ปี 2558 / 2015 กับการดูหนัง (ในโรงฯ) 308 เรื่อง



ปีที่ผ่านมานี้เป็นปีที่เราทำลายสถิติในทุกๆ ทางกะการดูหนังในโรงภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นหนังที่เข้าฉายตามโปรแกรมปกติ หรือหนังที่ฉายตามเทศกาลหรืองานต่างๆ ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วก็ 308 เรื่อง แต่จำนวนรอบนี่จำไม่ได้ เพราะมีบางเรื่องดูมากกว่า 1 รอบ (ในจำนวนนี้มีหนังที่ดูที่เกาหลี 1 เรื่อง และดูที่มาเลเซีย 7 เรื่อง)

จากที่เราเก็บข้อมูลหนังที่เข้าฉายมาตั้งกะต้นปี นับรวมแล้วมีหนังที่เข้าฉายตามโปรแกรมปกติถึง 318 เรื่อง (ในจำนวนนี้เราดูไป 272 เรื่อง) มีหนังไทย 57 เรื่อง หนังอินเดีย 32 เรื่อง หนังสารคดีจาก Documentary Club 10 เรื่อง นอกนั้นเป็นหนังฮอลลีวูดและอื่นๆ รวมกัน 323 เรื่อง นอกจากหนังที่เข้าฉายแบบปกติแล้ว ยังมีหนังที่คัดเลือกเข้ามาฉายตามงาน film festival อีกเกือบทุกเดือน แล้วก็ยังมีหนังคอนเสิร์ตที่เข้าฉายแบบเป็น event เฉพาะกิจอีกหลายเรื่อง

มองในภาพรวมนี่นับว่าเป็นโชคดีของคนไทยเหมือนกันนะ ที่มีหนังเข้าฉายในแต่ละสัปดาห์ให้เลือกดูหลากหลายมาก จากที่เก็บข้อมูล สัปดาห์ที่มีหนังใหม่เข้าฉายมากที่สุดถึง 9 เรื่องในสัปดาห์เดียว (ส่วนสัปดาห์ที่หนังเข้าฉายน้อยที่สุดคือ 3 เรื่อง) เรียกว่าเลือกดูกันไม่หวาดไม่ไหว
แต่พอมองแบบลึกลงไปจะพบว่าหนังที่เข้าฉายหลายๆ เรื่องเนี่ย โปรแกรมฉายของโรงหนังส่วนใหญ่ก็จะซ้ำๆ กัน ส่วนหนังที่ออกแนวอินดี้หรือดูนอกกระแส (หรือดูท่าทางว่าจะขายยาก) ก็จะกระจุกตัวฉายกันอยู่ไม่กี่โรงฯ อย่าง พารากอน เซ็นทรัลเวิล์ด เอาพลานาด กะเมเจอร์รัชโยธิน แค่นี้ (อาจมีไปโรงอื่นบ้าง แต่น้อยมาก) ส่วนต่างจังหวัดก็จะมีที่เชียงใหม่แค่นั้น (อาจมีบางเรื่องไปขอนแก่น หรือจังหวัดอื่นบ้าง แต่ก็น้อยมากอยู่ดี) ส่วนเราที่อยู่ชลบุรีอ่ะเหรอ แทบจะไม่มีหนังแบบที่ว่านี้หลุดมาถึงเลย ถ้าอยากดูก็ต้องเข้า กทม. อย่างเดียว หนังจาก Doc Club ก็ฉายแต่ที่ เซ็นทรัลเวิล์ดกะเชียงใหม่ (นานๆ จะมีหลุดไปโรงฯ อื่นๆ บ้าง) ส่วนหนังอินเดียก็จะมีโรงฯ ฉายหลักอยู่ที่ เมเจอร์เอกมัย พระราม 3 และก็ที่พัทยา (อันนี้ถือเป็นโชคดีของเรา) แน่นอนว่างานเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ก็จะมีจัดฉายตามโรงฯ ที่กล่าวไปแค่นั้นแหละ

