนางงาม ออกมาอ่านแถลงการณ์ก็มี เลยทำให้เรื่องที่ควรจะขึงขังกลายเป็นเรื่องขำขันไป
กลับมาเรื่องความหลังอีกที สมัยที่ว่านั้นถ้าใครมาเดินถามว่า กรมการทหารสื่อสาร อยู่ทางไหน ก็ชี้ไปที่เสาอากาศที่สูงที่สุดสองต้น ว่านั่นแหละสื่อสารละ ทั้งนี้ก็เพราะยังไม่มีการตั้งเสาอากาศกันให้ดาดดื่นเหมือนเดี๋ยวนี้ มีอยู่แต่หอสูงของกรมป้องกันต่อสู้อากาศยาน ที่สี่แยกเกียกกายหน่วยเดียวที่พอจะมองเห็นเสาธงบนยอดได้
เดิมทีทหารสื่อสารก็มีแต่สถานีวิทยุสนาม สำหรับติดต่อรับส่งข่าวกันเองประจำอยู่ตาม มณฑลทหารบก เท่านั้น ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้สิ้นสุดยุติลงแล้ว นายทหารสื่อสารหลายท่านซึ่งมี พ.อ.สาลี่ ปาละกุล เป็นหัวหน้าทีม ได้ลงทุนลงแรงสร้างเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงชุดแรกขึ้น เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๙๐ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสถานีวิทยุกระจายเสียงทดลอง จส. ของกรมจเรทหารสื่อสาร
ต่อมากรมจเรทหารสื่อสาร ได้เปลี่ยนเป็นกรมการทหารสิ่สาร กิจการวิทยุกระจายเสียง ได้แยกตัวออกเป็นกองหนึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ พ.อ.การุณ เก่งระดมยิง สถานีวิทยุ จส.จึงก้าวหน้าไป เป็นสถานีวิทยุแห่งแรกของกองทัพบก และเป็นสถานีที่สามของประเทศไทย ถัดจากสถานีวิทยุของกรมไปรษณีย์โทรเลข และกรมโฆษณาการ ซึ่งได้เปลี่ยนเป็นกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน
พอถึง พ.ศ.๒๔๙๘ ทหารสื่อสารได้ตั้งสถานีวิทยุประจำถิ่นขึ้น สำหรับติดต่อราชการ ประจำอยู่ที่ ภาคทหารบก มณฑลทหารบก และจังหวัดทหารบก กับหน่วยอิสสระทั่วประเทศแล้ว จึงได้เริ่มจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง คู่กับสถานีวิทยุประจำถิ่น โดยเครื่องส่งที่สร้างขึ้นเองแทบทั้งสิ้น เรียกชื่อว่าสถานีวิทยุกระจายเสียงทดลอง วปถ. จนถึง พ.ศ.๒๕๐๖ ก็มีสถานีอยู่ในภาคเหนือ ๕ แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๔ แห่ง ภาคใต้ ๔ แห่ง และภาคกลาง ๓ แห่ง จึงมีเสาอากาศเพิ่มขึ้น ในกรมการทหารสื่อสารอีกหลายต้น จนมองดูเกลื่อนไปหมด เรียกว่าเวลาฝนตกฟ้าร้องก็ไม่ต้องสะดุ้งว่าจะโดนฟ้าผ่าแน่ ไม่ว่าจะได้สาบานไว้ที่ไหนบ้างก็ตาม
เสาอากาศดั้งเดิมของสถานีวิทยุ จส. เป็นเสาที่มีฐานใหญ่สี่เหลี่ยมจตุรัสสูงประมาณ ๔๐ เมตร ๒ ต้น ตั้งอยู่หลังอาคารสถานีต้นหนึ่ง และอีกต้นหนึ่งอยู่ใกล้ห้องเครื่องส่งข้าง กองการฝึกเจ้าหน้าที่พิเศษ ซึ่งปัจจุบันได้รื้อทิ้ง และใช้พื้นที่สร้างพระอนุสาวรีย์ พล.อ.กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสาทั้งสองนี้ในภายหลังได้ต่อเติมให้สูงขึ้นไปอีกต้นละ ๒๘ เมตร เป็นเสาสามเหลี่ยม เล็ก ๆ จึงต้องมีสายรั้งสามมุมเรียกว่าสายอะไรก็ไม่ทราบ รวมทั้งเสาอากาศอื่น ๆ ที่ตั้งขึ้นภายหลังก็เป็นเสาแบบนี้ทั้งสิ้น จึงมีลวดสลิงยึดโยงเสาระเกะระกะไปทั่วทั้งกรมการทหารสื่อสาร
