อย่าถือว่าเป็นการ review อะไรเลยนะครับ เอาเป็นว่าผมมาเล่าให้ฟังจะดีกว่า
...."การเดินทางมันทำให้เราเห็นโลกกว้างขึ้นอีกนิด"....
บทเกริ่นนำจาก MV เพลงๆหนึ่งขณะที่ผมนั่งทำงานอยู่มันเข้ามาก้องอยู่ในหัว
----------------------------------------------
ย้อนกลับไปบ่ายแก่ๆวันศุกร์สุดสัปดาห์ของชีวิตมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการทำงาน อยู่ๆเพลงที่ผมเปิดจาก Playlist ใน Youtube ก็เกริ่นนำคำพูดนี้ขึ้นมา เฮ้ยย!!! เราต้องออกไปเที่ยวที่ไหนสักที่นึงไปไกลๆให้หลุดพ้นจากอะไรบางอย่าง อยาก chill ใช้ชีวิตแบบช้าๆ
เอาหละ... ที่ไหนล่ะ? งานก็ไม่ได้ลา เวลาก็น้อย เอาไงดีวะ? เวลาไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น สตางค์ก็เช่นกัน
ที่มีตอนนี้ก็ข้อมูลทริปไปลาว 8 วัน เออ...ลาวก็ลาววะ ไปมันวันนี้เลยดูดิจะไปได้ถึงไหนโทรไปถามการรถไฟก่อน
จากบทสนทนาสั้นๆ ได้ความว่า "มีรถไฟไปหนองคายเวลา 18:58, 20:23,21:06 ถ้าจะไปต้องรีบจอง ตั๋วใกล้เต็มแล้ว"
OK กลับบ้านเก็บกระเป๋ายังทัน เสื้อสองกางเกงสอง คงน่าจะพอ พร้อมแล้วเหวี่ยงเป้ขึ้นหลัง ไปลาวกัน
ระหว่างทางไปสถานีรถไฟคิดอยู่ว่าจะมีตั๋วรถนอนไหมอยากไปแบบไม่เหนื่อยถึงแล้วจะได้มีแรงลุย ถ้าไม่มีจะนั่งรถไฟฟรีชั้น 3 ไหวไหม? ถึงสถานีรถไฟชุมทางบางซื่อประมาณหนึ่งทุ่ม พร้อมด้วยใจล้วนๆ ตั๋วก็ไม่มี เดินไปถามเจ้าหน้าที่เอาแล้วกัน
ผมเดินเข้าไปถามแบบ งงๆ เลย ในใจภาวนาว่าต้องมีเหลืออยู่สักที่สิ คำตอบที่ได้คือ "เต็มหมด เหลือแต่รถไฟฟรีเที่ยว 21:06 น." Shit!!! หาชิบไม่เจอเเล้ว แค่เริ่มต้นโชคก็ไม่เข้าข้างแล้ว
เอาวะ!! ฟรีก็ฟรี ขากลับค่อยนอนกลับแล้วกัน (คำแนะนำส่วนตัวของผมสำหรับผู้ที่อยากนั่งรถไฟฟรีชั้น 3 นะครับ ให้เลือกที่นั่งที่ติดริมหน้าต่างแล้วนั่งหันหลังให้ทาง เพราะถ้านั่งให้ลมตีหน้า จะเหนื่อยและเพลียมาก อีกทั้งกลิ่น+น้ำอะไรต่างๆจากรถไฟจะทำให้เหนียวและเหม็นมาก)
ทุ่มกว่าๆเอง รถออกตั้งสามทุ่มกว่า ก่อนออกจากบ้านผมยัดหนังสือ โตเกียวไม่มีขา ของนิ้วกลม ใส่กระป๋ามาด้วยนั่งอ่านเป็นรอบที่เท่าไหร่เเล้วไม่รู้ ประโยคเดิมที่เคยอ่านผ่านตามาแต่วันนี้สะดุดกับประโยคหนึ่งขึ้นมา "ถ้าไม่ออกเดินทางเมื่อไหร่จะถึงที่หมาย? การเตรียมตัวมากเกินไปนับเป็นอุปสรรคตัวฉกาจของการเดินทาง ไม่ผิดนัก ถ้าใครสักคนจะนั่งลงคิดอย่างละเอียดรอบครอบก่อนโยนเสื้อผ้าลงกระเป๋า แต่โดยมากแล้วใครที่ยิ่งคิดละเอียดมากเท่าไหร่ ยิ่งเหลือเปอร์เซนต์จะได้ออกเดินทางจริงๆ น้อยลงเท่านั้น" เกือสามทุ่มแล้วรถไฟยังไม่มา ต้องหาตัวช่วยให้หลับแล้วล่ะ ผมเรียกว่าตัวช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางแล้วกัน บางคนเรียกเบียร์ ฮ่าาาา...
