รีวิวดีๆจากคุณ Manoi ครับ

กระทู้สนทนา
| โพสกระทู้นี้ลงทวิตเตอร์ | โพสกระทู้นี้ลง facebook ของคุณ  |     
★★★ "สิ่งที่ทีมชาติไทย ขาดหายไปในระดับเอเชีย" :by Manoi ★
« เมื่อ: มกราคม 18, 2016, 05:24:43 PM »





"สิ่งที่ทีมชาติไทย ขาดหายไปในระดับเอเชีย"





www.youtube.com/watch?v=M4HlCNhFG9I    



นักเตะทีมชาติไทยของเรามีสิ่งที่หลายๆชาตินั้นไม่มี และ มีอีกหลายๆชาติที่อยากจะมี
แต่เราไม่เคยเห็นคุณค่าของมัน นั่นคือการที่เบื้องบนส่งพรสวรรค์บางอย่างมาให้เรา นั่นคือ . . .

"ความสามารถเฉพาะตัว"

แต่เราไม่ได้ถูกฝึกมาจากเบสิคของฟุตบอลที่ดี เราไม่มีการวางรากฐานของระบบเยาวชนที่ดีพอ
ถ้าเรามีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี มองถึงพื้นฐานของการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ระดับเยาวชน
เราจะมีฐานของปิรามิดที่มั่นคงและยั่งยืน แต่ทุกวันนี้ระบบเยาวชของทีมชาติไทยมาจาก "อะคาเดมี่"
เพียงแค่ไม่กี่สโมสรจากลีคสูงสุดของประเทศ และมาจากระดับบอลนักเรียนขาสั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจาก
การวางรากฐานของฟุตบอลในระดับชาติ แต่มันคือการดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดของบรรดาสโมสรสมาชิก

ซึ่งถ้าเรามองย้อนไปข้างหลัง ไม่มีประเทศไหนในโลกที่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกลูกหนัง
ที่ไม่ได้เริ่มสร้างรากฐานมาจากเยาวชน เพื่อขึ้นมาสู่ทีมชาติชุดใหญ่ ประเทศที่อาจสอดแทรกเป็นม้ามืดในการคว้าแช็มป์
ในระดับทวีปอย่าง เดนมาร์กหรือกรีซ ล้วนแล้วแต่สร้างรากฐานขึ้นมาจากปลายจุดสูงสุดของปิรามิดแทบทั้งนั้น
ผลก็เป็นอย่างที่เราเห็นกันนั่นคือ การคว้าแช็มป์เพียงแค่ชั่วข้ามคืนแล้วก็จากไป
(เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้สร้างรากฐานให้มั่นคงนั่นเอง)




สมาคมของเรากำลังเดินทางในทางที่ผิด นั่นคือการเริ่มจากยอดสูงสุดไปสู่ฐานที่ต่ำสุดของปิรามิด (เพราะเราต้องการทางลัด)
"ญี่ปุ่น" มีแผนผังฟุตบอลแห่งชาติใช้เวลาเป็น 100 ปี ในการที่จะมายืนถึงจุดๆนี้ในปัจจุบัน แล้วพวกเราเป็นใครกันที่จะมากอบโกย
ความสำเร็จในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี เพื่อมาเทียบเท่ากับพวเขา ตราบใดที่เรายังไม่จริงจังและจริงใจ
ที่จะร่วมกันพัฒนาทีมชาติไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


"ตราบใดที่พวกคุณยังกัดกันไม่เลิกเหมือนหมาแย่งกระดูก เราก็จะไม่มีวันเห็นฟุตบอลไทยก้าวไกลในระดับเอเชีย"





เรามี "Tiktok สไตล์" สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของทีมชาติไทย ที่หลายๆทีมในเอเชียนั้นอิจฉา
เราหาสไตล์การเล่นที่เหมาะสมกับทีมชาติของเราจนเจอ แต่สิ่งที่เราขาดหายไปนั่นคือ . . .