ส่วนโรงหนังทางเลือกอย่างของเครือเอเพ็กซ์ (สกาล่า ลิโด) จะเห็นว่าปีที่ผ่านมานี้เน้นฉายหนังในกระแสเป็นหลัก หนังที่ exclusive จริงๆ ถ้าจำไม่ผิดจะมีแค่ Beauty and the Beast, Gerontophilia กะ Wolf Totem แค่ 3 เรื่อง แต่อันนี้เราก็เข้าใจนะ จะมาทำตัวอินดี้ฉายหนังนอกกระแสจนเจ๊งไปก็ใช่เรื่อง ส่วน House ก็ยังคงมีหนังโปรแกรมน่าสนใจเข้าฉายอยู่ตลอดทั้งปีเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ หนังหลายๆ เรื่องไม่ได้ฉายที่ House ที่เดียวแล้ว แต่จะเข้าฉายโรงฯ อื่นด้วย (ซึ่งก็ไม่พ้นโรงฯ ที่ว่าไปนั่นแหละ) ส่วนหนังที่ exclusive @ House ถ้าจำไม่ผิดปีนี้มีแค่ 2 เรื่องคือ So Very Very กะ Hand in the Glove เท่านั้น

ว่ากันมาซะยาว จริงๆ แค่อยากจะมาเล่าถึงหนังที่เป็นที่สุดของเราในปีที่ผ่านมานี้แหละ ซึ่งก็มาจากความเห็นส่วนตัวล้วนๆ เริ่มกันเลยดีกว่า And My Favorite Goes to…


หนังฝรั่งที่ชอบที่สุด – Still Alice (อลิซ... ไม่ลืม)
จริงๆ ที่ชอบมากๆ ก็มีหลายเรื่องนะ อย่าง The Imitation Game หรือ The Theory of Everything ไรงี้ แต่ที่เลือก Still Alice เพราะจำได้ว่าตอนดูจบนี่ซึมไปเลย สงสารอลิซ T_T


หนังไทยที่ชอบที่สุด – แค่... ได้คิดถึง (Snap)
หมวดนี้นี่ที่จริงเป็น เพลงของข้าว มาตลอดเลยนะ คือเราชอบมาก แต่มาโดน Snap ที่เข้าฉายในวันสุดท้ายของปีไปอย่างฉิวเฉียด คือเรารู้สึกว่าอินด้วยมั้ง ๕๕๕


หนังญี่ปุ่นที่ชอบที่สุด – Our Little Sister (เพราะเราพี่น้องกัน)
ปีนี้นี่มีความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกะหนังญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น คือเริ่มมีหนังญี่ปุ่นเข้าฉายในโปรแกรมปกติมากขึ้น (แม้กว่าครึ่งจะเป็นหนังการ์ตูนก็เหอะ) มีหลายเรื่องที่ชอบ แต่ชอบเรื่องนี้สุดเลย เราว่ามันเป็นหนังที่เล่าเรื่องเรื่อยๆ ไม่มีอะไรฟูมฟาย แต่น่าติดตามดีอ่ะ


หนังอินเดียที่ชอบที่สุด – NH10
ปีนี้มีหนังอินเดียเข้าฉายเยอะนะ ได้ดูเกือบทุกเรื่องเลยด้วย แต่ไม่มีหนังที่รู้สึกว่า “ปัง” เลยอ่ะ แม้แต่โปรแกรมใหญ่ๆ อย่าง Bajrangi Bhaijan , Prem Ratan Dhan Payo , Dilwale หรือ Bajirao Mastani แต่ที่ชอบที่สุดกลับเป็นหนังอย่าง NH10 ที่เราว่ามันแปลกดี รสชาติไม่เหมือนหนังหนังอินเดียที่คุ้นเคยดี


หนังสารคดีที่ชอบที่สุด – The Wolfpack (หมาป่าคอนกรีต)
ต้องขอบคุณ Documentary Club จริงๆ นะ ที่เอาหนังสารคดีเข้าฉายเปิดหูเปิดตาคนไทยดีมาก หลายๆ เรื่องนี่สนุกกว่าหนังเล่าเรื่องซะอีก อย่าง Life Itself , Citizenfour , Amy ไรงี้ แต่ที่ชอบสุดก็ The Wolfpack นี่แหละ ทั้งตลก ทั้งทึ่ง ทึ่งทั้งครอบครัวต้นเรื่องในหนังและก็ผู้กำกับที่ถ่ายมาได้


อนิเมชั่นที่ชอบที่สุด – Song of the Sea (เจ้าหญิงมหาสมุทร)
ที่เราชอบเพราะเราว่าหนังมันสดใสดีอ่ะ สนุกด้วย รสชาตแปลกใหม่ด้วย เอาชนะอนิเมชั่นดังๆ อย่าง Inside Out กะ The Boy and the Beast ไปได้
หนังโปรแกรมพิเศษ (ไม่ได้ฉายในโปรแกรมปกติ) ที่ชอบที่สุด – The Ravine of Goodbye
หนังจากเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น ว่าด้วยการแก้แค้นของเด็กผู้หญิงที่โดนข่มขืนจนชีวิตของเธอต้องย่อยยับไปด้วย สุดมากๆ ชอบการแก้แค้นแบบนี้ ผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ นะ