รถไฟมาแล้ว... สภาพก็อย่างที่ทราบๆกันดี เอาเถอะหาที่นั่งตามหมายเลขก่อน มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากสำหรับผู้ชายตัวเล็กๆอ่อนแอๆคนหนึ่งที่ต้องมานั่งคนเดียว นั่งหา review ไปพลางๆ จดๆจำๆไว้ก่อนจะหลับอย่างไร้สติ
โชคดีที่ได้ตัวช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ตัดมาตอนเช้าเลยตื่นขึ้นมาด้วยการไม่มีความรู้สึกว่า ร่างกายท่อนล่างหายไปไหนฟ่ะ! ปวดหลังปวดเอว ปวดตูดมากกกก วิวนอกหน้าต่างทำให้อดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป
หลังจากนั่งทนมา 10 ชั่วโมงตามเวลาที่คาดไว้ว่าน่าจะถึง ในที่สุด... ในที่สุด... ในที่สุด.... ยัง!! ยังไม่ถึง นี่อยู่อุดรอยู่เลย นับว่าเป็นระบบขนส่งที่เหมาะกับชีวิต slow life เป็นอย่างมาก
9:30 ซะที ถึงหนองคายซะที...
เอาไงต่อล่ะทีนี้ ชายแดนไปทางไหน? อ่าน review มาเค้าบอกเดินจากสถานีรถไฟไปได้ และภาพแรกที่เห็นหลังจากเดินออกมาหน้าสถานีรถไฟ โอ้ววววว....ม่ายยยยย ตรูมาทำไรที่นี่วะเนี่ย เดินไปอีกเกือบ 2 กิโล เพราะไม่อยากเสียค่ารถสกายแลป กว่าจะถึงด่าน
และแล้วความวัวยังไม่หาย ความควายก็เข้ามาแทรก Passport อยู่ไหน? สรุป......."อยู่บ้านไงทำไมไม่เอาไป" (เสียงคนทางบ้านที่ออกมาจากโทรศัพท์ดังออกมา) ทำบัตรผ่านแดนสิครับจะรออะไร โดนไป 100 บาท รออีก 20 นาที จากนนั้นก็ข้ามแดนด้วยรถเมล์อีก 20 บาท
รถพาผมข้ามแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ไพศาลมาถึงฝั่งลาวจนได้ ซื้อ one way ticket 100 ไทยบาท ทำเรื่องผ่านแดนฝั่งลาวเสร็จแลกเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด 2,000 บาท เป็นเงินกีบ ได้มา สี่แสนกว่า เดินออกมาสักพักผู้ชายร่างใหญ่ใส่ชุดสีกรมน่าตาแห้งกร้านเดินกรูเข้ามาหาผมอย่างไวเมื่อถึงระยะประชิด เราสบตากัน และบทสนทนาก็เริ่มขึ้น "taxi บ่? ไปไส?...." ผมตอบปฏิเสธอย่างอ่อนน้อม "ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับ" พี่ชายคนนั้นบอก "ถ้าไม่ไปก็มีรถประจำทางไปตลาดเซ้าอยู่ตรงโน้น..เด้อ" พร้อมชี้นิ้วไปอีกทาง หึ!!...คงดูน่าตาผมไม่มีปัญญานั่ง Taxi สิท่า หึหึ... ถูกแล้วววว ไม่รอช้าผมเลยเดินตรงไปตามที่พี่เค้าชี้ไป
ค่ารถเมล์ลาวสีเขียวๆวิ่งไปตลาดเช้าอยู่ที่ 6,000 KIP
45 นาทีโดยประมาณผมก็มายืนอยู่ตะหลาดเซ้า นครหลวงเวียงจันทน์ "ตรูมาถึงแล้ววววววววว" เวลาตอนนั้น 11:40 น. และอยู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เฮ้ยย!! ตรูลืมซื้อตั๋วรถไฟขากลับ...... เออ ดาบหน้าก็ได้ฟ่ะ คงกลับไม่ยากอย่างมากก็ลางานเพิ่ม
อาหารรร... อาหารรรร..... เสียงเพรียกจากลำใส้และกะเพราะน้อยๆ เริ่มดังขึ้นมาเรื่อยๆ
ปาเต หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นขนมปังยาวๆข้างในมีใส้ อาหารพื้นเมืองของที่นี่ กัดลงไปคำแรก อื้อหืออออ... นี่สินะเค้าเรียกว่าอาหารพื้นเมือง คือน่าเอาไปทำพื้นมากกก.. สะเทือนไปถึงรากฟัน เหงือกเนี่ยถลอกหมดละ ความยาวประมาณฟุตครึ่งหั่นสองท่อนห่อด้วยกระดาษข้อสอบของโรงเรียนเมื่อเทอมที่แล้ว งามใส้ไหมล่ะ แต่อร่อยนะผมชอบ ราคาอยู่ที่ 5,000 KIP
ปล.พึ่งมารู้เอาวันรุ่งขึ้นว่าแบบนุ่มก็มี โธ่ววววว!!!.....