สายลวดยึดเสาอากาศนี้จะต้องตรวจสอบให้ตึงเท่ากันทั้งสามมุม จึงจะสามารถยึดเสาอากาศให้ตั้งตรงอยู่ได้ ผมเคยเห็นสถานีวิทยุ จส.ตั้งเสาอากาศใหม่ทางด้านกองโรงเรียนนายสิบของผม ซึ่งอยู่ตรงข้ามคูน้ำหน้าสถานี ตอนเย็นเลิกงานผมเดินกลับบ้านก็แหงนมอง เห็นช่างเสาอากาศซึ่งเป็นลูกจ้างสองสามคนโหนอยู่บนยอด เพื่อต่อเสาอากาศท่อนสั้น ๆ ขึ้นไปแต่ยังไม่ถึงปลายสุด วันนั้นฝนกำลังจะตกมีลมพัดแรง มองดูโงนเงนน่ากลัว ยังคิดว่าทำไมเขาไม่รีบลงมาเสีย เขาคงจะขันลวดสลิงท่อนนั้น ให้ยึดอยู่อย่างแน่นหนาเสียก่อน
ครั้นพอเช้าวันรุ่งขึ้นไปทำงาน ก็ปรากฏว่าเสาต้นที่ยังไม่สำเร็จนั้น ได้โค่นลงมาปักเอาโรงนอนของกองร้อยโรงเรียนนายสิบหลังคาพังเสียแล้ว เคราะห์ยังดีที่ไม่โดนคนที่นอนบนโรงนั้น คงเป็นเพราะเมื่อวานช่างรีบลงมาเสียก่อน เสายังไม่มั่นคงพอ โดนลมฝนกระหน่ำก็เลยทนไม่ไหว
เมื่อผมยังไม่ได้เป็นนายทหาร ได้เคยเห็นสายยึดเสาอากาศ ต้นที่อยู่ข้างห้องเครื่องส่งเส้นหนึ่ง ขาดตกลงมาพาดสายไฟแรงสูง ที่เดินขนานกับถนนตรงจากกองรักษาการณ์ มายังหน้ากองบัญชาการกรม ปลายสายอยู่ในสนามฟุตบอล ตั้งแต่ตอนกลางคืนไม่มีใครกล้าเดินผ่าน ต้องปิดการจารจรช่องทางหนึ่ง พอรุ่งเช้าผู้ช่วยนายทหารเวร ซึ่งมีความรู้ช่างซ่อมวิทยุก็เข้าไปตรวจสอบ เขาเดินจับสายลวดสลิงด้านที่ตกอยู่ในสนามฟุตบอลเรื่อยมาจนถึงริมถนน คงจะแน่ใจว่าไม่มีกระแสไฟผ่านเส้นลวดแน่ พอข้ามลูกถ้วยที่คั่นอยู่ก็ดิ้นพราดลงกลางถนน มีประกายไฟแลบที่ ศีรษะและส้นเท้า เพื่อนของผมที่เป็นเสมียนเวรอยู่ในขณะนั้นได้สติ คว้าไม้ยาวจากไหนก็ไม่รู้ วิ่งไปตวัดสายลวดออกจากตัวผู้รับเคราะห์ จึงรอดความตายไปได้ แต่จะรักษากันอย่างไรต่อไปก็ลืมเสียแล้ว
นั่นเป็นอันตรายอย่างหนึ่งของสายลวดยึดเสาอากาศ อันตรายอีกอย่างหนึ่งก็คือสายยึดเส้นล่างที่สุดจะอยู่ต่ำเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเวลาข้ามถนน บางทีผู้สร้างลืมวัดระยะสูงของ รถยนต์ ที่จะแล่นผ่าน เช่นจุดที่อยู่ข้างพิพิธภัณฑ์ทหารสื่อสาร เขาขุดหลุมชิดกับขอบทางเท้าด้านใน ผมมองดูแล้วเห็นว่าลวดเส้นล่างเกะกะถนนที่จะไปโรงอาหารแน่ ก็ไม่รู้จะพูดกับใคร พอดีเป็นนายทหารเวรผู้ใหญ่ จึงเข้าไปรายงานกับหัวหน้ากองว่าน่าจะเกิดอันตรายได้ ขณะนั้นยังไม่ได้ยกเสาอากาศขึ้นตั้ง ท่านจึงสั่งให้ช่างเลื่อนหลุมสำหรับยึดลวดสลิง เข้าไปใกล้ตัวอาคารมากขึ้น สายลวดเส้นล่างเมื่อผ่านถนนจึงสูงขึ้นกว่าเดิม