แผนการเล่น (Formation)

เราขาด Formation ที่เหมาะสมกับนักเตะไทย การที่เราใช้ระบบ 4-4-2 , 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 ระบบเหล่านี้
บุรีรัมย์เคยทดลองใช้มาหมดแล้ว "เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 2 ตัว" มันไม่สามารถทำให้แนวรับเข้มแข็งได้ในระดับเอเชีย
เขาจึงลองใช้ "เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 ตัว" ในระบบ 3-5-2 , 5-3-2 หรือจะปรับเป็น 3-1-4-2 ในเกมรุก เพราะอะไรนั่นเหรอ
เพราะสรีระร่างกายของนักเตะไทยในตำแหน่งกองหลัง ที่จะไปบดกระแทกกับกองหน้าสูงใหญ่ในเวทีเอเชีย ถ้าใช้
"เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเพียงแค่ 2 ตัว" มันไม่สามารถไปบดกับคู่แข่งได้ แล้วเราจะยุบไปเอง การที่เรามีสรีระที่ด้อยกว่า เราจึงต้องใช้
หลักการ "หมาหมู่" โดยการเพิ่ม "เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเป็น 3 ตัว" เพื่อให้มี "สวีปเปอร์" กองหลังตัวสุดท้ายในการดักทางบอล
หลายๆคนอาจถามว่าทำไม "บุรีรัมย์" ถึงได้เดินยืดอกขึ้นไปเป็นสโมสรระดับต้นๆ ของทวีปเอเชียได้

นั่นเพราะเขาตามหา Formation ที่เหมาะสมกับนักเตะไทยจนเจอ การที่เราจะไปยืนหยัดในระดับทวีปได้นั้น
เราจะต้องมีเกมรับที่มั่นคงและแข็งแกร่งซะก่อน เมื่อใดที่เราไม่เสียประตู เราก็ยังมีอย่างน้อย 1 คะแนน แต่เกมรับเพียงอย่างเดียว
ไม่สามารถทำให้ทีมเก็บได้มากกว่า 1 คะแนน ฉะนั้น "บุรีรัมย์" ถึงต้องมีสิ่งหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มระบบ Formation เหล่านี้ นั้นคือ



www.youtube.com/watch?v=NL-nY2paHMI    


การ Pressing

การ Pressing ของ "บุรีรัมย์" ไม่ใช่การวิ่งไล่บอลเป็นหมาบ้า ต่างคนต่างวิ่งในระยะรัศมีของทีมคู่แข่งที่มีบอล
แต่การวิ่งของ "บุรีรัมย์" คือการวิ่งไปทั้งระบบ ไปทั้ง Formation แต่สิ่งที่ทีมชาติของเรากำลังเป็นอยู่นั่นคือ
เราใช้การ Pressing เพียงแค่ในระยะรัศมีของคู่ต่อสู้ที่มีบอล เราจึงเห็นได้ว่าทำไมเราถึงเพลสซิ่ง "ญี่ปุ่น" ไม่ตาย
ทั้งๆที่โค๊ชคนนี้เป็นคนเดียวกันกับที่ทำทีม "เวกัลตะ เซนได" และเสมอบุรีรัมย์ทั้ง 2 นัด ทั้งเหย้าและเยือน

"บุรีรัมย์" มีปรัชญาการทำทีมที่ชัดเจน นั่นคือ "ทุกๆตำแหน่งในทีมต้องเคลื่อนที่ทั้งช่วงเวลาที่มีบอลและไม่มีบอล"
ฉะนั้นการ Pressing ของบุรีรัมย์จึงเหนือกว่าทุกทีมใน TPL เพราะการที่เขา Pressing ไปทั้งระบบ
เมื่อใดที่ต่างคนต่างเพลสซิ่ง มันจะทำให้เกิดรูโหว่ช่องว่างในแผงแนวรับ แต่เมื่อใดที่เราทุกคนเพลสซิ่งเป็นแผงแนวรับ
จะทำให้คู่ต่อสู้หาช่องเจาะแนวรับของเรานั้นยากขึ้น และสิ่งที่จะทำให้การเพลสซิ่งนั้นสำเร็จนั่นก็คือ




