โอฮาโยโกไซมัสค่ะ!
เราเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นได้1อาทิตย์พอดีเป๊ะเลยอยากมาเล่าเรื่องให้ฟังกัน บอกเลยว่าข้อมูลไม่แน่น แต่คิดว่าหลายอย่างมีประโยชน์นะคะ
ทริปนี้เริ่มจากความอิจฉาเพื่อนแรงมากที่วางแพลนปีใหม่กันรัวๆ ไอเราอยู่บ้านไม่ชอบคนเยอะๆเลยเลี่ยงเที่ยวช่วงเทศกาล นั่งกดตั๋วไปเล่นๆ เหยแกกก ตั๋วไปกลับโตเกียว+ที่พัก4คืนของแอร์เอเชีย ตอนนั้นสติหลุดค่ะถูกมั้ยไม่รู้แต่ชั้นอยากไปปป
ไลน์หาเพื่อนอย่างเร็ว แกร๊ ชั้นเจอตั๋วไปกลับ+ที่พัก4คืน เดี๋ยวชั้นกดบัดเจ็ทให้ไม่เกิน20000บาท ไปปะ
..แล้วเพื่อนก็คล้อยตาม เราเลยสอยไป2ใบ..
หลังจากนั้นมานั่งงงว่าชั้นทำอะไรลงไปเนี่ย แพลนก็ไม่มี เงินก็ไม่มี พ่อแม่ยังไม่ได้บอก งานยังไม่ได้ลาและจะลาได้ป่าวไม่รู้ แต่เอาวะ กดไปแล้ว แก้ปัญหาไปทีละอย่างๆจนในที่สุดก็ถึงวันเดินทางค่ะ
ฟูจิมาทักทายเราตั้งแต่ยังไม่แลนด์เลย~
ขอข้ามโตเกียวไปเลยนะคะเพราะเป็นแลนด์มาร์คอยู่แล้วใครๆก็รู้ (แหมมมม.. แกหลงจนไม่มีอะไรจะมาเล่าทำมาเป็นพูดดี)
วันที่2ของการไปญี่ปุ่น พวกเราตื่นตั้งแต่ตี4เพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถบัสที่ชินจูกุรอบ7.10...ใครให้แกเสร่อจองรถรอบเช้าสุดเนี่ย! เป็นไงล่ะ..ตกรถสิคะท่านผู้โช้มม
ก่อนนอนเราก็ศึกษากันอย่างดีว่า ไปลงชินจูกุทางออกนี้นะ แต่รีวิวที่เราหาเจอมีแต่คนนั่งเจอาร์ เรามันนั่งรถธรรมดาเลยออกไม่ถูกเลยค่ะ ออกจากชินจูกุแล้วเอ๋อเลย เพื่อนเปิด google map ส่วนเราถามพนักงานในร้านสะดวกซื้อ กางแผนที่ๆปริ้นจากเว็บให้นางดู นางบอกให้เราไปทางขวา อะ เชื่อนาง นางเป็นคนพื้นที่ ออกจากร้านเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ เหยแกกก เราว่ามันไม่ใช่ว่ะ google ว่าไง? เหมือนgoogleก็จะหลงไปกับเรา หนาวจนไอโฟนเอ๋อหรืออะไร ทำไมไม่บอกว่าเรามาผิดทาง
อะ เอาใหม่ ในเมื่อขวาไม่ใช่ ซ้ายละกัน เดินกลับไปทางเดิม ส่งสายตาอาฆาตไปหาพนักงานคนนั้นเล็กน้อย (หลอกกก เดินหลบค่ะ กลัวเค้าหาว่าบอกทางละยังหลงอีกหรอ ก็คุณบอกทางชั้นผิดด) จนในที่สุดเราก็มาถึง Highway bus ช่วงนี้ไม่มีรูปประกอบใดๆทั้งสิ้นเพราะหนาวมากมือแข็งและกำลังเอ๋อกันอยู่ คิดภาพตามละกันเนอะ
เรารีบเข้าไปหาเคาน์เตอร์ ยื่นใบที่จองรถจากไทยให้พนักงานดู พนักงานยิ้มเบาๆและเงยหน้าพูดว่า "7.10?" ไอเราก็อ๊ายอาย รู้แหละว่าตกรถแน่เพราะรถออกตรงเวลา และตอนนี้7.15 เราก็ยิ้มสยามใส่เค้าไปแล้วตอบว่า "เยส แอมซอรี่" พนักงานเลยเช็คอะไรแปบนึงแล้วบอกเราว่า "7.40 โอเค๊?" เรานี่ดีใจใหญ่สิคะ รอไม่นาน มีเวลาไปกินข้าวแปบนึง รีบตกลงแล้วก็ขอบคุณพี่ท่านแล้วก็รับตั๋วมา