ในครั้งนั้นผมก็เลยถือโอกาสเสนอ ให้ทำเครื่องหมายบอกความสูงของลวดยึดเสาอากาศ ให้ผู้ที่จะขับรถลอดได้ทราบ ท่านก็กรุณาสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำตามที่ผมได้เสนอแนะ แต่เมื่อผมไปตรวจในการเข้าเวรครั้งหลัง ปรากฎว่าเขาไม่ยักบอกความสูง เพียงแต่ใช้สังกะสีทาสีขาวสลับแดงห้อยไว้เท่านั้น และไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่คิดอย่างไร เขาจึงได้ติดแผ่นสังกะสีไว้บนเส้นลวด สายที่อยู่ข้างบนสุดแทนที่จะเป็นเส้นต่ำสุด ผมจึงต้องโผล่เข้าไปเรียนกับหัวหน้ากองอีกครั้ง ให้ท่านช่วยแก้ไข และสังกะสีแผ่นนั้นจะได้ซ่อมสีให้เห็นชัดเจน อยู่จนถึงปัจจุบันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ในจุดที่ฝังหลักคอนกรีตเพื่อคล้องสายลวดยึดเสาอากาศนี้ บางทีก็อยู่ในที่ลับตา บางทีก็อยู่ริมถนน บางแห่งก็อยู่ในสนามบาสเกตบอล หรือสนามฟุตบอล แต่เดิมก็มีรั้วไม้กั้นล้อมรอบ และทาสีขาวสลับแดงให้เห็นชัดเจน จะได้ไม่เดินสะดุดหรือวิ่งผ่านให้ลวดบาดคอเอาได้ แต่เมื่อทำแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ตลอดกาล โดยไม่ได้ดูแลซ่อมแซม ผมเห็นแล้วก็ไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจท่านหัวหน้ากองเต็มที บางแห่งเพียงแต่สีตก แต่บางแห่งรั้วไม้ก็ผุพังไปตามกาลเวลา อาจทำให้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน
แต่เดี๋ยวนี้เสาอากาศต้นหลังสุดของกองการสื่อสาร ซึ่งเป็นเสาที่สูงที่สุดของกรมการทหารสื่อสาร และมีความสำคัญมาก เพราะติดตั้งสายอากาศ สำหรับติดต่อกับหน่วยในกองทัพบก ทั่วประเทศ ก็สร้างแบบฐานใหญ่ไม่ต้องมีสายยึดโยงแล้ว จึงมีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น
เมื่อว่ากันถึงความปลอดภัย เด็กนักเรียนในกรมการทหารสื่อสาร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรเป็นห่วง เพราะเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ในขณะที่นักเรียนกำลังข้ามถนน หน้าช่องทาง ๑ ถนนพระราม ๕ และช่องทาง ๒ ถนนทหาร มาแล้ว จริงอยู่เรามีการจัดทหารไว้คอยช่วยห้ามรถ เวลา นักเรียนจะข้ามถนน แต่เท่าที่เคยได้เห็นมาเป็นเวลานาน เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปัจจุบันเรียกว่า อส.จร.นั้นรู้สึกว่าจะทำงานโดยไม่มีความรู้เรื่องกฎจราจร เช่นวิธีห้ามรถ วิธีโบกมือเป็นสัญญาณให้รถหยุดหรือไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะต้องส่งไปอบรม หรือขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร มาอบรมให้ครูทหารของเรา แล้วไปฝึกกันเองก็ได้ เพราะเขามีระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่โบกได้โบกเอา หรือเป่านกหวีดเสียจนคนขับงง ไม่รู้ว่าจะให้หยุดหรือจะให้ไป