เดินไปกินไปซับเลือดที่ออกมาจากเหงือกไป ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่....ยังไม่มีที่ซุกหัวนอนเลยต้องหาที่พักก่อน ตูดที่ระบม หลังที่ขดแข็ง ต้องการเตียงนุ่มๆมาก ผมเดินไปไกลพอสมควรจากตลาดเช้า จนไปถึงที่เค้าเรียกว่าน้ำพุ จริงๆเดินตามฝรั่งไปเพราะเห็นเค้าสะพายกระเป๋าใหญ่ๆถือแผนที่ดูท่าทางน่าจะหาโรงแรม และแล้วก็ได้ห้องพักราคาคืนละ 125,000 KIP ห้องแอร์ น้ำอุ่น ทีวี Free wifi
นอนงีบยืดสุดตัวได้สักพัก เวลาบ่ายสอง ได้เวลาออกไปแรดเเล้วววว..... เกาะ wifi ที่พัก หาแผนที่เตรียมไว้ก่อน แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ สามารถเดินถึงกันได้หมดครับ ยกเว้นพระธาตุหลวง ไกลหน่อยต้องนั่งรถ
ผมเดินเที่ยวสถานที่ต่างๆระแวกใกล้ๆ ได้สักระยะหนึ่ง มองนาฬิกา ป๊าดดดดด...สามโมงกว่าแล้ว เอาแล้วไงจะไปพระธาตุหลวงทันนไหม ตามข้อมูลปิด สี่โมง
"พี่ๆ ไปพระธาตุหลวงครับ เท่าไหร่?" ผมยกมือโบกสามล้อแถวๆนั้น
"100 บาท"
"ไป-กลับ 100 บาทหรอครับ ?"
"โอ้ยยยย...บ่ ได้ๆ ทำไมไม่มาหลายๆคนจะได้ถูกๆหน่อย"
แหมมม พี่....พูดซะผมรู้สึกผิดเลย
เอาวะไปก่อนเดี๋ยวไม่ทัน โดดขึ้นรถเลย ระหว่างทางพี่แกชวนคุยโน่นนี่ ทำไมไม่มากับเพื่อนกับผู้สาว? เอิ่มมมม...ผมขอข้ามเรื่องนี้ไปเเล้วกัน
ทำเวลาได้ดีมา และแล้วผมก็มาถึง 15:50 ผมนี่วิ่งเลยครับ ประตูเข้าพระธาตุกำลังจะปิดแล้ว ด้วยความที่เวลาน้อยตรูจะพลาดไม่ได้
"ปิดแล้ว เจ้า...." จนท. สาวบอกออกมาด้วยเสียงนุ่มนวล
"ยังครับ เหลืออีก 10 นาที" ผมพูดออกไปพร้อมยกนาฬิกาดู
"ก็ได้...." จนท. พูดพร้อมฉีกบัตร ผมจ่ายค่าเข้าไป 5,000 KIP
ผมใช้เวลาอยู่ด้านในพอสมควรทั้งนั่งมอง ทั้งถ่ายรูป คือแบบบบบ... สวยอ่ะ นั่งมองเฉยๆก็รู้สึกดีแล้ว องค์พระธาตุสีเหลืองทอง ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ช่วงเวลายามเย็น มันช่างเหมาะอะไรอย่างนี้
เอาหล่ะ ได้เวลากลับแล้ว ยังไม่รู้จะกลับยังไงเลย ผมเดินออกมาตรงที่มีรถสามล้อจอดรอนักท่องเที่ยวหวังจะหาคนหารค่ารถกลับด้วย และแล้ว หึหึ.....แม่สาวน้อยยยย วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมา มีทั้งคนไทยและเกาหลี หนึ่งในนั้นมีน้องคนที่ขอให้ผมช่วยถ่ายรูปที่พระธาตุให้ด้วย กำลังจะขึ้นรถที่เหมามากลับพอดี ผมรวบรวมความกล้าและยิ้มสยาม ขอน้องๆเค้าติดรถกลับไปด้วยจะช่วยค่ารถ รถผ่านไปทางประตูชัยพอดี ผมเลยขอลงตรงนั้น พร้อมช่วยค่ารถไป 25 บาท