*ตรงต่อเวลานะคะท่านผู้อ่าน นาทีเดียวก็ตกรถนะคะ*
ช่วงรอรถประมาณ20นาทีเราเลยไปหาอะไรกินใกล้ๆ เอ๊ะ เมื่อกี้ตอนเอ๋อๆมาเจอเคเอฟซี ลองไปดูหน่อยซิ อุ้ย ชุดอาหารเช้าเบาๆเหมาะกับ20นาทีของเราพอดีเลยแก เลยจัดไปคนละชุด ของเราเป็นครัวซองค์+ช็อคโกแลตร้อน โอ่ยยย มันดีงาม เหมาะกับอากาศหนาวสุดๆ
ถึงเวลาขึ้นรถค่ะ คนเต็มคันเลย เราก็นั่งหลับไปตื่นมาอีกทีตอนคนขับประกาศว่าสถานีที่จะจอดนี่คือสวนสนุก ลืมตามาปุ๊บ เหยแกกกก ฟูจิลูกเบ้อเริ่ม! ตื่นเต้นมากกกก ทำหน้าเป็นต่างด้าวสุดฤทธิ์ รถไฟเหาะนี่ไม่ใช่ทางของเรา บายยย แต่ฟูจินี่แบบ ชั้นเห็นแล้วแกกก ทริปนี้ชั้นคุ้มแล้วววว น้ำตาจะไหล ถ่ายรูปอวดพ่อแม่ใหญ่
แล้วรถก็มาจอดที่สถานีคาวากูชิโกะ ที่ๆรวมทั้งบัส รถไฟจากโตเกียว รถไฟท้องถิ่น เหยแก มันดีอะ แต่ค่ะ แต่..ลงจากรถหนาวมากกกกก หนาวสะพรึง -6องศา! ห่อตัวหนามากและแดดไม่ช่วยอะไร แต่ยังคงทำตัวเป็นต่างด้าว ยืนถ่ายรูปอยู่แถวสถานี
กว่าจะสงบสติตัวเองได้ก็ใช้เวลาอยู่ แล้วเราก็พาตัวเองไปที่รร.ที่เราจองไว้ ตื่นเต้นมากค่ะบอกตรงๆเพราะเราชอบดีไซน์ของโฮสเทลนี้มากๆ เรียบๆ สะอาด กว้าง เปิด google map ไปเรื่อยๆ จริงๆเดินประมาณ10นาทีก็ถึง แต่2ต่างด้าวมัวแต่ตื่นเต้นกับฟูจิที่อยู่ข้างหน้าเราตลอดทางเดิน เลยถ่ายรูปอยู่นั่น แต่ในที่สุดก็มาถึงค่ะ
ที่พักที่เราเลือกชื่อ Kagelow Mt.Fuji Hostel Kawaguchiko เหยย มันดีงามมากกก เหมือนในเว็บเป๊ะ (ขออภัย มัวแต่ตื่นเต้นรูปเลยไม่เยอะ รูปเพิ่มเติมดูในเว็บของรรได้เลยค่ะ) แต่เราแนะนำเลยค่ะที่นี่ ค่าห้องที่เราจอง2600บาท/คืน เป็นห้องไพรเวทนอน2คน แต่จริงๆห้องนี้เต็มที่ได้4คนเลยนะคะ ห้องกว้างใหญ่ไพศาลมากค่ะ ประตูเป็นบานเลื่อนไม้ เปิดมามองตรงไปจะเห็นฟูจิเลยค่ะ ฝั่งซ้ายมือทำเหมือนเตียง2ชั้น แต่ไม่ใช่เตียงนะคะ ปูฟูกนอนพื้นตามสไตล์ญี่ปุ่นกันไป เพดานห้องสูงค่ะ ไม่อึดอัดเลย เท่ากับว่าตรงฝั่งซ้ายนอนได้2คน ใกล้ๆหน้าต่างจะเป็นพื้นยกระดับที่นอนได้อีก2คน (จริงๆเราว่าเต็มที่ได้3คนเลยนะคะ) แต่ที่นี่ห้องน้ำรวมค่ะ มีห้องอาบน้ำ2ห้องซึ่งอยู่ชั้นล่าง มีแชมพู สบู่ ไดร์เป่าผมให้พร้อมเลย ห้องน้ำสว่าง สะอาด ไม่กว้างมากแต่ก็ไม่แคบ ข้างบนชั้น2ที่เป็นห้องนอนจะมีห้องน้ำรวม2ห้อง และอ่างล้างหน้า ไว้ทำธุระเบาๆ ล้างหน้าตอนเช้า ไม่ต้องอาบน้ำแล้วออกเที่ยวเลย (ก็อากาศมันหนาวเนอะ..