หนังที่มันส์ที่สุด – Sicario (ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด)
หมวดนี้หลายคนอาจยกให้ Mad Max: Fury Road ซึ่งเราก็เห็นด้วยอ่ะนะว่ามันส์จริงๆ แต่ส่วนตัวเราว่า Mad Max มันโฉ่งฉ่างไปหน่อย แต่ Sicario นี่มาแบบนิ่งๆ เงียบๆ แต่ดุดันจริงๆ ชอบในหลายๆ อย่างเลย อ้อ สำหรับคนที่พลาดเพราะเทรลเลอร์ดูธรรมดามาก ขอบอกว่าเสียดายแทนจริงๆ เลยนะฮะ


หนังที่น่ากลัวที่สุด – It Follow (อย่าให้มันตามมา)
ค่อนข้างจะเซอร์ไพรส์มากๆ ไม่คิดว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้ (แถมยังตลกด้วย) ชอบที่การดีไซน์ให้ “ผี” (ในที่นี้คือ It) เป็นใครก็ได้และจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ได้ Insidious: Chapter 3 ก็ดี แต่รู้สึกว่าภาคนี้มันเบาไปหน่อย The Visit ก็ชอบนะ แต่เราว่าตอนจบมันไม่ค่อยโอเค


หนังที่โหดเหี้ยมที่สุด – The Tribe (อันตราย)
หนัง(เกือบจะ)เงียบ เล่าเรื่องของสังคมคนใบ้ ที่ทำให้เราได้รู้ว่า โลกของเค้านั้น แท้จริงไม่ได้ต่างอะไรกะโลกของคนทั่วๆ ไปเลย และฉากจบที่โหดเหี้ยมที่สุด แต่ชอบนะ


หนังที่อยากเข้าใจที่สุด – Vanishing Point
หนังไทยที่ไปคว้ารางวัลจาก film festival จากต่างประเทศ เข้าฉายในไทยแบบเงียบๆ เห็นนักวิจารณ์หลายคนชมนักชมหนา แต่เรายอมรับว่าดูแล้วไม่เข้าใจอ่ะ ประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อเรายังไม่รู้เลยอ่ะ บอกก่อน ว่าไม่ใช่หนังมันไม่ดีนะ ที่ไม่ดีคือเราเองที่ตีความหนังไม่เป็นอ่ะ


หนังที่ดูแล้วหิวที่สุด – Little Forest: Summer & Autumn & Winter & Spring
หนัง 4 ฤดู จาก 2 เรื่อง ปีนี้มีหนังเกี่ยวกะอาหารให้ดูหลายเรื่อง แต่ที่ชอบ Little Forest เพราะชอบที่อาหารในหนังมันดูธรรมดา เข้าถึงง่าย (มั้ง ?) ต่างจากหนังอย่าง Foodies หรือ A Matter of Taste: Serving Up Paul Liebrandt ที่อาหารในหนังมันช่างดูอยู่สูงซะจนไม่รู้ว่าชาตินี้เราจะได้สัมผัสมั้ย


หนังที่เสียดาย (ที่ไม่ได้ดูในโรงฯ) ที่สุด – อนธการ (The Blue Hour)
หนังไทยเรื่องนี้บอกตรงว่าอยากดูมาก ซึ่งปกติถ้ามีหนังเรื่องไหนที่เราอยากดูเราก็เข้า กทม. ไปดูแหละ แต่ช่วงที่ อนธการ เข้า เราไม่สามารถไปดูได้จริงๆ เลยรู้สึกว่าเสียดายมากๆ แม้ต่อไปมีแผ่นวางขายก็เหอะ ก็ไม่รู้ว่าจะชอบเท่าถ้าได้ดูในโรงฯ หรือเปล่า


หนังที่ชื่อไทยเก๋ไก๋ที่สุด – The Intern (โก๋เก๋ากับบอสเก๋ไก๋)
ครีเอทอ่ะ สะดุดกะชื่อมาก ตัวหนังก็ดูเพลินดีด้วย นี่ถ้าสามารถเปลี่ยนคำว่า “บอส” ให้เป็น “ก.ไก” ได้ อาจจะเก็ไก๋กว่านี้อีกนะ