ประตูไซ Landmark ของนครหลวงเวียงจันทน์ แดดยามเย็นกำลังสวยงามแนะนำเลยนะครับช่วงเวลา สี่โมงถึงห้าโมง เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ
ชีวิตดี๊ดี slow life มากๆ ผู้คนที่นี่น่ารัก ใจดี อากาศเริ่มจะเย็นๆนิดๆเเล้ว ผมเลยเดินกลับที่พักซื้อน้ำ/ขนมติดไม้ติดมือมากินนิดหน่อย เดี๋ยวค่ำๆ ว่าจะไปหาของกินแถวริมโขง เห็นว่ามีตลาดขายของเยอะ
ตัดมามื้อค่ำเลย หมดไป สามหมื่นกว่า(กีบ) ได้มาหลายอย่างซื้ออย่างไม่คิดคงด้วยเพราะความหิว ตั้งแต่มากินไอ้ขนมปังพื้นเมืองไปอย่างเดียวเอง อาหารที่นี่อร่อยนะผมชอบดูตั้งใจทำดีค่อยๆทำ ค่อยๆย่าง รอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน อาหารร้อนจะมีใบตองรองไว้ตลอด สั่งข้าวเปียกมากินหลักๆ 1 ชาม ซดซุปร้อนๆ
[CR] ลาว [เวียงจันทน์] 2 วัน 2,000฿ มีทอน
ย้อนกลับไปบ่ายแก่ๆวันศุกร์สุดสัปดาห์ของชีวิตมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการทำงาน อยู่ๆเพลงที่ผมเปิดจาก Playlist ใน Youtube ก็เกริ่นนำคำพูดนี้ขึ้นมา เฮ้ยย!!! เราต้องออกไปเที่ยวที่ไหนสักที่นึงไปไกลๆให้หลุดพ้นจากอะไรบางอย่าง อยาก chill ใช้ชีวิตแบบช้าๆ
เอาหละ... ที่ไหนล่ะ? งานก็ไม่ได้ลา เวลาก็น้อย เอาไงดีวะ? เวลาไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น สตางค์ก็เช่นกัน
ที่มีตอนนี้ก็ข้อมูลทริปไปลาว 8 วัน เออ...ลาวก็ลาววะ ไปมันวันนี้เลยดูดิจะไปได้ถึงไหนโทรไปถามการรถไฟก่อน
จากบทสนทนาสั้นๆ ได้ความว่า "มีรถไฟไปหนองคายเวลา 18:58, 20:23,21:06 ถ้าจะไปต้องรีบจอง ตั๋วใกล้เต็มแล้ว"
OK กลับบ้านเก็บกระเป๋ายังทัน เสื้อสองกางเกงสอง คงน่าจะพอ พร้อมแล้วเหวี่ยงเป้ขึ้นหลัง ไปลาวกัน
ระหว่างทางไปสถานีรถไฟคิดอยู่ว่าจะมีตั๋วรถนอนไหมอยากไปแบบไม่เหนื่อยถึงแล้วจะได้มีแรงลุย ถ้าไม่มีจะนั่งรถไฟฟรีชั้น 3 ไหวไหม? ถึงสถานีรถไฟชุมทางบางซื่อประมาณหนึ่งทุ่ม พร้อมด้วยใจล้วนๆ ตั๋วก็ไม่มี เดินไปถามเจ้าหน้าที่เอาแล้วกัน