นี่ก็หลอกตัวเองว่าไม่สกปรก) ข้างๆห้องน้ำจะเป็นห้องครัว สามารถทำอาหารได้ มีเครื่องครัวและเครื่องปรุงให้นิดหน่อย ตรงล๊อบบี้สามารถสั่งเครื่องดื่มได้ กาแฟ ช็อคโกแลตร้อนอะไรประมาณนั้นแล้วก็กำลังจะเปิดเป็นบาร์ บรรยากาศดีมากค่ะ พนักงานและเจ้าของพูดเก่ง ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แนะนำนั่นนี่ได้เยอะเลยค่ะ เราไปถึงก็ถามพนักงานว่าเราอยากไปเก็บสตรอเบอรี่ ตอนแรกพนักงานดูงงๆเลยให้เจ้าของมาช่วยอีกแรง แต่เค้าบอกว่าไกล ไม่ค่อยแนะนำให้ไป อยู่เที่ยวแถวนี้ดีกว่า เราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้แล้วออกไปเที่ยวแถวนี้แทน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://kagelow.jp/en/
โดยแผนของเราคือเราจะไป Chureito PagodaและArakura Sengen Shrine หรือเจดีย์แดงที่คนไทยรู้จักกันดีนั่นเองค่ะ
พวกเราเดินกลับไปที่สถานีคาวากูชิโกะเพื่อซื้อตั๋วรถไฟท้องถิ่นราคา300เยน โดยซื้อที่ตู้ติดกับห้องขายตั๋วได้เลยค่ะ แล้วทีนี้เราไม่รู้ว่าเราต้องขึ้นรถไฟขบวนไหนเพราะสถานีนี้มีรถไฟหลายแบบมาก เลยไปถามกับเจ้าหน้าที่ เค้าเห็นเราเป็นคนต่างชาติเลยถามว่าเราจะไปไหน พอเราบอกเค้าเลยบอกให้เรารออีกแปบนึง สถานีที่เราจะไปรถไฟยังไม่มา เราก็นั่งรอ เดินดูขนมในสถานี แล้วก็ได้โปสการ์ดเขียนกลับมาให้เพื่อนๆหลายใบ (ซื้อโปสการ์ดกับแสตมป์ที่ร้านขายของและหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์หน้าสถานีได้เลยค่ะ รวมค่าโปสการ์ดกับแสตมป์แล้วประมาณ70บาทต่อใบ)
และแล้วเราก็นั่งรถไฟมาถึงสถานี Shimo-Yoshida ใช้เวลาแค่ประมาณ15นาทีเองค่ะ นั่งดูวิวชิลๆกันไป ออกจากสถานีเลี้ยวขวา ข้ามรางรถไฟ เดินใต้สะพานมาเรื่อยๆตามป้ายเลยค่ะ ป้ายใหญ่โตไม่หลงแน่นอน แค่ประมาณ10นาทีก็ถึงค่ะ( ถ้าไม่แวะถ่ายรูป ซึ่งเราแวะอีกตามเคย)
ความพีคมันอยู่ที่นี่แหละค่ะ เพราะบันไดสูงมากกกกกก ไต่หอบอะค่ะ เราเห็นเค้าทำทาง2แบบ มีบันไดขึ้นไปตรงๆแล้วก็จะมีทางลาดคาดว่าสำหรับรถเข็นด้วย แต่ทางลาดจะวนๆนิดนึงเพราะไต่ไปตามเขา ถ้าใครพาคุณพ่อคุณแม่มีอายุนิดนึง นั่งรถเข็นขึ้นไปตามทางลาดก็ได้นะคะ
ถึงแล้นนน เจดีย์แดงที่ชั้นเห็นในโปรแกรมทัวร์ แต่เดี๋ยวๆ ตรงนี้ยังไม่เห็นฟูจิ ขอไต่ขึ้นไปอีกนิดแล้วชั้นอยากจะเห็นพวกเธอ2คนอยู่ในเฟรมเดียวกัน
ไต่ขึ้นไปหอบแรงมาก คิดว่าขึ้นไปชั้นจะต้องหายเหนื่อย ชั้นจะเห็นความสวยพีคของเธอให้ได้ฟูจิ แต่ค่ะแต่...เมฆมาค่าาา เห็นฟูจิแค่เงาลางๆด้านหลังเมฆ ตอนนั้นแทบอยากจะกลิ้งลงจากเขาให้รู้แล้วรู้รอด ชั้นอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล ตอนชั้นมาถึงเธอยังโผล่มาทักทาย พอชั้นตั้งใจไต่มาหาเธอ เธอดันอายไปหลบหลังเมฆซะงั้น คืออะไรรรร