Fitness (ความฟิต)

ด้วยสาเหตุนี้ "บุรีรัมย์" ถึงได้มีความฟิตมากกว่าทุกทีมใน TPL การที่เราจะเล่นและแสดงศักยภาพ ของนักฟุตบอลออกมา
ได้มากที่สุด และ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดึงเอาความสามารถของนักเตะให้เหมือนกันตลอดทั้งเกมตั้งแต่ต้นยันจบเกม
สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือ "ความฟิต" ถ้านักเตะมีความฟิตวิ่งได้ครบ 90 นาที การแสดงความสามารถของนักเตะคนนั้นก็จะ
เสมอต้นเสมอปลาย (และสิ่งนี้ "บุรีรัมย์" ถึงให้ความสำคัญกับมันมากในลำดับต้นๆ) เพราะเขาคิดว่า . . .


"เมื่อใดที่นักเตะมีความฟิตสูงกว่าคู่แข่ง การที่เราคิดจะทำอะไร มันก็จะทำให้เราคิดและทำได้เสมอ"


การที่เรามีทั้งระบบทีม การ Pressing และ ความฟิต ก็ยังไม่เพียงพอต่อการเป็นทีมที่ดีได้เราจึงต้องเติมเต็มด้วย . . .




ทัศนคติ

สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญในการเล่นบอลด้วยระบบ ตราบใดที่นักฟุตบอลในทีมมี "ทัศนคติ" ที่ไม่ดีในการเล่นบอล
ไม่ช่วยเพื่อนวิ่ง Pressing และไม่มีการเคลื่อนที่ทั้งในเวลาที่มีบอลและไม่มีบอล ถึงแม้นักเตะคนนั้นจะมีความสามารถ
มากมายแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะยึด 11 ตัวจริงในทีม "บุรีรัมย์" ได้


"นักเตะต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าไม่เคลื่อนที่ช่วยเพื่อนในทีม นักเตะคนนั้นก็จะเป็นจุดอ่อนของทีมให้คู้ต่อสู้ทำเกมบุกได้"


ความเชื่อมั่น

ทีมชาติไทยเลือกนักเตะติดทีมชาติจากการที่นักเตะเหล่านั้น มีความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ นั่นคือ "ซิโก้"
นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ที่ทีมชาติไทยเดินมาถูกทางแล้ว ตราบใดที่นักเตะเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมทีมและโค๊ชแล้ว
นักเตะจะแสดงศักยภาพออกมาได้สูงสุด

"บุรีรัมย์" ก็มีปรัชญาในส่วนนี้เช่นกัน
"ทุกคนในทีมต้องเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมทีม กล้าให้และเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมทีม แล้วผลการแข่งขันที่ดีจะตามมาเอง"



การเคลื่อนที่

แต่การที่เราจะดึงแต่นักเตะที่มีความเชื่อมั่นในตัวโค๊ชเพียงอย่างเดียวมาร่วมทีม มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ทีม
ประสบความสำเร็จได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ทีมชาติไทยประสบความสำเร็จนั่นคือ "นักเตะคนนั้นต้องมีทัศนคติในการเล่นที่ดีด้วย"
ต้องช่วยเพื่อนร่วมทีมวิ่งหาช่องทั้งในเวลาที่มีบอลและไม่มีบอล และสิ่งที่สำคัญที่สุดของโลกฟุตบอลนั่นคือ
"การที่นักเตะเคลื่อนที่ในเวลาที่ไม่มีบอล" เพราะถ้าหากนักเตะไม่วิ่งหาช่องและดึงแนวรับคู่แข่ง
นั่นเท่ากับว่า เราปิดโอกาสการสร้างสรรค์เกมรุกของตัวเราเองเพื่อรอวันเสียบอลให้คู่ต่อสู้

