ความทรงจำดีๆเกินขึ้นเสมอที่นี่ “ไต้หวัน”

“ไต้หวัน” แม้ว่าจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ยากสำหรับผมมากครับกับการเขียนเรื่องราวการเดินทางมายังประเทศนี้ เพราะในทุกๆครั้งที่ผมเดินทางมาที่นี่ ผมยังไม่มีโอกาสทำตัวเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวที่ได้เดินลัดเลาะไปที่ต่างๆด้วยตัวเองเท่าไหร่

อาจจะเป็นเพราะผมมีเพื่อนหลายคนที่นั้น และทุกครั้งที่ผมเดินทางไปไต้หวัน ผมก็จะกลายเป็นเหมือนคนท้องถิ่นไปในที่ที่คนท้องถิ่นไป กินในที่ที่คนท้องถิ่นกิน ใช้ชีวิตเหมือนกับการเดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัด ได้เห็นได้สัมผัสความเป็นไต้หวันแบบคนท้องถิ่น

สำหรับนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะมีโอกาสแบบนั้น แต่นั้นก็กลายเป็นอุปสรรคเล็กๆกับการเขียนบันทึกการเดินทางของผม เพราะหลายที่ที่ผมไม่สามารถอธิบายได้อย่างละเอียดว่าคืออะไร การเดินทางมาอย่างไร

เรื่องราวในครั้งนี้จึงอยากจะเล่าผ่านสิ่งที่ผมพบ สิ่งที่ผมเห็น สิ่งที่ผมสัมผัสได้มากกว่า และหวังว่าการเดินทางของผมจะสร้างอีกประสบการณ์ให้คุณได้ครับ

ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งจากสนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสนามบิน Taoyuan International Airport สนามบินหลักของเมืองไทเป ระบบจัดการจัดการทั้งเรื่องการตรวจคนเข้าเมือง การรับกระเป๋า การเดินทางจากสนามบินสู่เมืองก็ดูมีระบบค่อนข้างดีมาก

สำหรับผมการเดินทางมาในครั้งนี้เหมือนการแวะไปเที่ยวบ้านเพื่อนสนิท มีเพื่อนคนท้องที่ขับรถมารับ ไปเที่ยวด้วยกัน ไปกินด้วยกัน และที่สำคัญไปไหว้พระด้วยกัน เพราะนั้นคือจุดมุ่งหมายของผมในครั้งนี้

ผมเริ่มต้นด้วยวัดที่เหมือนจะเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงไต้หวัน “วัดหลงซาน” ความแปลกอย่างหนึ่งของการไหว้พระที่ไต้หวัน คือ ธูป ในบางวัดธูปแต่ละกระถางที่เราปักหลังจากอธิษฐานจะใช้ธูปเพียงกระถางละ 1 ดอกเท่านั้น

“วัดหลงซาน” วัดที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเมืองไทเป และเป็นคล้ายสัญลักษณ์ที่พลาดไม่ได้ด้วยเหตุผลทั้งปวดเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมายังไต้หวัด วัดหลงซาน หรือ หลงซานซื่อ เคยถูกทำลายได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามโลก แต่ภายหลังสงครามจบลงได้มีการบูรณะกลับมาจนถึงปัจจุบัน

ด้านในจะพบกับสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ละเอียด และดูลงตัวอย่างมาก ผู้คนจำนวนมากทั้งคนไต้หวันและนักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาที่นี่เพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาอธิษฐานขอพรและได้ตามที่ขอ ผมอดไม่ได้ครับที่จะต้องสักการะเหมือนกัน











วันแรกของการเดินทางในช่วงค่ำผมมีนัดกับเพื่อนชาวไต้หวัน ที่ร้านอาหารจีนสไตล์ฟิวชั่น ความรู้สึกของการได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าอีกครั้งมันทำให้นึกถึงความทรงจำที่ดีที่เราเคยมีร่วมกัน อาหารหน้าตาแปลกไปจากทุกวันที่ผมกิน รสชาติที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรมากนัก

เพราะเสียงของคนที่คุ้นเคย การพูดคุยระหว่างเราบนโต๊ะต่อเนื่องไปกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันในค่ำคืนนั้น







ระหว่างที่ผมติดรถเพื่อนไปยังที่พัก ผมขอให้เพื่อนหาจุดที่ผมจะสามารถถ่ายรูปกับจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดของการเดินทางมาไทเปของนักท่องเที่ยว นั้นคือ ตึกไทเป 101 สำหรับผมครั้งก่อนหน้าที่ผมเดินทางผมเคยขึ้นไปด้านบนมาแล้ว ครั้งนี้ผมจึงอยากจะแค่ถ่ายรูปว่าผมได้กลับมาที่นี่อีกครั้งแล้วก็พอ