แต่เอาน่ะ ใจดีสู้เสือ รอซักแปบนางอาจจะโผล่มาอีกก็ได้ พวกเราเลยนั่งรออยู่ตรงจุดชมวิวที่เลยเจดีย์แดงขึ้นไปจุดนึง (จริงๆคือตอนนี้ไปไหนไม่ไหวแล้ว ขาสั่นและหอบแรงมาก) ก็นั่งรอไป..ครึ่งชั่วโมง..อะ ยังไม่เห็น แต่เราไม่รีบ รอต่อก็ได้..1ชั่วโมง..เอ๊ะ ก็ยังไม่มา ชั้นเริ่มหนาวแล้วนะ ขอเห็นนิดนึงหน่า..ผ่านไปเกือบ2ชม. ถอดใจค่ะ ก็ไดดดดด้ ชั้นไปดูเธอที่ Oishi park พรุ่งนี้เช้าก็ได้ เชอะ... แล้วพวกเราก็กลิ้งลงมาจากเขา เดินกลับทางเดิมไปขึ้นรถไฟเพื่อกลับคาวากูชิโกะค่ะ ค่ารถ300เยนเท่าเดิม เช็คเวลากันด้วยเน่ออ เผื่อนั่งชิลกันจนตกรถหรือจะได้กะเวลาที่เดินกลับมาสถานีกันพอดีๆไม่ต้องมานั่งแกร่วเหมือนพวกเรา.. ซึ่งตอนนี้เย็นแล้ว ฟ้าเริ่มมืด แล้วมันหนาวมากกกกกกก หนาวแบบสั่น ควันออกปาก พอกลับมาถึงคาวากูชิโกะเราเลยรีบแวะซื้อของเข้าโฮสเทลเลย
เราชอบบรรยากาศที่สถานีนี้มากค่ะ ดูอุ่นๆ(แม้ความจริงจะหนาวมาก)
เช้าวันต่อมา ตื่นมาปุ๊บรีบเปิดม่าน เฮลโหลววว..อิทสมี ไม่ใช่! เฮลโหลวฟูจี~ นางกลับมาแล้วววว
นี่คือวิวจากห้องนอนค่ะ
แต่งตัวแต่งหน้ามองฟูจิไป รู้สึกว่าตัวเองสวยและชีวิตดีมากจริงๆค่ะ
รีบเก็บของ เช็คเอาท์และเดินไปสถานีเพื่อขึ้น Retro bus สายสีแดงรอบแรกประมาณ9โมง ซึ่งจะไปถึง Oishi park ที่อยู่สถานีสุดท้ายตอนประมาณ9.30 และเรามีเวลาประมาณ40นาทีในการชื่นชมฟูจิ ก่อนจะต้องนั่ง Retro bus สีแดงกลับมาที่สถานีเพื่อขึ้นบัสกลับโตเกียวตอน11.10 คราวนี้เราจะไม่ตกรถแล้วค่ะ
นี่วิวจากหน้าที่พัก เหยย คือมันดีมากอะคุ๊ณณณ
Oishi park ไม่ขออธิบายมาก เพราะสวยเกินกว่าจะอธิบายได้จริงๆ ต้องเห็นกับตาค่ะ
และเพราะพวกเราตั้งใจไปแค่สถานีเดียว เลยไม่ได้ซื้อตั๋วเหมา ซึ่งราคาต่อเที่ยวจากสถานีคาวากูชิโกะไปถึงOishi park อยู่ที่480เยน จ่ายเป็นเงินสดหรือใช้ICแตะก็ได้ค่ะ จ่าย/แตะบัตรตอนลงรถนะคะ (ถ้าเป็นเงินสดหย่อนลงกล่องได้เลย แต่ถ้าจะไช้บัตรแตะ ให้ลุงคนขับกดราคาที่เครื่องก่อนแล้วเราค่อยแตะค่ะ)
เราประทับใจกับที่นี่มากๆ รู้สึกอิฉาคนที่นี่ ได้เห็นฟูจิทุกวันเลย ถ้ามีโอกาสมาญี่ปุ่นคราวหน้าเราจะมาอยู่ที่คาวากูชิโกะให้นานกว่านี้อีกค่ะ
[CR] [SEE THE WORLD] JAPAN EPISODE! : Kawaguchiko
เราเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นได้1อาทิตย์พอดีเป๊ะเลยอยากมาเล่าเรื่องให้ฟังกัน บอกเลยว่าข้อมูลไม่แน่น แต่คิดว่าหลายอย่างมีประโยชน์นะคะ
ทริปนี้เริ่มจากความอิจฉาเพื่อนแรงมากที่วางแพลนปีใหม่กันรัวๆ ไอเราอยู่บ้านไม่ชอบคนเยอะๆเลยเลี่ยงเที่ยวช่วงเทศกาล นั่งกดตั๋วไปเล่นๆ เหยแกกก ตั๋วไปกลับโตเกียว+ที่พัก4คืนของแอร์เอเชีย ตอนนั้นสติหลุดค่ะถูกมั้ยไม่รู้แต่ชั้นอยากไปปป
ไลน์หาเพื่อนอย่างเร็ว แกร๊ ชั้นเจอตั๋วไปกลับ+ที่พัก4คืน เดี๋ยวชั้นกดบัดเจ็ทให้ไม่เกิน20000บาท ไปปะ
..แล้วเพื่อนก็คล้อยตาม เราเลยสอยไป2ใบ..