และนี่คือสิ่งที่ทีมชาติไทยไม่มี แต่ "บุรีรัมย์" มี ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าทำไม "สุเชาว์" หรือ แม้แต่ "จักรพันธ์"
ซึ่งไม่ได้มีความสามารถในเรื่องเทคนิคที่ดีกว่าทีมคู่แข่งมากมายเท่าไร แต่ทำไมถึงได้ยึด 11 ตัวจริงของทีมอยู่ตลอดเวลา
และสิ่งที่ทั้ง 2 คนนี้ มีมากกว่าคนอื่นๆนั่นคือ "การเคลื่อนที่" สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ . . .


"บุรีรัมย์ เลือกนักเตะที่มีการเคลื่อนที่ๆดี มาก่อนนักเตะที่มีความสามารถที่ดี"


แต่ในทางกลับกันทีมชาติไทยกำลังมาผิดทาง เพราะเราเลือกเพียงแค่ว่า


"นักเตะที่มีความเชื่อมั่นในตัวโค๊ช มาก่อนนักเตะที่มีการเคลื่อนที่ที่ดี"


เราจึงเห็นได้ว่าทำไมทีมชาติไทยถึงได้เพลสซิ่งทีมชั้นนำในระดับเอเชีย
อย่าง "ญี่ปุ่น" ไม่จนมุม เพราะเรามีนักเตะที่ยังขาดทัศนคติในการเล่นเพื่อทีมตรงส่วนนี้ จึงทำให้ระบบ
การเพลสซิ่งของทีมชาติไทยเกิด "ช่องโหว่ขนาดใหญ่" ให้คู่ต่อสู้เจาะได้ง่ายขึ้น ยิ่งเราไม่มีตัวตัดเกมมืออาชีพด้วยแล้ว
ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะจะทำให้แนวรับคู่ "เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ" ของเรา 2 คนทำงานหนักจนเกินไป


"ในระดับอาเซียนการใช้ 2 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟนั้นได้ผล แต่ในระดับเอเชียมันไม่สามารถนำไปใช้ให้ได้ผลที่ดีได้"


และสิ่งที่จะบอกเราได้ว่านักเตะคนไหนมีการเคลื่อนที่ที่ดีหรือไม่ดี หรือแม้แต่การยืนตำแหน่งหรือหลุดตำแหน่ง
สิ่งที่จะมาบอกสิ่งเหล่านี้ได้คือ . . .


สถิติ

"บุรีรัมย์" ใช้สถิติจากโปรแกรมเก็บสถิติในโลกของฟุตบอลเพื่อมาคำนวนว่านักเตะคนไหนเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นๆในสนาม
"บุรีรัมย์" ใช้สถิติเพื่อมามองหาจุดอ่อนและจุดแข็งของนักเตะตัวเองและทีมคู่แข่ง
"บุรีรัมย์" ใช้โปรแกรมตรวจวัดอัตราการนอนหลับในแต่ละวันของนักเตะ เพื่อให้นักเตะพร้อมทุกครั้งที่ลงสนาม
"บุรีรัมย์" ใช้วิทยาศาสตร์ทางการกีฬาชั้นสูงเพื่อมาวัดความสามารถของนักเตะแต่ละคน
"บุรีรัมย์" ใช้โค๊ชที่มีความเป็นมืออาชีพในแต่ละสาขาในแต่ละตำแหน่งของสนาม (โค๊ชเฉพาะทาง)


"บุรีรัมย์ ใช้สถิติมาเป็นตัวชี้วัดความสามารถของทีมและเลือกตัวนักเตะ 11 ตัวจริงในสนาม"