ผมเดินเข้าไปถามแบบ งงๆ เลย ในใจภาวนาว่าต้องมีเหลืออยู่สักที่สิ คำตอบที่ได้คือ "เต็มหมด เหลือแต่รถไฟฟรีเที่ยว 21:06 น." Shit!!! หาชิบไม่เจอเเล้ว แค่เริ่มต้นโชคก็ไม่เข้าข้างแล้ว
เอาวะ!! ฟรีก็ฟรี ขากลับค่อยนอนกลับแล้วกัน (คำแนะนำส่วนตัวของผมสำหรับผู้ที่อยากนั่งรถไฟฟรีชั้น 3 นะครับ ให้เลือกที่นั่งที่ติดริมหน้าต่างแล้วนั่งหันหลังให้ทาง เพราะถ้านั่งให้ลมตีหน้า จะเหนื่อยและเพลียมาก อีกทั้งกลิ่น+น้ำอะไรต่างๆจากรถไฟจะทำให้เหนียวและเหม็นมาก)
ทุ่มกว่าๆเอง รถออกตั้งสามทุ่มกว่า ก่อนออกจากบ้านผมยัดหนังสือ โตเกียวไม่มีขา ของนิ้วกลม ใส่กระป๋ามาด้วยนั่งอ่านเป็นรอบที่เท่าไหร่เเล้วไม่รู้ ประโยคเดิมที่เคยอ่านผ่านตามาแต่วันนี้สะดุดกับประโยคหนึ่งขึ้นมา "ถ้าไม่ออกเดินทางเมื่อไหร่จะถึงที่หมาย? การเตรียมตัวมากเกินไปนับเป็นอุปสรรคตัวฉกาจของการเดินทาง ไม่ผิดนัก ถ้าใครสักคนจะนั่งลงคิดอย่างละเอียดรอบครอบก่อนโยนเสื้อผ้าลงกระเป๋า แต่โดยมากแล้วใครที่ยิ่งคิดละเอียดมากเท่าไหร่ ยิ่งเหลือเปอร์เซนต์จะได้ออกเดินทางจริงๆ น้อยลงเท่านั้น" เกือสามทุ่มแล้วรถไฟยังไม่มา ต้องหาตัวช่วยให้หลับแล้วล่ะ ผมเรียกว่าตัวช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางแล้วกัน บางคนเรียกเบียร์ ฮ่าาาา...
รถไฟมาแล้ว... สภาพก็อย่างที่ทราบๆกันดี เอาเถอะหาที่นั่งตามหมายเลขก่อน มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากสำหรับผู้ชายตัวเล็กๆอ่อนแอๆคนหนึ่งที่ต้องมานั่งคนเดียว นั่งหา review ไปพลางๆ จดๆจำๆไว้ก่อนจะหลับอย่างไร้สติ
โชคดีที่ได้ตัวช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ตัดมาตอนเช้าเลยตื่นขึ้นมาด้วยการไม่มีความรู้สึกว่า ร่างกายท่อนล่างหายไปไหนฟ่ะ! ปวดหลังปวดเอว ปวดตูดมากกกก วิวนอกหน้าต่างทำให้อดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป
หลังจากนั่งทนมา 10 ชั่วโมงตามเวลาที่คาดไว้ว่าน่าจะถึง ในที่สุด... ในที่สุด... ในที่สุด.... ยัง!! ยังไม่ถึง นี่อยู่อุดรอยู่เลย นับว่าเป็นระบบขนส่งที่เหมาะกับชีวิต slow life เป็นอย่างมาก
9:30 ซะที ถึงหนองคายซะที...