หลังจากนั้นมานั่งงงว่าชั้นทำอะไรลงไปเนี่ย แพลนก็ไม่มี เงินก็ไม่มี พ่อแม่ยังไม่ได้บอก งานยังไม่ได้ลาและจะลาได้ป่าวไม่รู้ แต่เอาวะ กดไปแล้ว แก้ปัญหาไปทีละอย่างๆจนในที่สุดก็ถึงวันเดินทางค่ะ
ขอข้ามโตเกียวไปเลยนะคะเพราะเป็นแลนด์มาร์คอยู่แล้วใครๆก็รู้ (แหมมมม.. แกหลงจนไม่มีอะไรจะมาเล่าทำมาเป็นพูดดี)
วันที่2ของการไปญี่ปุ่น พวกเราตื่นตั้งแต่ตี4เพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถบัสที่ชินจูกุรอบ7.10...ใครให้แกเสร่อจองรถรอบเช้าสุดเนี่ย! เป็นไงล่ะ..ตกรถสิคะท่านผู้โช้มม
ก่อนนอนเราก็ศึกษากันอย่างดีว่า ไปลงชินจูกุทางออกนี้นะ แต่รีวิวที่เราหาเจอมีแต่คนนั่งเจอาร์ เรามันนั่งรถธรรมดาเลยออกไม่ถูกเลยค่ะ ออกจากชินจูกุแล้วเอ๋อเลย เพื่อนเปิด google map ส่วนเราถามพนักงานในร้านสะดวกซื้อ กางแผนที่ๆปริ้นจากเว็บให้นางดู นางบอกให้เราไปทางขวา อะ เชื่อนาง นางเป็นคนพื้นที่ ออกจากร้านเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ เหยแกกก เราว่ามันไม่ใช่ว่ะ google ว่าไง? เหมือนgoogleก็จะหลงไปกับเรา หนาวจนไอโฟนเอ๋อหรืออะไร ทำไมไม่บอกว่าเรามาผิดทาง
อะ เอาใหม่ ในเมื่อขวาไม่ใช่ ซ้ายละกัน เดินกลับไปทางเดิม ส่งสายตาอาฆาตไปหาพนักงานคนนั้นเล็กน้อย (หลอกกก เดินหลบค่ะ กลัวเค้าหาว่าบอกทางละยังหลงอีกหรอ ก็คุณบอกทางชั้นผิดด) จนในที่สุดเราก็มาถึง Highway bus ช่วงนี้ไม่มีรูปประกอบใดๆทั้งสิ้นเพราะหนาวมากมือแข็งและกำลังเอ๋อกันอยู่ คิดภาพตามละกันเนอะ
เรารีบเข้าไปหาเคาน์เตอร์ ยื่นใบที่จองรถจากไทยให้พนักงานดู พนักงานยิ้มเบาๆและเงยหน้าพูดว่า "7.10?" ไอเราก็อ๊ายอาย รู้แหละว่าตกรถแน่เพราะรถออกตรงเวลา และตอนนี้7.15 เราก็ยิ้มสยามใส่เค้าไปแล้วตอบว่า "เยส แอมซอรี่" พนักงานเลยเช็คอะไรแปบนึงแล้วบอกเราว่า "7.40 โอเค๊?" เรานี่ดีใจใหญ่สิคะ รอไม่นาน มีเวลาไปกินข้าวแปบนึง รีบตกลงแล้วก็ขอบคุณพี่ท่านแล้วก็รับตั๋วมา
*ตรงต่อเวลานะคะท่านผู้อ่าน นาทีเดียวก็ตกรถนะคะ*
ช่วงรอรถประมาณ20นาทีเราเลยไปหาอะไรกินใกล้ๆ เอ๊ะ เมื่อกี้ตอนเอ๋อๆมาเจอเคเอฟซี ลองไปดูหน่อยซิ อุ้ย ชุดอาหารเช้าเบาๆเหมาะกับ20นาทีของเราพอดีเลยแก เลยจัดไปคนละชุด ของเราเป็นครัวซองค์+ช็อคโกแลตร้อน โอ่ยยย มันดีงาม เหมาะกับอากาศหนาวสุดๆ