หนังที่ชื่อไทยอะไรของแก๊ที่สุด – Maggie (ซอมบี้ ลูกคนเหล็ก)
ก็เข้าใจว่า อาร์โนลด์ อ่ะ เค้าติดภาพคนเหล็ก แต่พอหนังที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรขนาดนี้ก็ไม่ต้องใช้ “คนเหล็ก” ก็ได้มั้ง แต่หรือว่าเจ้าของหนังหวังผลให้คนเข้าใจผิดกะ Terminator: Genisys ที่เข้าฉายสัปดาห์ต่อมาก็ไม่รู้นะ


หนังที่ชื่อหนังอะไรของแก๊ที่สุด – เลิฟอะรูมิไลค์ รักอะไรไม่รู้ (Love Arumilike)
นี่เป็นหนังที่พอได้ยินชื่อจะ “เดี๋ยว อะไรนะ ?” มากที่สุด เฮ้ย ฟังแล้ว หนังมันเกี่ยวกะอะไรกันนะ งงมาก แม้จะดูหนังจบแล้วก็ยังคิดว่า “ชื่อหนังมันต้องการสื่ออะไรวะ ?” เอ๊ะ หรือต้องการสื่อว่าสลับร่างกัน ?!?


หนังที่เอพิคที่สุด – Bahubali
โปรดักชั่นอลังการดาวล้านดวงมากๆ สำหรับหนังอินเดียเรื่องนี้ เป็นหนังประมาณ Games of Throne ผสมกะ The Lord of the Rings แต่เป็นเวอร์ชั่นบอลลีวูด และตัวหนังมันก็สนุกมากๆ ด้วย


หนังที่มีวิธีการเล่าเก๋ไก๋ที่สุด – Unfriended
หลายคนอาจจะมองว่ามันก็หนัง found footage นี่แหละ ก็ใช่นะ แต่เรื่องนี้เราว่าวิธีที่หนังเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมือนว่าเรานั่งดูอยู่หน้าจอเดียวกะนางเอกของเรื่องนี่มันเจ๋งดีและยังไม่มีใครเคยทำอ่ะ


หนังที่ร้องไห้หนักมากที่สุด – Fleet of Time (คำตอบของใจ...คือใช่เธอ)
หนังจีนที่เล่าเรื่องของกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่กลับมาเจอกันในงานแต่งเพื่อนคนนึงแล้วก็เริ่มนึกถึงความหลังกัน (เฮ้ย Snap หรือเปล่า ?) ดูแล้วชอบมากๆ อ่ะ ได้แต่คิดว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้วะ ? ทำไมต้องเจอแบบนี้วะ ? แม้จะรู้สึกขัดๆ กะบทบาทของตัวละครสมัยมัธยมอยู่บ้างก็เหอะ


หนังที่คิดว่ามันก็โอเคแหละที่สุด – The Hunger Games: Mockingjay Part II (เกมล่าเกม: ม็อกกิ้งเจย์ พาร์ท 2)
ไม่ใช่อะไรหรอก ด้วยความที่เป็นแฟนฮังเกอร์เกมส์มากๆ รู้สึกเสียดายที่ภาคจบหนังแบ่งออกเป็น 2 พาร์ท แล้วพาร์ทแรกมันเบาไปหน่อย เลยค่อนข้างตั้งความหวังกะพาร์ท 2 เอาไว้สูง พอหนังมันไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง มันเลยแปลกๆ ไป คือไม่ใช่ว่าหนังมันไม่ดี หรือไม่สนุกนะ มันก็สนุกดีมากๆ เลยแหละ แต่แค่รู้สึกว่าถ้าหนังทำออกมาเป็นภาคเดียวจบ มันน่าจะมีอะไรที่อิมแพคท์เราได้มากกว่านี้ (แต่ไลอ้อนเกทคงไม่แคร์หรอก เพราะสามารถทำเงินได้ 2 เท่าจากการแบ่งหนังเป็น 2 พาร์ท)


หนังที่งงว่ามันฮิตขนาดนั้นได้ยังไงที่สุด – Jurassic World
นี่ก็ไม่ใช่ว่าหนังไม่สนุกนะ มันก็สนุกดี แต่เราว่ามันสนุกตามอัตถาพของหนังแอ็คชั่นนะ เลยไม่เข้าใจว่า ทำไมคนดูถึงได้ตื่นเต้นกันจนหนังทำเงินรอบโลกไปมหาศาลขนาดนั้นได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่