แต่ทีมชาติไทย ใช้สายตาและความรู้สึกในการเลือก 11 ตัวจริงลงสนามในแต่ละนัด
นี่คือสิ่งที่ทั้ง 2 ทีมแตกต่างกัน และสิ่งที่ทีมชาติไทยเสียเปรียบคู่แข่งอื่นๆนั่นคือ การให้อภิสิทธิ์ "นักข่าว"
มากกว่าที่ควรจะเป็น


สิ่งสุดท้ายที่เราขาดหายไป คือการเล่นบอล Direct play เมื่อเราก้าวข้ามอาเซียนไปได้แล้วนั้น
ฟุตบอลสั้น "ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก" มันไม่สามารถที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ เพราะมันไม่สามารถแก้การเพลสซิ่ง
ของคู่แข่งที่เหนือกว่า คู่แข่งที่มีการเพลสซิ่งที่ดีในแบบที่เราเจอ "อิรัก" หรือแม้แต่ "ญี่ปุ่น" ยิ่งเราออกบอลช้า
คิดช้า ทำช้า เมื่อใดก็ตาม นั่นเท่ากับว่าคุณได้หยิบยื่นเกมบุกให้คู่ต่อสู้เมื่อนั้น สิ่งสุดท้ายที่ทีมชาติไทยควรมีนั่นคือ

"การหลอมรวมเอา Tiktok สไตล์ มาผสมผสานกับการเล่น Direct play"

ออกบอลให้ไวและพาบอลไปข้างหน้าให้ไวเพื่อทำเกมรุกก่อนที่แนวรับของคู่แข่งจะตั้งโซนรับได้ทัน
อย่างที่บุรีรัมย์ใช้ในทุกๆครั้งที่เจอะเจอสโมสรชั้นนำในระดับเอเชีย ซึ่งมันได้ผล


"อย่าบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อคุณยังไม่ได้ลองคิดที่จะทำ"


เพราะอดีตก็ไม่เคยมีใครคิดว่ามนุษย์จะบินได้เหมือนกัน จนวันนึงมีคนทำให้มนุษย์นั้นสามารถบิน
ไปไหนมาไหนกันได้อย่างเช่นในปัจจุบัน


"นักฟุตบอลไม่ใช่ดารา นักฟุตบอลเล่นในนามทีมชาติและธงชาติไทย ฉะนั้นควรให้นักเตะมีสมาธิให้มากที่สุด
ไม่ใช่มีนักข่าวเดินเกาะติดนักเตะตลอด 24 ชม. กับการเพียงแค่ได้มีตัวหนังสือลงหน้า 1 ในทุกๆวัน"


นักข่าวไทยรู้แม้กระทั่ง 11 ตัวจริงก่อนเกมการแข่งขันถึง 2 วัน และทุกสื่อเอาการซ้อม แผนผังการเล่นของนักเตะ
มาลงหน้า 1 ในทุกสำนัก แล้วเราจะมีคำว่า Tactic ไปเพื่ออะไร ในเมื่อนักข่าวไทยเอาข่าววงในมาเปิดเผยให้รู้กันทั่วทั้งประเทศ


ความแตกต่างของการเพลสซิ่งระหว่างทีมชาติกับบุรีรัมย์
และการเคลื่อนที่ของนักเตะเวลาไม่มีบอล


www.youtube.com/watch?v=dqLnQDhFkAs    



เลิกซะเถอะครับ กับการที่เราทำอะไรในแบบไทยๆ ถ้าเราคิดที่จะก้าวเดินไปในระดับเอเชีย
เราต้องเลิกเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และ กล้าที่จะนำคำว่า "มาตรฐานสากล" มาใช้กับทีมชาติไทย
เวลายังจะพอมี พอที่พวกคุณจะเปลี่ยนแปลงทีมชาติไทยชุดใหญ่ ก่อนที่ อะไร อะไร มันจะสายเกินไป
แล้วเราจะต้องมานับ 1 กันใหม่อีกครั้ง
by:Manoi
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่