ถึงเวลาขึ้นรถค่ะ คนเต็มคันเลย เราก็นั่งหลับไปตื่นมาอีกทีตอนคนขับประกาศว่าสถานีที่จะจอดนี่คือสวนสนุก ลืมตามาปุ๊บ เหยแกกกก ฟูจิลูกเบ้อเริ่ม! ตื่นเต้นมากกกก ทำหน้าเป็นต่างด้าวสุดฤทธิ์ รถไฟเหาะนี่ไม่ใช่ทางของเรา บายยย แต่ฟูจินี่แบบ ชั้นเห็นแล้วแกกก ทริปนี้ชั้นคุ้มแล้วววว น้ำตาจะไหล ถ่ายรูปอวดพ่อแม่ใหญ่
แล้วรถก็มาจอดที่สถานีคาวากูชิโกะ ที่ๆรวมทั้งบัส รถไฟจากโตเกียว รถไฟท้องถิ่น เหยแก มันดีอะ แต่ค่ะ แต่..ลงจากรถหนาวมากกกกก หนาวสะพรึง -6องศา! ห่อตัวหนามากและแดดไม่ช่วยอะไร แต่ยังคงทำตัวเป็นต่างด้าว ยืนถ่ายรูปอยู่แถวสถานี
กว่าจะสงบสติตัวเองได้ก็ใช้เวลาอยู่ แล้วเราก็พาตัวเองไปที่รร.ที่เราจองไว้ ตื่นเต้นมากค่ะบอกตรงๆเพราะเราชอบดีไซน์ของโฮสเทลนี้มากๆ เรียบๆ สะอาด กว้าง เปิด google map ไปเรื่อยๆ จริงๆเดินประมาณ10นาทีก็ถึง แต่2ต่างด้าวมัวแต่ตื่นเต้นกับฟูจิที่อยู่ข้างหน้าเราตลอดทางเดิน เลยถ่ายรูปอยู่นั่น แต่ในที่สุดก็มาถึงค่ะ
ที่พักที่เราเลือกชื่อ Kagelow Mt.Fuji Hostel Kawaguchiko เหยย มันดีงามมากกก เหมือนในเว็บเป๊ะ (ขออภัย มัวแต่ตื่นเต้นรูปเลยไม่เยอะ รูปเพิ่มเติมดูในเว็บของรรได้เลยค่ะ) แต่เราแนะนำเลยค่ะที่นี่ ค่าห้องที่เราจอง2600บาท/คืน เป็นห้องไพรเวทนอน2คน แต่จริงๆห้องนี้เต็มที่ได้4คนเลยนะคะ ห้องกว้างใหญ่ไพศาลมากค่ะ ประตูเป็นบานเลื่อนไม้ เปิดมามองตรงไปจะเห็นฟูจิเลยค่ะ ฝั่งซ้ายมือทำเหมือนเตียง2ชั้น แต่ไม่ใช่เตียงนะคะ ปูฟูกนอนพื้นตามสไตล์ญี่ปุ่นกันไป เพดานห้องสูงค่ะ ไม่อึดอัดเลย เท่ากับว่าตรงฝั่งซ้ายนอนได้2คน ใกล้ๆหน้าต่างจะเป็นพื้นยกระดับที่นอนได้อีก2คน (จริงๆเราว่าเต็มที่ได้3คนเลยนะคะ) แต่ที่นี่ห้องน้ำรวมค่ะ มีห้องอาบน้ำ2ห้องซึ่งอยู่ชั้นล่าง มีแชมพู สบู่ ไดร์เป่าผมให้พร้อมเลย ห้องน้ำสว่าง สะอาด ไม่กว้างมากแต่ก็ไม่แคบ ข้างบนชั้น2ที่เป็นห้องนอนจะมีห้องน้ำรวม2ห้อง และอ่างล้างหน้า ไว้ทำธุระเบาๆ ล้างหน้าตอนเช้า ไม่ต้องอาบน้ำแล้วออกเที่ยวเลย (ก็อากาศมันหนาวเนอะ..