เอาไงต่อล่ะทีนี้ ชายแดนไปทางไหน? อ่าน review มาเค้าบอกเดินจากสถานีรถไฟไปได้ และภาพแรกที่เห็นหลังจากเดินออกมาหน้าสถานีรถไฟ โอ้ววววว....ม่ายยยยย ตรูมาทำไรที่นี่วะเนี่ย เดินไปอีกเกือบ 2 กิโล เพราะไม่อยากเสียค่ารถสกายแลป กว่าจะถึงด่าน
และแล้วความวัวยังไม่หาย ความควายก็เข้ามาแทรก Passport อยู่ไหน? สรุป......."อยู่บ้านไงทำไมไม่เอาไป" (เสียงคนทางบ้านที่ออกมาจากโทรศัพท์ดังออกมา) ทำบัตรผ่านแดนสิครับจะรออะไร โดนไป 100 บาท รออีก 20 นาที จากนนั้นก็ข้ามแดนด้วยรถเมล์อีก 20 บาท
รถพาผมข้ามแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ไพศาลมาถึงฝั่งลาวจนได้ ซื้อ one way ticket 100 ไทยบาท ทำเรื่องผ่านแดนฝั่งลาวเสร็จแลกเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด 2,000 บาท เป็นเงินกีบ ได้มา สี่แสนกว่า เดินออกมาสักพักผู้ชายร่างใหญ่ใส่ชุดสีกรมน่าตาแห้งกร้านเดินกรูเข้ามาหาผมอย่างไวเมื่อถึงระยะประชิด เราสบตากัน และบทสนทนาก็เริ่มขึ้น "taxi บ่? ไปไส?...." ผมตอบปฏิเสธอย่างอ่อนน้อม "ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับ" พี่ชายคนนั้นบอก "ถ้าไม่ไปก็มีรถประจำทางไปตลาดเซ้าอยู่ตรงโน้น..เด้อ" พร้อมชี้นิ้วไปอีกทาง หึ!!...คงดูน่าตาผมไม่มีปัญญานั่ง Taxi สิท่า หึหึ... ถูกแล้วววว ไม่รอช้าผมเลยเดินตรงไปตามที่พี่เค้าชี้ไป
ค่ารถเมล์ลาวสีเขียวๆวิ่งไปตลาดเช้าอยู่ที่ 6,000 KIP
45 นาทีโดยประมาณผมก็มายืนอยู่ตะหลาดเซ้า นครหลวงเวียงจันทน์ "ตรูมาถึงแล้ววววววววว" เวลาตอนนั้น 11:40 น. และอยู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เฮ้ยย!! ตรูลืมซื้อตั๋วรถไฟขากลับ...... เออ ดาบหน้าก็ได้ฟ่ะ คงกลับไม่ยากอย่างมากก็ลางานเพิ่ม
อาหารรร... อาหารรรร..... เสียงเพรียกจากลำใส้และกะเพราะน้อยๆ เริ่มดังขึ้นมาเรื่อยๆ
ปาเต หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นขนมปังยาวๆข้างในมีใส้ อาหารพื้นเมืองของที่นี่ กัดลงไปคำแรก อื้อหืออออ... นี่สินะเค้าเรียกว่าอาหารพื้นเมือง คือน่าเอาไปทำพื้นมากกก.. สะเทือนไปถึงรากฟัน เหงือกเนี่ยถลอกหมดละ ความยาวประมาณฟุตครึ่งหั่นสองท่อนห่อด้วยกระดาษข้อสอบของโรงเรียนเมื่อเทอมที่แล้ว งามใส้ไหมล่ะ แต่อร่อยนะผมชอบ ราคาอยู่ที่ 5,000 KIP
ปล.พึ่งมารู้เอาวันรุ่งขึ้นว่าแบบนุ่มก็มี โธ่ววววว!!!.....
เดินไปกินไปซับเลือดที่ออกมาจากเหงือกไป ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่....ยังไม่มีที่ซุกหัวนอนเลยต้องหาที่พักก่อน ตูดที่ระบม หลังที่ขดแข็ง ต้องการเตียงนุ่มๆมาก ผมเดินไปไกลพอสมควรจากตลาดเช้า จนไปถึงที่เค้าเรียกว่าน้ำพุ จริงๆเดินตามฝรั่งไปเพราะเห็นเค้าสะพายกระเป๋าใหญ่ๆถือแผนที่ดูท่าทางน่าจะหาโรงแรม และแล้วก็ได้ห้องพักราคาคืนละ 125,000 KIP ห้องแอร์ น้ำอุ่น ทีวี Free wifi
นอนงีบยืดสุดตัวได้สักพัก เวลาบ่ายสอง ได้เวลาออกไปแรดเเล้วววว..... เกาะ wifi ที่พัก หาแผนที่เตรียมไว้ก่อน แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ สามารถเดินถึงกันได้หมดครับ ยกเว้นพระธาตุหลวง ไกลหน่อยต้องนั่งรถ
ผมเดินเที่ยวสถานที่ต่างๆระแวกใกล้ๆ ได้สักระยะหนึ่ง มองนาฬิกา ป๊าดดดดด...สามโมงกว่าแล้ว เอาแล้วไงจะไปพระธาตุหลวงทันนไหม ตามข้อมูลปิด สี่โมง
"พี่ๆ ไปพระธาตุหลวงครับ เท่าไหร่?" ผมยกมือโบกสามล้อแถวๆนั้น
"100 บาท"
"ไป-กลับ 100 บาทหรอครับ ?"