เช้าวันรุ่งขึ้นผมมีนัดที่จะไปน้ำพุร้อนที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวัน อยู่ไม่ห่างจากตัวไทเปมากนัก โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาโดยรถไฟ หรือจะเดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัวแบบผมก็ได้ โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาทีทางรถยนต์

ผมค่อนข้างชอบบรรยากาศการออกแบบเมืองออกเป่ยโถว อาจจะเป็นเพราะการเข้ามาช่วยดูแล ช่วยออกแบบ ร่วมถึงช่วยจัดการจากรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้ผังเมืองของเป่ยโถวจะว่าไปก็มีความเหมือนเมืองในชนบทของญี่ปุ่นมากเลยทีเดียวครับ







ลำธารขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไหลผ่านกลางแยกระหว่าง 2 ฟากถนนออกอย่างชัดเจน เสียงน้ำไหลที่สำหรับผมสร้างบรรยากาศที่ดีเลยครับ ผมเดินเลาะขึ้นไปตามทางไปด้านบนที่ลาดเอียงสูงขึ้น อาคารไม้หลังใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่กลางระหว่าง 2 ฟาก คล้ายกับอยู่กลางน้ำดึงดูดผมให้เข้าไปดู

ห้องสมุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่ผมเคยไปมา อาคารไม้ตกแต่งอย่างลงตัวสร้างหลบอยู่ในต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศที่เหมาะมากกับการอ่านหนังสือ และการจัดการ รวมถึงออกแบบด้านในสำหรับผมนี่น่าจะเป็นห้องสมุดที่ทำให้ผมอยากมานั่งอ่านหนังสือทั้งวัน







ใช้เวลาอยู่ที่ห้องสมุดนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผมจะเดินต่อขึ้นไปด้านบนที่เป็นบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ เป็นอีก 1 สัญลักษณ์ที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่นี่จะขึ้นไปชม

“Beitou Thermal Valley” บ่อน้ำพุร้อนที่เปิดให้เข้าชม ด้านในถูกจัดตกแต่งอย่างสวยงาม ทางเดินเลาะด้านข้างโครงสร้างเป็นไม้ลัดเลาะไปตามบ่อที่ความร้อนลอยขึ้นมาเป็นไอได้อย่างชัดเจน คุณจะรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำ กลิ่นแร่ไม่เข้มมากนักสัมผัสได้อย่างชัดเจน









นักท่องเที่ยวไม่มากในวันที่ผมไป เพราะเป็นวันธรรมดาส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นที่แวะเข้ามาถ่ายรูปในบริวเณนี้ ผมใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่จะเดินออกไปด้านนอกเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงเที่ยงวันพอดี ร้านก๋วยเตี๋ยวราเมงด้านล่างคือเป้าหมายของผมสำหรับมื้อกลางวัน







แถวยาวเยียดออกมาด้านหน้าร้านทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะต้องขอลองซักครั้ง ผมได้รับคิวที่ต้องรออีกกว่า 20 คิวเพราะเป็นช่วงเวลาอาหารกลางวันพอดี หลังจากรอเข้าแถวเกือบ 1  ชั่วโมง เสียงประกาศเรียกเลขบัตรคิวของผม

ราเมงหลายรสชาติ หลายแบบมีให้เลือก มีเกมสนุกๆในร้านนี้สำหรับลูกค้าทุกโต๊ะ โดยลูกค้าสามารถมาเล่นเกมคล้ายๆกับการขว้างของออกไปอีกด้านหนึ่งตามรางที่เป็นเชือก หากสามารถขว้างไปอีกด้านแล้วเกินเสียงกระติ่งดังขึ้นได้ สามารถสั่งเกี้ยวซ่าได้ในราคาลด 50% มีลูกค้าหลายโต๊ะต่อแถวรอเล่นเกมนี้







ผมใช้เวลาไม่นานกับการจัดการราเมงชามน้ำ เพราะต้องบอกเลยครับว่ารสชาติเยี่ยมเลย หากคุณได้ไปเที่ยวที่เป่ยโถว ผมแนะนำว่าร้านนี้จะอยู่ทางด้านซ้ายมือของทางขึ้น หากเดินออกมาจากสถานีรถไฟก็ให้เดินข้ามถนนมาอีกฟากร้านจะมีคนต่อแถวเห็นได้ไม่ยากอย่างแน่นอน

หลังจากจัดการกับราเมงชามโตเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนชาวไต้หวันของผมขับรถพาผมไปอีกฟากหนึ่งของบริเวณเป่ยโถว ซึ่งบริเวณดังกล่าวยังมีบ่อน้ำร้อนอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อนผมเลือกพาไปบ่อน้ำร้อนสาธารณะแห่งหนึ่ง

ก้าวแรกที่ผมเดินทางไปถึงต้องบอกเลยครับว่าบรรยากาศไม่ต่างจากที่ผมเคยไปใช้บริการที่ประเทศญี่ปุ่นเลยครับ มีการถอดแบบรูปแบบต่างๆมาชนิดที่ว่าหากมองแต่ด้านในคงคิดได้เลยครับว่าผมอยู่ประเทศญี่ปุ่น ผมว่าหากคุณมีโอกาสไปแถวนั้น คุณน่าจะลองหาโอกาสซักครั้งไปลองใช้บริการบ่อน้ำร้อนซักที่ในบริเวณเป่ยโถวก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี





ใช้เวลาประมาณ  1 ชั่วโมงกับการแช่ในบ่อน้ำร้อน ผมเลือกที่จะแวะไปนั่งกินชา บนวิวภูเขาจากร้านกาแฟด้านบน บรรยากาศแม้อาจจะไม่ต่างอะไรมากนักกับบรรยากาศร้านกาแฟในภาคเหนือของเรา แต่อากาศในช่วงที่ผมไปต้องบอกเลยครับว่าลงตัวมากๆสำหรับการมานั่งดื่มชาร้อนๆแบบนี้





ในช่วงค่ำของวันนั้น เราตัดสินใจกันที่จะไปตลาดกลางคืน ซึ่งคล้ายกับตลาดโต้รุ่งในบ้านเราเลยครับ มีอาหารมากมายหลายชนิดให้เลือกกินตลอดเส้นทาง สำหรับผมเยี่ยมเลยครับกับรสชาติอาหารไต้หวัน ผมลองหลายอย่างที่บ้างก็ดูเหมือนอาหารไทย และหลายอย่างก็หน้าตาแปลกใหม่สำหรับผมมากทีเดียว













หลังจากเดินจนทั่วตลาด เพื่อนชาวไต้หวันของผมตัดสินใจเลือกร้านอาหารตามสิ่งที่ผมชอบอีกครั้งสำหรับค่ำคืนนี้ ผมชอบที่จะมองที่ต่างๆจากมุมสูงๆ เพื่อนจึงเลือกร้านอาการชื่อ The Top ซึ่งเป็นร้านอาหารที่อยู่ด้านบนเขาอีกฟากหนึ่งของบริเวณเป่ยโถว

มุมที่คุณจะได้เห็นเป็นภาพมุมสูงของเมืองไทเปทั้งเมืองจากอีกด้านหนึ่งของภูเขา ครั้งหนึ่งผมเคยได้มองไทเปจากมุมสูงโดยการปีนขึ้นภูเขารูปช้าง หรือ (Elephant Mountain) ที่ต้องออกแรงเดินขึ้นไปบนยอดประมาณ 25 นาที แต่ครั้งนี้เราสามารถขับรถมาถึงที่ด้านบนได้โดยไม่ต้องออกแรงเหนื่อยเลย







ผมชอบนะกับการได้มองอะไรจากมุมสูงๆ การได้เห็นอะไรในมุมมองที่ต่างออกไป ช่วงที่ผมไปถึงเป็นช่วงประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งตึก อาคารต่างๆก็เปิดไฟกันสว่างไปทั่วบริเวณ ที่เห็นได้อย่างชัดก็คงหนีไม่พ้นตึก Taipei 101 ตึกที่สูงที่สุดในเมืองไทเปนั้นเอง

ผมใช้เวลากับการนั่งมอง นั่งคุย นั่งกินอะไรอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงก็น่าจะได้ ลมที่พัดแรงบวกกับอากาศที่ค่อนข้างหนาว สลับการมีฝนตกลงมาปร่อยๆแม้ว่าจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่เราก็สามารถอยู่ที่นั่นได้กว่า 2 ชั่วโมงก่อนที่จะกลับเข้าเมือง เพราะพรุ่งนี้ผมมีโปรแกรมที่จะต้องออกเดินทางไปอีกเมืองหนึ่งของไต้หวัน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่