นี่ก็หลอกตัวเองว่าไม่สกปรก) ข้างๆห้องน้ำจะเป็นห้องครัว สามารถทำอาหารได้ มีเครื่องครัวและเครื่องปรุงให้นิดหน่อย ตรงล๊อบบี้สามารถสั่งเครื่องดื่มได้ กาแฟ ช็อคโกแลตร้อนอะไรประมาณนั้นแล้วก็กำลังจะเปิดเป็นบาร์ บรรยากาศดีมากค่ะ พนักงานและเจ้าของพูดเก่ง ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แนะนำนั่นนี่ได้เยอะเลยค่ะ เราไปถึงก็ถามพนักงานว่าเราอยากไปเก็บสตรอเบอรี่ ตอนแรกพนักงานดูงงๆเลยให้เจ้าของมาช่วยอีกแรง แต่เค้าบอกว่าไกล ไม่ค่อยแนะนำให้ไป อยู่เที่ยวแถวนี้ดีกว่า เราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้แล้วออกไปเที่ยวแถวนี้แทน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยแผนของเราคือเราจะไป Chureito PagodaและArakura Sengen Shrine หรือเจดีย์แดงที่คนไทยรู้จักกันดีนั่นเองค่ะ
พวกเราเดินกลับไปที่สถานีคาวากูชิโกะเพื่อซื้อตั๋วรถไฟท้องถิ่นราคา300เยน โดยซื้อที่ตู้ติดกับห้องขายตั๋วได้เลยค่ะ แล้วทีนี้เราไม่รู้ว่าเราต้องขึ้นรถไฟขบวนไหนเพราะสถานีนี้มีรถไฟหลายแบบมาก เลยไปถามกับเจ้าหน้าที่ เค้าเห็นเราเป็นคนต่างชาติเลยถามว่าเราจะไปไหน พอเราบอกเค้าเลยบอกให้เรารออีกแปบนึง สถานีที่เราจะไปรถไฟยังไม่มา เราก็นั่งรอ เดินดูขนมในสถานี แล้วก็ได้โปสการ์ดเขียนกลับมาให้เพื่อนๆหลายใบ (ซื้อโปสการ์ดกับแสตมป์ที่ร้านขายของและหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์หน้าสถานีได้เลยค่ะ รวมค่าโปสการ์ดกับแสตมป์แล้วประมาณ70บาทต่อใบ)
และแล้วเราก็นั่งรถไฟมาถึงสถานี Shimo-Yoshida ใช้เวลาแค่ประมาณ15นาทีเองค่ะ นั่งดูวิวชิลๆกันไป ออกจากสถานีเลี้ยวขวา ข้ามรางรถไฟ เดินใต้สะพานมาเรื่อยๆตามป้ายเลยค่ะ ป้ายใหญ่โตไม่หลงแน่นอน แค่ประมาณ10นาทีก็ถึงค่ะ( ถ้าไม่แวะถ่ายรูป ซึ่งเราแวะอีกตามเคย)
ความพีคมันอยู่ที่นี่แหละค่ะ เพราะบันไดสูงมากกกกกก ไต่หอบอะค่ะ เราเห็นเค้าทำทาง2แบบ มีบันไดขึ้นไปตรงๆแล้วก็จะมีทางลาดคาดว่าสำหรับรถเข็นด้วย แต่ทางลาดจะวนๆนิดนึงเพราะไต่ไปตามเขา ถ้าใครพาคุณพ่อคุณแม่มีอายุนิดนึง นั่งรถเข็นขึ้นไปตามทางลาดก็ได้นะคะ
ถึงแล้นนน เจดีย์แดงที่ชั้นเห็นในโปรแกรมทัวร์ แต่เดี๋ยวๆ ตรงนี้ยังไม่เห็นฟูจิ ขอไต่ขึ้นไปอีกนิดแล้วชั้นอยากจะเห็นพวกเธอ2คนอยู่ในเฟรมเดียวกัน
ไต่ขึ้นไปหอบแรงมาก คิดว่าขึ้นไปชั้นจะต้องหายเหนื่อย ชั้นจะเห็นความสวยพีคของเธอให้ได้ฟูจิ แต่ค่ะแต่...เมฆมาค่าาา เห็นฟูจิแค่เงาลางๆด้านหลังเมฆ ตอนนั้นแทบอยากจะกลิ้งลงจากเขาให้รู้แล้วรู้รอด ชั้นอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล ตอนชั้นมาถึงเธอยังโผล่มาทักทาย พอชั้นตั้งใจไต่มาหาเธอ เธอดันอายไปหลบหลังเมฆซะงั้น คืออะไรรรร