ข้อสำคัญคือสามัญสำนึก เรามีเด็กเล็ก ๆ เราควรจะห้ามตอนที่รถแล่นมาน้อย หรือส่วนใหญ่กำลังติดไฟแดงอยู่ เพราะมีเส้นทะแยงสีเหลือง และทางม้าลายอยู่แล้ว ถ้าเราห้ามตอนที่มีรถกำลังวิ่งเร็ว เพราะได้ไฟเขียว หรือเป็นรถใหญ่ เช่นรถประจำทาง รถบรรทุก เขาจะหยุดยาก และอาจมีรถอื่นแล่นแซงมาได้ คนข้ามก็ไม่เห็นเพราะรถใหญ่บัง บางทีเด็กไม่กล้าข้ามเสียด้วยซ้ำไป อีกอย่างหนึ่งก็คือรถจักรยานยนต์ไม่ควรให้เขาหยุด เพราะเขาหยุดแล้วจอดลำบาก และหลายรายไม่ค่อยเชื่อสัญญาณ ที่ว่ามานี้เพราะได้เห็นด้วยตามานาน แม้ในปัจจุบัน
เรื่องความปลอดภัยนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าจะเอาไปเล่าไว้ที่ไหน คือการออกกฎหมายให้ผู้ขับขี่ และซ้อนท้ายจักรยานยนต์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ามอร์เตอร์ไซค์ และตามตรอกเรียกว่าแมงกะไซ สวมหมวกนิรภัยป้องกันศีรษะหรือที่เรียกกันอย่างสะดวกปากว่าหมวก กันน็อคนั้น รัฐบาลเพิ่งจะเอาจริงเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ นี้เองแต่สำหรับกองทัพบกได้เริ่มกวดขัน มาตั้งนานกว่านั้นหลายปีแล้ว ถึงขนาดห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน ขับรถผ่านกองรักษาการณ์เข้าไปในหน่วยเลย จะต้องจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเดินเข้าไปติดต่อ หรือถ้าเป็นข้าราชการก็ล็อคกุญแจรถไว้แล้วเดินเข้าไปทำงานนั่นเชียว ถ้าสวมหมวกแต่คนขับ คนซ้อนก็ต้องลงเดินไปเช่นกัน
แต่ผมเคยเห็นบางหน่วย คนขับสวมหมวกตามระเบียบ ก็จอดรถก่อนถึงกองรักษา การณ์แล้วให้คนซ้อนเดินผ่านไปรอข้างหน้า เมื่อรถแล่นผ่านกองรักษาการณ์แล้ว จึงขึ้นมาซ้อนใหม่ ทหารที่กองรักษาการณ์ก็ทำเป็นไม่เห็นเสีย อย่างนี้ก็มี แต่สำหรับกรมการทหารสื่อสารไม่เคยได้เห็นกับตาเลยแม้แต่รายเดียว แสดงว่าทหารสื่อสารมีวินัยเป็นเยี่ยม เคารพกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
เพราะแม้แต่รถสามล้อบรรทุก ที่เข้ามาส่งน้ำแข็งและน้ำขวด ที่ร้านค้าในกรม เผอิญติดเครื่องยนต์เล็ก ๆ ยังต้องสวมหมวกนิรภัยด้วย ซึ่งใครที่ได้เห็นก็อมยิ้มไปตาม ๆ กัน ถ้าเกิดมีกฎหมาย กำหนดให้รถสามล้อเครื่อง ต้องสวมหมวกป้องกันศีรษะอย่างว่าแล้ว รถรับจ้างที่เรียกว่ารถตุ๊ก ๆ ก็คงจะได้บ่นกันพึมไปเลยเพราะ ยังไม่เคยเห็นรถสามล้อชนิดนั้นพลิกคว่ำ ให้คนขับเอา ศีรษะฟาดพื้นสักที มีแต่เละติดคาอยู่ในรถเสียมากกว่า
แต่ถึงอย่างไร การนึกถึงความปลอดภัยไว้ก่อน ก็ย่อมจะดีกว่าการตามไปแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว มิใช่หรือ ?
##########
นิตยสารทหารสื่อสาร
มกราคม ๒๕๔๐