"โอ้ยยยย...บ่ ได้ๆ ทำไมไม่มาหลายๆคนจะได้ถูกๆหน่อย"
แหมมม พี่....พูดซะผมรู้สึกผิดเลย
เอาวะไปก่อนเดี๋ยวไม่ทัน โดดขึ้นรถเลย ระหว่างทางพี่แกชวนคุยโน่นนี่ ทำไมไม่มากับเพื่อนกับผู้สาว? เอิ่มมมม...ผมขอข้ามเรื่องนี้ไปเเล้วกัน
ทำเวลาได้ดีมา และแล้วผมก็มาถึง 15:50 ผมนี่วิ่งเลยครับ ประตูเข้าพระธาตุกำลังจะปิดแล้ว ด้วยความที่เวลาน้อยตรูจะพลาดไม่ได้
"ปิดแล้ว เจ้า...." จนท. สาวบอกออกมาด้วยเสียงนุ่มนวล
"ยังครับ เหลืออีก 10 นาที" ผมพูดออกไปพร้อมยกนาฬิกาดู
"ก็ได้...." จนท. พูดพร้อมฉีกบัตร ผมจ่ายค่าเข้าไป 5,000 KIP
ผมใช้เวลาอยู่ด้านในพอสมควรทั้งนั่งมอง ทั้งถ่ายรูป คือแบบบบบ... สวยอ่ะ นั่งมองเฉยๆก็รู้สึกดีแล้ว องค์พระธาตุสีเหลืองทอง ตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ช่วงเวลายามเย็น มันช่างเหมาะอะไรอย่างนี้
เอาหล่ะ ได้เวลากลับแล้ว ยังไม่รู้จะกลับยังไงเลย ผมเดินออกมาตรงที่มีรถสามล้อจอดรอนักท่องเที่ยวหวังจะหาคนหารค่ารถกลับด้วย และแล้ว หึหึ.....แม่สาวน้อยยยย วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมา มีทั้งคนไทยและเกาหลี หนึ่งในนั้นมีน้องคนที่ขอให้ผมช่วยถ่ายรูปที่พระธาตุให้ด้วย กำลังจะขึ้นรถที่เหมามากลับพอดี ผมรวบรวมความกล้าและยิ้มสยาม ขอน้องๆเค้าติดรถกลับไปด้วยจะช่วยค่ารถ รถผ่านไปทางประตูชัยพอดี ผมเลยขอลงตรงนั้น พร้อมช่วยค่ารถไป 25 บาท
ประตูไซ Landmark ของนครหลวงเวียงจันทน์ แดดยามเย็นกำลังสวยงามแนะนำเลยนะครับช่วงเวลา สี่โมงถึงห้าโมง เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ
ชีวิตดี๊ดี slow life มากๆ ผู้คนที่นี่น่ารัก ใจดี อากาศเริ่มจะเย็นๆนิดๆเเล้ว ผมเลยเดินกลับที่พักซื้อน้ำ/ขนมติดไม้ติดมือมากินนิดหน่อย เดี๋ยวค่ำๆ ว่าจะไปหาของกินแถวริมโขง เห็นว่ามีตลาดขายของเยอะ
ตัดมามื้อค่ำเลย หมดไป สามหมื่นกว่า(กีบ) ได้มาหลายอย่างซื้ออย่างไม่คิดคงด้วยเพราะความหิว ตั้งแต่มากินไอ้ขนมปังพื้นเมืองไปอย่างเดียวเอง อาหารที่นี่อร่อยนะผมชอบดูตั้งใจทำดีค่อยๆทำ ค่อยๆย่าง รอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน อาหารร้อนจะมีใบตองรองไว้ตลอด สั่งข้าวเปียกมากินหลักๆ 1 ชาม ซดซุปร้อนๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น