แต่เอาน่ะ ใจดีสู้เสือ รอซักแปบนางอาจจะโผล่มาอีกก็ได้ พวกเราเลยนั่งรออยู่ตรงจุดชมวิวที่เลยเจดีย์แดงขึ้นไปจุดนึง (จริงๆคือตอนนี้ไปไหนไม่ไหวแล้ว ขาสั่นและหอบแรงมาก) ก็นั่งรอไป..ครึ่งชั่วโมง..อะ ยังไม่เห็น แต่เราไม่รีบ รอต่อก็ได้..1ชั่วโมง..เอ๊ะ ก็ยังไม่มา ชั้นเริ่มหนาวแล้วนะ ขอเห็นนิดนึงหน่า..ผ่านไปเกือบ2ชม. ถอดใจค่ะ ก็ไดดดดด้ ชั้นไปดูเธอที่ Oishi park พรุ่งนี้เช้าก็ได้ เชอะ... แล้วพวกเราก็กลิ้งลงมาจากเขา เดินกลับทางเดิมไปขึ้นรถไฟเพื่อกลับคาวากูชิโกะค่ะ ค่ารถ300เยนเท่าเดิม เช็คเวลากันด้วยเน่ออ เผื่อนั่งชิลกันจนตกรถหรือจะได้กะเวลาที่เดินกลับมาสถานีกันพอดีๆไม่ต้องมานั่งแกร่วเหมือนพวกเรา.. ซึ่งตอนนี้เย็นแล้ว ฟ้าเริ่มมืด แล้วมันหนาวมากกกกกกก หนาวแบบสั่น ควันออกปาก พอกลับมาถึงคาวากูชิโกะเราเลยรีบแวะซื้อของเข้าโฮสเทลเลย
เราชอบบรรยากาศที่สถานีนี้มากค่ะ ดูอุ่นๆ(แม้ความจริงจะหนาวมาก)
เช้าวันต่อมา ตื่นมาปุ๊บรีบเปิดม่าน เฮลโหลววว..อิทสมี ไม่ใช่! เฮลโหลวฟูจี~ นางกลับมาแล้วววว
นี่คือวิวจากห้องนอนค่ะ
แต่งตัวแต่งหน้ามองฟูจิไป รู้สึกว่าตัวเองสวยและชีวิตดีมากจริงๆค่ะ
รีบเก็บของ เช็คเอาท์และเดินไปสถานีเพื่อขึ้น Retro bus สายสีแดงรอบแรกประมาณ9โมง ซึ่งจะไปถึง Oishi park ที่อยู่สถานีสุดท้ายตอนประมาณ9.30 และเรามีเวลาประมาณ40นาทีในการชื่นชมฟูจิ ก่อนจะต้องนั่ง Retro bus สีแดงกลับมาที่สถานีเพื่อขึ้นบัสกลับโตเกียวตอน11.10 คราวนี้เราจะไม่ตกรถแล้วค่ะ
นี่วิวจากหน้าที่พัก เหยย คือมันดีมากอะคุ๊ณณณ
Oishi park ไม่ขออธิบายมาก เพราะสวยเกินกว่าจะอธิบายได้จริงๆ ต้องเห็นกับตาค่ะ
และเพราะพวกเราตั้งใจไปแค่สถานีเดียว เลยไม่ได้ซื้อตั๋วเหมา ซึ่งราคาต่อเที่ยวจากสถานีคาวากูชิโกะไปถึงOishi park อยู่ที่480เยน จ่ายเป็นเงินสดหรือใช้ICแตะก็ได้ค่ะ จ่าย/แตะบัตรตอนลงรถนะคะ (ถ้าเป็นเงินสดหย่อนลงกล่องได้เลย แต่ถ้าจะไช้บัตรแตะ ให้ลุงคนขับกดราคาที่เครื่องก่อนแล้วเราค่อยแตะค่ะ)
เราประทับใจกับที่นี่มากๆ รู้สึกอิฉาคนที่นี่ ได้เห็นฟูจิทุกวันเลย ถ้ามีโอกาสมาญี่ปุ่นคราวหน้าเราจะมาอยู่ที่คาวากูชิโกะให้นานกว่านี้อีกค่ะ